ตอนที่ 1228 ความกลัวดั้งเดิม…
เมื่อ หยุน ชิงเย้า เบิกจ่ายเงินกำลังเกินตัว เธอต้องคิดเรื่องการหยุดพัก บวกกับตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่กว่า ..ก็มาถึงแล้ว
พุ่มไม้ใกล้ๆ มีเสียงกรุบๆ กรอบแกรบดังออกมา สีหน้าของ หยุน ชิงเย้า ก็ได้เปลี่ยนไป เธอเติบโตขึ้นมาในภูเขาตั้งแต่เด็กๆ และรู้ดีว่านี่หมายถึงอะไร…
ป่าเขาที่เธออยู่นี้ ..เป็นป่าดงดิบ บนภูเขามีสัตว์ป่ามากมาย และในหมู่พวกมันก็มีสัตว์ร้ายจำนวนไม่น้อย เนื่องจากระบบนิเวศของที่นี่โดยทั่วไปไม่ได้ถูกทําลายโดยน้ำมือมนุษย์ ดังนั้นจึงยังคงรักษาสภาพดั้งเดิมไว้
ผู้คนจาก หยุนเหมิน ที่เดินทางออกจากภูเขา จริงๆ แล้วเราเองก็มีเส้นทางที่ค่อนข้างแน่นอน เส้นทางนี้ยังได้รับการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน และหนึ่งในพื้นฐานสำหรับการกําหนดเส้นทางคือ การพยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอกับสัตว์ร้ายในป่าเขา
ถูกต้อง ผู้คนจาก หยุนเหมิน ต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ละคนมีร่างกายที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับคนทั่วไป อาจกล่าวได้ว่าทุกคนเป็น ‘อู่ซง’(1) แต่แก่นแท้ของมนุษย์เอง ก็คือการหาข้อดี และหลีกเลี่ยงข้อเสีย.. รวมถึงปัญหายุ่งยากที่ไม่จําเป็น และพยายามหลีกเลี่ยงมัน ดังนั้น.. เส้นทางออกจากภูเขาที่ชาว หยุนเหมิน เลือก.. โดยพื้นฐานแล้วมักจะหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีสัตว์ร้ายอาศัยอยู่
ในป่าดงดิบนี้มีสัตว์ร้ายจํานวนไม่น้อยเติบโต รวมทั้งยังมีหมาจิ้งจอก เสือโคร่ง แต่พวกมันก็มีจํานวนน้อยมาก
สัตว์ดุร้ายอย่าง ‘เสือ’ ปัจจุบันเป็นสัตว์ที่หายากไปทั่วโลก แม้แต่ในภูเขากว่าแสนลูกในทางใต้ของยูนนาน จํานวนเสือที่พบเจอก็ยังมีน้อยมาก
ในความทรงจำของ หยุน ชิงเย้า จนกระทั่งเติบใหญ่มาถึงขนาดนี้ เธอเองเคยพบเห็นเสือโคร่งมาไม่กี่ครั้ง, และครั้งสุดท้ายที่พบเห็นเสือโคร่ง ตอนนั้น หยุน ชิงเย้า เองยังเป็นเด็กหญิงอายุสิบขวบ ติดตามอาจารย์เข้ามาในภูเขาลึกเพื่อเก็บยา และพบเห็นเสือโคร่งที่มีสีสันงดงาม
ในเวลานั้น.. อาจารย์ของเธอพบเห็นเสือ แต่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงมัน อาจารย์ได้บอกกับเธอว่า.. ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับพวกสัตว์ร้าย ทั้งเหล่าสัตว์ร้ายพวกนี้ก็ไม่ใช่ศัตรูของพวกเรา พวกเรา หยุนเหมิน อาศัยอยู่อย่างสันโดษในภูเขาลึก และมันก็เหมือนกับสัตว์ร้ายพวกนี้ ดังนั้นผู้คนจาก หยุนเหมิน จึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ในภูเขาลึก
เส้นทางออกจากภูเขาที่พวกเขาเลือก หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีสัตว์ร้ายเหล่าปรากฏตัว ด้วยเหตุนี้ หยุน ชิงเย้า จึงไม่ได้คํานึงถึงการจะพบเจอกับสัตว์ร้ายตลอดทาง เพราะความที่เธอคุ้นเคย จึงทําให้เธอมองข้ามปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นนี้
ดังนั้น ตอนนี้ที่พบร่องรอยของสัตว์ร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน และแน่นอนว่าสัตว์ร้ายกำลังจะมาปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียงในไม่ช้า ซึ่งนี่ทําให้ หยุน ชิงเย้า มีสีหน้าเปลี่ยนไป พร้อมกับความประหลาดใจที่ไม่คาดคิด
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะมีข้อยกเว้นจริงๆ แม้จะผ่านเส้นทางนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังมีสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ..ได้อีก
หยุน ชิงเย้า ไม่ได้คิดมากว่าทําไมเส้นทางที่ปลอดภัยเสมอนี้ ทําไม.. จู่ๆ ถึงได้มีสัตว์ร้ายปรากฏขึ้น นั่นก็เพราะ ..เธอ ไม่มีเวลามาพิจารณาถึงปัญหานี้
ตอนนี้เธอต้องหาทางหลบหนีออกไปโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เธอเหนื่อยล้า ..อย่างในตอนนี้
ถ้าตอนนี้เธอสามารถใช้พลังบ่มเพาะได้.. เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายหนึ่ง หรือสองตัว คิ้วของเธอคงจะไม่ขมวดกัน เพราะด้วยกําลังของเธอแล้ว ไม่มีสัตว์ร้ายตัวใดจะสามารถคุกคามเธอได้ แต่.. ปัญหาคือ สถานการณ์ของเธอในตอนนี้ ตราบใดที่มีหมาป่าได้ย่องเข้ามาอย่างเงียบๆ เธอเองก็คงไม่มีอะไรจะไปสู้ได้ และคงกลายเป็นอาหารเย็นแสนอร่อยของเหล่าสัตว์ร้ายไป
เมื่อคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นอาหารเย็นของเหล่าสัตว์ร้าย หยุน ชิงเย้า ก็เกิดมีความกลัวขึ้นมาในใจ ซึ่งนี่ก็เป็นความกลัวดั้งเดิม…
ตามทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน เดิมที บรรพบุรุษของมนุษย์ แต่เดิมเป็นลิง ลิงอาศัยอยู่ในป่าบนภูเขา และเดินไปกับสัตว์ร้ายตั้งแต่ในยุคแรกเริ่ม ลิงส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้ เพราะสิ่งนี้สามารถลดสถานการณ์ที่อาจจะพบเจอกับสัตว์ร้ายได้
แต่ต่อมา ลิงที่เกิดปัญญาขึ้นมา ก็ได้กระโดดลงจากต้นไม้ และวิวัฒนาการเป็นมนุษย์โบราณที่เดินตัวตรง มนุษย์โบราณเหล่านี้ได้ลงมาบนพื้นโลก และการอยู่รอดของพวกเขาก็ถูกคุกคามโดยพวกสัตว์ร้ายที่เป็นเจ้าผู้ปกครองของอาณาเขต พวกเขาต้องเผชิญกับสัตว์ร้ายทุกชนิดที่มีความแข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก..
เพื่อความอยู่รอด มนุษย์โบราณต้องบังคับตัวเองให้มีความแข็งแกร่งขึ้น แต่การวิวัฒนาการทางร่างกายก็มีขีดจํากัดอยู่เสมอ ไม่ว่ามนุษย์จะวิวัฒนาการอย่างไร ก็ไม่สามารถแข็งแกร่งกว่าสิงโตได้ แต่มนุษย์กลับมีสิ่งที่ได้เปรียบเหนือกว่าสัตว์ตัวอื่นๆ นั่นก็คือ สติปัญญา
ดังนั้น.. เพื่อความอยู่รอด มนุษย์โบราณจึงเริ่มวิวัฒนาการ และพัฒนาอย่างบ้าคลั่งในด้านสติปัญญา มนุษย์จึงได้มีความฉลาดขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ได้เรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือ เรียนรู้ที่จะวางกับดัก และเรียนรู้ที่จะต่อสู้กันเป็นกลุ่ม ด้วยวิธีการเหล่านี้ มนุษย์จึงได้เอาชนะสัตว์ร้ายอื่นๆ และแม้แต่กักขังพวกมันไว้ มนุษย์เองมีร่างกายที่ไม่สามารถเทียบได้กับเสือ หรือสิงโต แต่พวกเขาได้เลือกใช้ความแข็งของสติปัญญาในการเข้าบดขยี้ และยืนอยู่ด้านบนสุดของห่วงโซ่อาหาร และเข้าครองแผ่นดินนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในที่สุดมนุษย์จะยืนหยัดอยู่บนยอดของต้นไม้วิวัฒนาการ และแม้ว่าตอนนี้ มนุษย์ จะเข้าสู่อารยธรรมทางเทคโนโลยีที่พัฒนาแล้ว พลังอานุภาพของขีปนาวุธลูกเดียวของมนุษย์นั้น มันก็เพียงพอที่จะเคลื่อนภูเขา และกลบทะเล แต่ความยากลําบากในการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงามืดของสัตว์ร้ายนั้นมันก็ยังคงสลักลึกอยู่ในยีนของมนุษย์ ความกลัวดั้งเดิมนี้เอง.. ก็ยังไม่ได้หายไป แต่มันยังคงรักษาไว้อยู่จนถึงทุกวันนี้
มนุษย์แข็งแกร่งขึ้น เริ่มต้นจากการเรียนรู้การใช้เครื่องมือ ตั้งแต่การเริ่มเรียนรู้การใช้หินที่ลับจนคม ไปจนถึงขีปนาวุธที่ทรงพลังมาก วิธีที่มนุษย์แข็งแกร่งขึ้น จริงๆ แล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงไป นั่นคือการใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยพื้นฐานแล้ว หินที่ถูกลับจนคม และขีปนาวุธที่ทําลายโลกได้นั้น ล้วนเป็นสิ่งเดียวกันหากนับจากในพื้นฐานแล้ว และนั่นก็คือ ..เครื่องมือ
ในประวัติศาสตร์วิวัฒนาการอันยาวนานของมนุษย์ การเสริมสร้างเครื่องมือในมืออย่างต่อเนื่องเป็นแนวคิดการพัฒนาหลักของมนุษย์
แต่ในขณะเดียวกันก็มีมนุษย์ที่พยายามทดลองอีกแบบหนึ่ง นั่นคือการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเอง และทํางานหนักกับร่างกายของตนเอง
แม้ว่าจะมีความพยายามมาหลายล้านปี แต่ในที่สุดก็ต้องบอกมนุษยในการเสริมสร้างตนเองนั้นไม่มีข้อดี และการเสริมสร้างเครื่องมือดูเหมือนจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งที่ค่อนข้างจับต้องได้ ทั้งมันยังค่อนข้างมีประสิทธิภาพ แต่เหล่าผู้ที่มีจิตมุ่งมั่นนับไม่ถ้วนก็ยังไม่ละทิ้งเส้นทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับร่างกายมนุษย์
แม้ความเป็นจริงจะโหดร้าย แต่มนุษย์กลับคิดได้อย่างสวยงาม จึงเกิดเป็นจินตนาการต่างๆ เช่น พลังวิเศษในแบบตะวันตก เช่น มานา หรือพลังของเวทมนตร์ ล้วนเป็นจินตนาการที่มนุษย์ได้เพ้อฝันถึงความเข้มแข็งต่อตัวเอง
คนอ่อนแอที่ถูกแมงมุมกัดจะได้รับพลังวิเศษ และกลายเป็นสไปเดอร์แมนที่ไต่ไปตามผนังกำแพง นี่เป็นจินตนาการในแบบแฟนตาซีของชาวตะวันตกเกี่ยวกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของตนเอง
การฝึกฝนบ่มเพาะพลัง และได้รับมาซึ่งลมปราณ เพื่อที่จะเข้าทำลายล้างสวรรค์ และโลก มุ่งสู่ความเป็นอมตะ.. ทั้งหมดนี้ เป็นจินตนาการของชาวจีนเกี่ยวกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของตนเอง
มนุษย์ธรรมดาปกติทั่วไป แค่มาได้ยินเรื่องนี้พวกเขาก็คงจะหัวเราะแล้ว โดยทุกคนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องจินตนาการ เพ้อฝัน และไม่สามารถยึดถือมาเป็นความจริงได้ ดังนั้นก็แค่มองดูมันด้วยความสนุก และความสุข เข้าไว้
แต่นี่ก็ไม่ใช่หมายความว่ามนุษย์จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เลยจากเส้นทางของการเสริมสร้างความเข้มแข็งของตัวเอง ในความเป็นจริงมนุษย์ยังคงได้รับผลประโยชน์ เช่น การเกิดขึ้นของศิลปะการต่อสู้
คนธรรมดามักจะได้รับร่างกายที่ค่อนข้างแข็งแกร่งผ่านการออกกําลังกาย และผ่านการฝึกศิลปะการต่อสู้ พวกเขาสามารถก้าวไปได้อีกขั้น และได้รับความสามารถอันแข็งแกร่ง และทรงพลัง
อย่าง.. ศิลปะการต่อสู้ของจีน ที่เคยได้รับความนิยมจนแพร่หลาย ในยุคที่เครื่องมือยังคงเป็นอาวุธเย็น การเสริมสร้างตัวเองยังคงทําให้มนุษย์มีความกระตือรือร้นอย่างมาก เมื่อเครื่องมือเข้าสู่ยุคอาวุธร้อน เครื่องมือก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์.. ก็กลับไม่สนใจในการพัฒนาตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นการเสื่อมถอยของศิลปะการต่อสู้ จึงกลายเป็นแนวโน้มที่แทบจะไม่สามารถย้อนกลับได้
ปัจจุบันตอนนี้.. มีเพียงสำนักนิกายซ่อนเร้นเท่านั้นที่ยังคงสืบทอดศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลังของจีน ผู้สืบทอดเหล่านี้ยังคงรักษาความเชื่อที่ว่า ความแข็งแกร่งของตัวเอง สําคัญกว่าสิ่งอื่นใด พวกเขามีความกลัวดั้งเดิมต่อความอ่อนแอของร่างกาย
ดังนั้นตอนนี้ หยุน ชิงเย้า ที่จุดตันเถียนถูกปิดผนึกจึงมีความวิตกกังวล เมื่อสัตว์ร้ายปรากฏตัวขึ้น ความกลัวดั้งเดิมของมนุษย์โบราณในตัวเธอจึงได้ถูกกระตุ้น ..ขึ้นมา
จังหวะนี้ ..จากพุ่มไม้ก็พบหมูป่าตัวหนึ่งโผล่ออกมา
“โอ้… แม่เจ้า!”
หยุน ชิงเย้า ได้กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจโดยไม่ได้ตั้งใจ และหันหลังกลับโดยไม่รู้ตัว เพื่อจะวิ่งหนี หมูป่าตัวนั้นก็พบเหยื่อตัวนี้แล้วเช่นกัน มันจึงคํารามขึ้น และกระโจนพุ่งเข้าใส่ หยุน ชิงเย้า
(1)[อู่ซง (武松)] - อู่ซง หรือ บู๊สง เป็นตัวละครหนึ่งในเรื่อง ซ้องกั๋ง (สุยหู่จ้วน, 水滸傳) อย่าง ตำนาน 108 ผู้กล้าแห่งเขาเหลียงซาน