สุดยอดอัศวิน บทที่ 56 : ตระกูลอดัมส์ล่มสลาย
สุดยอดอัศวิน บทที่ 56 : ตระกูลอดัมส์ล่มสลาย
เมื่อฌอนกลับมา สิ่งที่เขาเห็นคือฝูงชนที่มีสายตาชื่นชม
ภายใต้การซักถามของซิวม่าและอีกสามคน รูซไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเล่ากระบวนการทั้งหมดในการต่อสู้ระหว่างฌอนและวิลโค หลังจากฟังคำอธิบายของเขา ทุกคนตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ จากนั้นเขาก็อุทานเสียงดังด้วยความยินดี
ในฐานะอัศวินฝึกหัด วิลโคก็ยังพ่ายแพ้ แถมยังพ่ายแพ้ให้กับฌอน!
นี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะ รูซมีท่าทางน่าเชื่อถือ ดูไม่เหมือนเขากำลังล้อเล่น พวกเขาอาจคิดว่าอีกฝ่ายกำลังแต่งเรื่องมาหลอกให้พวกเขาดีใจเล่น
นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริง ๆ เหมือนกับจู่ ๆ มีคนมาบอกคุณว่าเด็กคนหนึ่งสามารถทุบตีคนแข็งแรงด้วยมือเปล่า
ซิวม่า ฟอล และซัสซูนตกใจยิ่งกว่าเดิม นายพรานสัตว์คนอื่น ๆ ต่างก็เป็นคนธรรมดา พวกเขาไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัวนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่พวกเขาทั้งสามจะไม่เข้าใจได้ยังไงกัน
พรสวรรค์ทางสายเลือด นี่คือพรสวรรค์ทางสายเลือด!
พรสวรรค์ที่อัศวินทุกคนใฝ่ฝันได้ตื่นขึ้นในตัวฌอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความสำเร็จในอนาคตของฌอนต้่องไร้ขีดจำกัดแน่
พวกเขาทั้งสามคนไม่ได้เชื่อมโยงพรสวรรค์ด้านความเร็วของอสูรสีน้ำเงินเข้ากับพรสวรรค์ด้านความเร็วของฌอน เพราะเรื่องแบบนั้นอยู่เหนือความเข้าใจของพวกเขา
“ท่านฌอน เราจะทำยังไงกับคนทรยศคนนี้ดี”
นายพรานหนุ่มพาชายคนหนึ่งเดินไปข้างหน้า และถามฌอนด้วยความเคารพ
หากเป็นเมื่อก่อน นอกจากความเคารพขั้นพื้นฐานที่ควรปฏิบัติต่ออีกฝ่ายแล้ว เขาคงไม่แสดงความยำเกรงถึงขนาดนี้ เพราะความยำเกรงเป็นสิ่งที่มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับ ตอนนี้ฌอนในสายตาคนอื่นจัดอยู่ในคนประเภทนั้น
ฌอนเงยหน้าขึ้น เห็นว่าเป็นนายพรานนาสที่กลับมา ‘รายงาน’ ก่อนหน้านี้
“นายไปเจอเขาได้ยังไง”
ฌอนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถาม
“ผู้ชายคนนี้ซ่อนตัวอยู่ในป่าอย่างลับ ๆ ผมบังเอิญเจอเขาพอดีครับ”
นายพรานหนุ่มตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“แกฆ่าลุงพาร์คเกอร์ใช่ไหม?”
ฌอนผงกศีรษะ มองนายพรานนาสด้วยสายตาเย็นชาแล้วถาม
ลุงพาร์คเกอร์เป็นอดีตนายพราน ฌอนและคนอื่น ๆ ค้นพบสถานที่แห่งนี้ได้ก้เพราะการนำทางจากนายพรานชราคนนั้น แต่สิ่งที่ฌอนไม่คาดคิดก็คือนายพรานนาสเป็นคนทรยศ แทงข้างหลังนายพรานชรา
“ไม่ ไม่ ผมไม่ได้ฆ่าเขา แค่ทำให้เขาสลบไป!”
นายพรานนาสอธิบายอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกถึงสายตาเย็นชาของฌอน
“แน่ใจเหรอว่าตัวเองไม่ได้โกหก?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น แววตาเย็นชาของฌอนก็คลายลงเล็กน้อย
“จริงครับ ผมไม่ได้ฆ่าเขา”
เมื่อเห็นว่าสายตาเย็นชาของฌอนค่อย ๆ จางลง นายพรานนาสคิดว่าเขาพบโอกาสที่จะมีชีวิตรอดแล้ว จึงรีบพูด
“ท่านฌอน ครั้งนี้โปรดปล่อยผมไปเถอะ ผมแค่เสียสติไปชั่วขณะ ก็เลยพลั้งมือทำแบบนั้นลงไป ไม่กล้าทำอีกแล้ว!”
ฌอนไม่สนใจเขา โบกมือให้นายพรานหนุ่มลากเขาออกไป เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของนายพรานนาสก็แสดงร่องรอยของความดีใจ คิดว่าฌอนคงไม่ฆ่าเขาแล้ว แต่วินาทีต่อมา ฌอนก็พูดทันทีว่า
“ไม่ต้องรีบกลับมานักหรอก ทำให้เขาจากไปอย่างสงบ แล้วฝังร่างเขาไว้ตรงนั้นด้วย!”
“ครับ ท่านฌอน!”
นายพรานหนุ่มตอบด้วยความเคารพ แล้วมองไปที่นายพรานนาสอย่างดุดัน
เพราะผู้ชายคนนี้ คนจำนวนมากในทีมล่าสัตว์จึงเสียชีวิต แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง แต่เนื่องจากนายน้อยฌอนสั่งว่าทำให้เขาจากไปอย่างสงบ เขาจึงต้องทำตามคำสั่ง
เป็นเวลาสามวันแล้วหลังจากเขากลับมาจากภูเขาซาทุลล่า ในช่วงสามวันนี้ นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว ฌอนก็ใช้เวลาอยู่กับสาวน้อยลิลลี่ ชีวิตของเขาสงบสุขมาก แต่ในช่วงสามวันดังกล่าว เหตุการณ์ภายในเมืองเอซายกลับไม่สงบสุข
ตระกูลอดัมส์ถูกสังหารในชั่วข้ามคืน ยกเว้นเบนสัน อดัมส์ สมาชิกทุกคนในครอบครัวอดัมส์ล้วนโดนฆ่าทิ้ง
แน่นอนว่าเป็นฝีมือของตระกูลแคมป์เบล
ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่ตระกูลอดัมส์สั่งสมมา ล่มสลายไปกับภูเขาซาทุลล่า แน่นอนว่าตระกูลแคมป์เบลไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป
คืนหนึ่ง ตระกูลแคมป์เบลรวบรวมกำลังคนของตัวเอง แล้วบุกเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลอดัมส์โดยตรง สังหารสมาชิกในครอบครัวอดัมส์ทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะเบนสันมีโรงเรียนอัศวินยุคใหม่คุ้มครอง ตอนนี้เขาก็คงถูกฆ่าตายไปแล้วเหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้นความรอดชีวิตก็ไม่ได้ทำให้เบนสันรู้สึกดีขึ้นเลย ถึงไม่ถูกฆ่าโดยตรง แต่ก็ถูกฆ่าทางอ้อม เพราะเขาจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนอัศวินยุคใหม่ในปีหน้า เนื่องจากไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนได้
นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลอดัมส์ต้องการทำกับตระกูลแคมป์เบล ใครจะคิดว่าตจระกูลแคมป์เบลจะตลบหลังพวกเขาด้วยวิธีการเดียวกัน
หลังจากนั้น ตระกูลแคมป์เบลก็เริ่มถ่ายโอนโฉนดของร้านค้าต่าง ๆ ที่ตระกูลอดัมส์เป็นเจ้าของในเมืองเอซาย ซึ่งแน่นอนว่าตระกูลหลักอื่น ๆ ในเมืองไม่ยอมเฝ้าดูตระกูลแคมป์เบลกลืนกินกิจการของตระกูลอดัมส์อยู่เฉย ๆ ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นช่างหอมหวาน ใคร ๆ ก็เข้ามาห้อมล้อมเขาเหมือนแมวได้กลิ่นปลา
ตระกูลแคมป์เบลล์รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะยึดทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไว้คนเดียว ตระกูลหลักหลายตระกูลจึงเปิดชุมนุมถกเถียงกันบนโต๊ะเจรจาที่เรียกว่า ‘ศึกแห่งภูเขาซาทุลล่า’ ในที่สุดความมั่งคั่งของตระกูลอดัมส์ก็ถูกรวมไว้โดยตระกูลแคมป์เบล อำนาจสำคัญหลายแห่งในเมืองถูกแบ่งออก ตระกูลอดัมส์แห่งเมืองเอซายถึงจุดสิ้นสุด
เป็นที่น่าสังเกตว่าในระหว่างขั้นตอนการเจรจา ยูน่าพี่สาวของฌอนได้แสดงความสามารถอันน่าทึ่งในการเจรจาธุรกิจ และกอบโกยผลประโยชน์มากมายให้กับตระกูลแคมป์เบลl
ในฐานะหัวหน้าตระกูลแคมป์เบลในอนาคต ความจริงแล้วฌอนควรออกมาเคลื่อนไหว แต่ฌอนกลับไม่ทำอย่างนั้น เพราะเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้เลย ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครในตระกูลแคมป์เบลกล้าประมาทเขาอีกต่อไป ทุกคนรู้ดีว่าใครคือต้นเหตุที่นำผลประโยชน์เหล่านี้มาสู่ตระกูลแคมป์เบล
ในบรรดาพวกเขา ลุงสองคนของฌอนคร่ำครวญมากกว่าหนึ่งครั้งว่าบรอดตัดสินใจอย่างชาญฉลาดเพียงใดที่ส่งฌอนเข้าเรียนที่โรงเรียนอัศวินยุคใหม่ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขา ‘ลดทอน’ จุดยืนเดิมของตัวเองลงด้วยความอยู่เป็น
รวมถึงลูกพี่ลูกน้องของเขา หลังจากรู้เรื่องความสามารถอัน ‘ดุร้าย’ ของเขาบนภูเขาซาทุลล่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นเขา แต่ละคนจะรีบหลบหลีกไปให้ห่างเหมือนหนูเห็นแมวจากระยะไกล เห็นได้ชัดว่าเกรงกลัวไม่น้อย
ตอนนี้ คนที่มีความสุขที่สุดก็คือลิลลี่
ลูกพี่ลูกน้องที่ปกติไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเธอเท่าไหร่นัก เมื่ออยู่ต่อหน้าฌอนแล้วกลับทำดีสารพัด ซื้อของอร่อยและของเล่นมากมายมาให้ ทำให้เธอมีความสุขมาก
แต่เธอไม่ได้เป็นคนโลภเห็นแก่ของขวัญ ดังนั้นเมื่ออยู่ลับหลังลูกพี่ลูกน้องเหล่านี้ เธอก็มักจะเล่าเรื่องแย่ ๆ ที่พวกเขามักนินทาเกี่ยวกับฌอนให้ฌอนฟัง
สำหรับเรื่องนี้ ฌอนได้แต่ยิ้ม ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
ตราบใดที่ศัตรูไม่ล้ำเส้นก็ไม่มีอะไรควรค่าแก่การสนใจ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขากล้าล้ำเส้น ผลที่ตามมาย่อมเลวร้ายเกินกว่าจะจินตนาการ