บทที่ 337 – กลับคืนรูปลักษณ์เดิม
เสียงมู่จือตอบกลับมาทันที เหมือนกับเธอไม่ได้สนใจอะไรมากนัก “ฉันได้ยินเสียงโห่ร้องดีใจมาจากกำแพงของป้อมปราการยังไงล่ะ ตอนนี้ก็ยังมีเสียงอยู่เลยไม่ใช่หรือ? พวกเราอยู่ไกลขนาดนี้ ยังสามารถได้ยินได้ แสดงว่ามันต้อ......” แล้วเธอก็หยุดคำพูดของตัวเองลงไป หลังจากที่สังเกตได้ว่าเสียงที่เพิ่งได้ยิน ไม่ใช่เสียงของคนที่เธอคิดเอาไว้ ตัวของเธอเริ่มสั่นเทา ก่อนที่จะรีบหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าอันงดงามของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว มันแค่ซูบเซียวลงไปมากกว่าเมื่อก่อนบ้างเท่านั้น ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมานี้ คงจะต้องลำบากลำบนไม่น้อยเลยทีเดียว
ตัวของมู่จือนั้นสั่นไม่หยุด สายตาของเธอจ้องเขม็งอยู่ที่ใบหน้าที่มีหน้ากากสวมเอาไว้ของผม น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่สวย หลั่งรินออกมาบนใบหน้าที่ซีดเชียว ยืนตัวสั่นอยู่กลับที่ ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกเลยแม้แต่คำเดียว
“จางกง!” เป็นเสียงที่น่ารักอ่อนโยนของไหสุ่ยดังขึ้นมาก่อน พร้อมกับร่างอันบอบบางของเธอที่โถมเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว เธอซุกตัวเข้ามาในหน้าอก และเริ่มร้องไห้ออกมาอีกคน
ผมกอดไหสุ่ยเอาไว้แน่น ค่อย ๆ ลูบหลังเพื่อปลอบโยนเธออย่างนุ่มนวล ในใจของผมนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ‘มู่จือ! ไหสุ่ย! ในที่สุดฉันก็สามารถกลับมาพบกับพวกเธอได้อีกครั้ง!’ ได้แต่ยืนกอดไหสุ่ยที่ไม่กล่าวอะไรออกมาเลยนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น
ในห้องมีแต่เสียงสะอื้นอยู่สักพัก จนในที่สุด มู่จือก็เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองออก ก่อนจะกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “นายยังรู้ว่าจะต้องกลับมาอย่างนั้นหรือ?”
“มู่จือ! ฉัน...ฉันผิดไปแล้ว ฉันขอโทษ เป็นความผิดของฉันหมดเลย ที่ต้องทำให้พวกเธอต้องทนทุกข์ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่”
พอได้ยินคำพูดของผม เธอก็หันตัวกลับไปอีกครั้ง ปล่อยให้ผมเห็นแต่แผ่นหลังที่ยังสั่นไหวของเธออยู่เท่านั้น เสียงของเธอยังสะอื้นอยู่เล็ก ๆ ตอนที่ตัดพ้อออกมา “ทำไมพวกเราต้องทุกข์ทนด้วยล่ะ? ใครมันจะไปเหมือนนายกัน ท่านทูตแห่งแสงเว่ยจางกงผู้ยิ่งใหญ่ เว่ยจางกงผู้มีอิสระเสรี คิดจะทำอะไร? คิดจะไปไหนก็ทำตามใจตัวเอง จะบอกกล่าวกันสักคำก็ไม่มี!”
ผมรีบประคองไหสุ่ยที่ยังอยู่ในอ้อมอกเดินเข้าไปหา และใช้มืออีกข้างโอบกอดเธอเอาไว้ มู่จือเหมือนจะขยับตัวหลบในตอนแรก แต่ก็ปล่อยให้ผมกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนอีกคนในที่สุด
“มู่จือ ฉันรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ได้โปรดยกโทษให้ฉันเถอะนะ ต่อจากนี้ไป ฉันให้สัญญากับพวกเธอ 2 คนเอาไว้เลย จะไม่จากไปไหน จะไม่เดินทางไปไหนนาน ๆ อีกต่อไปแล้ว”
เหมือนกับมู่จือจะเงยหน้าของตัวเองขึ้นเล็กน้อย ส่งเสียงถามกลับมา โดยยังไม่ยอมหันมามองหน้าผมเลย “สัญญาอย่างนั้นหรือ?”
ผมยืนยันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ฉันสัญญา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต จะไม่มีวันจากพวกเธอไปไหนอีกเลย อ้อ! ฉันมีข่าวดีมาบอกพวกเธอด้วยนะ!”
ดูเหมือนว่าเธอจะชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะถามกลับออกมาเหมือนไม่สนใจอะไรนัก “ข่าวดีอะไร?” ส่วนไหสุ่ยนั้นหยุดร้องไห้ลงชั่วคราว เงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างสงสัย
ภายใต้สายตาทั้ง 2 คู่ที่กำลังมองเข้ามาอย่างสงสัย ผมค่อย ๆ ปลดหน้ากากของเทพเหมันต์ออกจากใบหน้าตัวเอง “หน้า..แผลเป็นบนหน้าของฉันหายดีแล้ว!” ใบหน้าที่อยู่หลังหน้ากากนั้น ไม่มีรอยแผลเป็นใด ๆ ปรากฏอยู่อีกแล้ว มันเป็นใบหน้าที่เรียบเนียนและหล่อเหลาแบบเดิมของผม ในตอนที่อยู่บนกำแพงของป้อมปราการ ทั้งอาจารย์ตี้ อาจารย์เจิ้น และคนอื่น ๆ ต่างก็พากันสงสัยว่าทำไมใบหน้าของผมถึงไม่ได้น่าเกลียดอย่างที่ได้เล่าให้พวกเขาฟัง นั่นทำให้ผมรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก อะไรจะทำให้ผมดีใจได้เท่ากับการรักษารูปลักษณ์ของตัวเองกลับมาเหมือนเดิมได้อีกล่ะ? หน้าตามันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเลยนะ!! แต่ผมกลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ว่าการปรับปรุงร่างกายโดยเล่ยมี่เจีย จะทำให้สามารถขจัดความมืดที่แทรกซึมอยู่ในตัวของผมออกไปได้จนหมด และสามารถฟื้นฟูรอยแผลทั้งหมดในร่างกายให้หายดี กลับมาสมบูรณ์แบบเหมือนเดิมได้อย่างนี้
ไหสุ่ยไม่เคยเห็นหน้าตาของผมตอนที่มันเสียโฉมจนกลายเป็นน่าเกลียดน่ากลัวมาก่อน ดังนั้นเธอจึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก ซึ่งต่างจากมู่จือโดยสิ้นเชิง เมื่อเธอเห็นหน้าตาที่ปราศจากรอยแผลเป็นของผม ก็มีอาการตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ยื่นมือมาลูบคลำใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน เสียงของเธอนั้นมีอาการตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียว “จางกง หน้านาย...”
ผมเองก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้นไม่แพ้กัน “ใช่แล้ว แผลเป็นหายไปหมดแล้ว มู่จือ ไหสุ่ย ตอนนี้พวกเราสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสบายใจแล้ว”
แต่นั่นกลับทำให้มู่จือดิ้นออกจากอ้อมกอด และผลักผมแรง ๆ ทันที พร้อมกับดึงตัวของไหสุ่ยไปเป็นพวกด้วยอีกคน “จางกง นายคิดว่าพวกเราเป็นคนยังไง? นายคิดว่าพวกเราชอบนายเพราะหน้าตาอย่างนั้นหรือยังไง?”
‘อา! ทำไมฉันถึงได้โง่ขนาดนี้ พูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง ให้ตายสิ!!’ ผมต้องรีบแก้ตัวออกไปอย่างรวดเร็ว “ไม่นะ ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย มู่จือ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น อย่าโกรธสิ!”
เมื่อผมเห็นตกอยู่ในสภาพแบบนั้น เธอก็หัวเราะออกมาในที่สุด “ดูทำตัวเข้าสิ! แล้วนี่นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”
หลังจากเห็นว่าเธอไม่โกรธแล้ว ผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ฉันเพิ่งกลับมาไม่นานนี้เอง มู่จือ อย่าโกรธฉันเลยนะ เธอก็รู้นี่ว่าที่ฉันจากไปโดยไม่บอก ก็เพราะไม่แน่ใจว่าการสืบทอดจะประสบความสำเร็จได้ด้วยดีหรือไม่ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้มั้ย ถ้าฉันบอกเธอล่วงหน้า ไม่มีทางที่เธอจะยอมปล่อยให้ฉันไปคนเดียวแน่ ๆ แล้วฉันจะกล้าพาเธอไปเจอกับอันตรายด้วยได้ยังไง? แต่ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ฉันได้รับการสืบทอดพลังของเทพเลิศล้ำมาแล้ว สามารถควบคุมดาบศักดิ์สิทธิ์ และใช้พลังของมันได้อย่างเต็มที่ หลังจากนี้ ก็เหลือเพียงการกำจัดราชามารไปเท่านั้น แล้วพวกเราก็จะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ตลอดไป”
มู่จือคำรามออกมา “ครั้งนี้ฉันจะยกโทษให้นายก็ได้ แต่จำสิ่งที่นายสัญญาเอาไว้ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน แล้วไหสุ่ยก็ยอมเสียสละเพื่อนายไม่น้อยเลยทีเดียว ห้ามทำให้เธอเสียใจเป็นอันขาด รู้มั้ย!!”
ผมหันไปมองที่ไหสุ่ย ซึ่งตอนนี้หน้าตานั้นแดงกล่ำไปหมดแล้ว ผมพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ฉันสัญญา ฉันจะไม่ทำให้เธอเสียใจเป็นอันขาด และจะตอบแทนสิ่งที่พวกเธอทำให้เป็นอย่างดีเลย แต่ตอนนี้ เรื่องที่สำคัญกว่าคือการต่อสู้กับเผ่ามาร และกำจัดราชามารลงไปให้ได้ก่อน พวกเราถึงจะอยู่กันได้อย่างสงบสุข”
มู่จือพยักหน้าออกมาเช่นกัน “เผ่ามารแข็งแกร่งมากเกินไป แค่สามมหามารก็รับมือได้ยากมากแล้ว ตอนที่พวกนั้นโจมตีป้อมปราการของพวกเรา ถ้าไม่ใช่เพราะพี่น้องของนายร่วมมือกัน และได้ความช่วยเหลือของผู้อาวุโสทั้งห้าคน ป้อมปราการนี้คงจะแตกไปแล้ว ตอนนี้นายได้รับสืบทอดพลังมาอย่างสมบูรณ์ ถ้าทุกคนหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะต้องเป็นฝ่ายโจมตีก่อนบ้าง แต่สิ่งที่น่าสงสัยในตอนนี้ก็คือ ทำไมราชามารยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีก? หรือว่าเขาจะยังคืนชีพไม่สำเร็จ?”
ผมขมวดคิ้ว “ฉันก็ไม่แน่ใจนัก แต่ตอนที่มาถึงที่นี่ ฉันรับรู้กลิ่นอายของมารที่เข้มข้นได้ มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก และไม่น่าจะเป็นกลิ่นอายของสามมหารมารนั่นแน่ ๆ แต่คิดว่าน่าจะเป็นของตัวราชามารเองเลย แสดงว่าเขาน่าจะคืนชีพกลับมาได้แล้ว คงต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขามาร่วมโจมตีในครั้งนี้ด้วยไม่ได้ แต่อย่างไรเสีย พวกเราคงต้องระวังตัวเอาไว้อย่างดีที่สุด” หลังจากกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง ผมก็กล่าวออกมาต่อ “มู่จือ! ไหสุ่ย! ฉันมีเรื่องจะปรึกษากับเธอทั้ง 2 คนหน่อย”
ทั้งคู่ดูจะชะงักไปพร้อมกัน ก่อนจะถามออกมา “เรื่องอะไร?”
ผมยื่นมือออกไปโอบร่างอันงดงามของทั้งคู่เอาไว้ ก่อนจะกล่าวออกมาเสียงไม่ดังนัก “ฉันอยากจะอยู่ในห้องนี้กับพวกเธอด้วยน่ะ”
ไหสุ่ยก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ส่วนมู่จือต่อยผมเข้าที่หน้าอกอย่างแรง “ไม่มีทาง! ไม่ต้องมาคิดจะทำอะไรแปลก ๆ ตอนนี้เลย!!”