ตอนที่ 406 อสูรศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 406 อสูรศักดิ์สิทธิ์
ณ เมืองแห่งหนึ่งท่ามกลางกาแล็กซีอันมืดมิด
เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนยานขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ใหญ่กว่าดาวเคราะห์ บนยานขนาดใหญ่แห่งนี้มีทั้งเมือง, ภูเขา, แม่น้ำ, ต้นไม้, ดอกไม้และเกราะพลังงานทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ครอบเอาไว้ เพื่อทำให้ผู้คนด้านในสามารถใช้ชีวิตได้เสมือนพวกเขากำลังอยู่บนดวงดาว
กล่าวโดยสรุปบนยานขนาดใหญ่นี้มีทุกสิ่งที่ดาวเคราะห์ควรจะมี แตกต่างกันเพียงแค่ดาวเคราะห์เป็นรูปทรงกลม แต่ยานเป็นรูปทรงระนาบที่มีเครื่องยนต์คอยขับเคลื่อนให้ตัวยานแล่นสู่ส่วนลึกของทะเลดาว
หากใครมามองดูใกล้ ๆ พวกเขาก็จะพบว่าเมือง ๆ นี้ถูกสร้างขึ้นบนยานอวกาศขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามยานลำนี้แตกต่างจากยานไททันซึ่งเป็นยานรบที่มุ่งเน้นไปที่การทำลาย แต่ยานลำนี้เป็นเหมือนกับป้อมปราการที่สามารถเคลื่อนที่ได้มากกว่า
บริเวณข้างลำธารใสแห่งหนึ่งปัจจุบันกำลังมีชายชรากำลังนั่งตกปลาอยู่บริเวณท่าน้ำ โดยเขาวางเท้าแช่ลงไปในน้ำปล่อยให้ปลาตัวเล็ก ๆ คอยตอดอย่างสนุกสนาน ส่วนบริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ มันจึงทำให้สถานที่แห่งนี้เหมาะสมสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ใบหน้าของชายชรามีสีเลือดฝาดราวกับทารก ขณะที่เคราสีขาวเงินของเขาถูกถักเป็นเปียหลายร้อยเส้นปลิวไสวอยู่ตรงบริเวณหน้าอก จมูกของเขาค่อนข้างโด่ง ดวงตาโตค่อนข้างคมชัดทำให้โดยรวมแล้วชายชราคนนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่หล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว
ในขณะที่ชายชรากำลังนั่งตกปลาและดื่มเหล้าอยู่คนเดียวนั้น จู่ ๆ มันก็ได้มีประตูวาร์ปเปิดออกด้านข้างเขาก่อนที่หยูฮัวจะเดินออกมาจากประตูอย่างระมัดระวัง และก้มหัวด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเคารพ
“สวัสดีครับท่านผู้นำ” หยูฮัวกล่าวพร้อมกับแสดงความเคารพ
“ก่อนหน้านี้ไปไหนมาล่ะ? นายไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้อีกแล้วใช่ไหม?” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ผมไม่สามารถซ่อนอะไรจากท่านผู้นำได้จริง ๆ ครั้งนี้ผมนำใบนาร์ซิสซัสไปส่งให้ไป๋ฉาไห่ 10 ใบเพื่อสร้างผลกำไรให้กับตัวเองเล็กน้อย” หยูฮัวกล่าว
“ไป๋ฉาไห่เก็บตัวฝึกฝนมาเป็นเวลามากกว่า 20 ปีแล้วสินะ หลังจากได้สมุนไพรพวกนั้นไปมันก็คงถึงเวลาที่เขาจะได้กลายเป็นราชากฎเสียที เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลหยูของเราก็คงจะมีคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน” ชายชรากล่าว
“ท่านผู้นำไม่ได้ติเตียนผมในเรื่องนี้ใช่ไหมครับ?” หยูฮัวกล่าวขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
“ถึงนายจะไม่ขายสมุนไพรพวกนั้นให้กับเขาแต่มันก็คงจะมีพ่อค้าคนอื่นขายสมุนไพรพวกนั้นให้กับเขาอยู่ดี ในเมื่อนายเลือกเส้นทางพ่อค้าแล้วก็จงยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ น่าเสียดายที่นายไม่คิดจะเข้ามาดำรงตำแหน่งในตระกูลทั้ง ๆ ที่นายเข้าใจกฏแห่งมิติอย่างชัดแจ้ง ฉันล่ะเสียดายความสามารถของนายจริง ๆ” ชายชรากล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ท่านผู้นำก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ชอบทะเลาะกับคนอื่นและผมมักจะรู้สึกเวียนหัวเมื่อต้องเห็นเลือด ผมเลยเลือกอาชีพเป็นพ่อค้าอิสระอย่างไม่มีทางเลือกอื่น แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะคอยรับใช้ตระกูลนะครับ ส่วนนี่คือไข่วิหคเพลิงสามหัวครับ ผมรีบนำมันมามอบให้ท่านผู้นำในทันทีที่ผมได้รับมันมา” หยูฮัวกล่าวพร้อมกับยื่นกล่องมิติขนาดเล็กให้กับชายชรา
“หือ? ไข่วิหคเพลิงสามหัวงั้นเหรอ นี่มันไข่อสูรหายากนะเนี่ยถ้ามันฟักออกมาได้สำเร็จอนาคตมันก็จะกลายเป็นสัตว์อสูรชั้นยอด พวกเด็ก ๆ ในตระกูลจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน ว่าแต่ครั้งนี้นายจะคิดราคาเท่าไหร่ล่ะ?” ชายชรากล่าวหลังจากรู้สึกตกตะลึงอยู่เล็กน้อย
“ท่านผู้นำอย่าล้อเล่นกับผมเลยผมจะกล้าเรียกราคากับคุณได้ยังไง สาเหตุที่ผมสามารถค้าขายได้อย่างราบรื่นมาโดยตลอดนั่นก็เพราะอิทธิพลของตระกูล ซึ่งถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าตระกูลคอยปกป้องผมไว้ผมคงจะโดนพ่อค้าคนอื่นจัดการไปตั้งนานแล้ว” หยูฮัวรีบกล่าวขัดจังหวะ
ถ้าเซี่ยเฟยได้ยินคำพูดของหยูฮัวเขาก็คงจะรู้สึกตกใจพอสมควร เพราะนิสัยประจบสอพลอและชอบการให้ของขวัญไม่ใช่นิสัยเฉพาะตัวของเขาอีกต่อไป เนื่องจากหยูฮัวทั้งประจบสอพลอและใช้วิธีมอบของขวัญได้อย่างแยบยลไม่ด้อยไปกว่าตัวของเขาเลย
“เอาล่ะฉันจะยอมรับมันไว้ก็แล้วกันและตราบใดที่ตระกูลหยูของเรายังอยู่ ตระกูลของเราก็จะปกป้องนายไปตลอดชีวิต” ชายชรากล่าวพร้อมกับพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ท่านผู้นำไม่ว่าไข่นกใบนี้จะล้ำค่ามากแค่ไหนแต่สุดท้ายมันก็จะเติบโตออกมาเป็นสัตว์อสูรที่ไร้ผู้ควบคุมมันได้อยู่ดี ซึ่งในวันนี้ผมก็ได้เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่อีกชิ้นหนึ่งมาไว้ให้กับคุณแล้ว” หยูฮัวกล่าว
“มันยังมีอะไรอีกงั้นเหรอ?” ชายชราถามอย่างสงสัย
“ผมมีคนคนหนึ่งครับ” หยูฮัวกล่าวอย่างลึกลับ
“คน?”
“ใช่ครับ คนคนนี้สามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้อย่างเต็มที่และเขาก็มีอายุเพียงแค่ 20 ต้น ๆ เท่านั้น”
“เปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ ต้นกล้าแบบนี้หายากมากเลยนะ! เขายังไม่ได้รับการติดต่อเข้าไปยังตระกูลไหนใช่ไหม?” ชายชรากล่าวถามด้วยแววตาอันเป็นประกาย
“เขายังไม่ได้รับการติดต่อครับ” หยูฮัวกล่าว
“แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ยังไม่มีใครเคยผ่านบททดสอบของดาวเคราะห์มรดกมาได้เลยนะ แล้วเขาสามารถเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 อย่างสมบูรณ์ได้ยังไง?” ชายชรากล่าว
“ในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขามีบันทึกว่าเขาเคยผ่านดาวเคราะห์มรดกมาแล้วจริง ๆ แต่เขาเพิ่งผ่านดาวเคราะห์มรดกไปได้เพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งยังห่างไกลจากบททดสอบที่พวกเราได้ตั้งเอาไว้ครับ”
“หลังจากที่ผมลองสังเกตดูดี ๆ ผมก็ได้รู้ว่าถึงแม้พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของคนคนนี้จะถูกเปิดออกอย่างเต็มที่ แต่มันก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักจนถึงจุดที่เขาไม่สามารถพัฒนาพลังได้ด้วยตนเองและจำเป็นจะต้องพึ่งแต่น้ำยาเพื่อเพิ่มระดับพลัง ดังนั้นผมจึงเดาว่าเขาคงใช้วิธีการอะไรบางอย่างเพื่อบังคับเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ให้เปิดออกอย่างสมบูรณ์ มันจึงทำให้สมองของเขาได้รับความเสียหายจนถึงระดับนี้” หยูฮัวกล่าว
“น่าเสียดายจริง ๆ ที่แท้เขาก็เป็นเพียงแค่คนที่ไร้ค่า ถึงแม้ตระกูลหยูของเราจะอุทิศทรัพยากรทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเขา แต่อย่างมากที่สุดเขาก็คงจะเป็นได้เพียงแค่ผู้ใช้พลังระดับอีเทอนิตี้ แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรที่ตระกูลของเราจะชุบเลี้ยงขยะที่ไม่สามารถพัฒนาจนถึงระดับอิมมอทอลลิตี้ได้” ชายชรากล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ท่านผู้นำถึงแม้ว่าคนคนนี้จะดูเหมือนไร้ประโยชน์ แต่มันก็มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าค่อนข้างน่าสนใจ” หยูฮัวกล่าวอย่างมีเลศนัย
“มีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ?” ชายชราถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“คุณรู้ไหมว่าผมพบกับเขาได้ยังไง?”
“ยังไง?”
“ระหว่างทางที่ผมกำลังจะไปส่งนาร์ซิสซัส จู่ ๆ ผมก็สัมผัสได้ถึงคนที่กำลังจะเข้าถึงกฏแห่งมิติ ผมจึงรีบเดินทางไปดูและได้พบกับคนไร้ประโยชน์คนนี้นี่เอง แต่น่าเสียดายที่พื้นฐานของเขายังต่ำเกินไปเขาจึงถูกบีบให้ออกมาก่อนที่เขาจะสามารถก้าวข้ามผ่านประตูไปได้สำเร็จ”
ช็อก!
โคตรช็อก!
“คนที่พื้นที่สมองส่วนที่ 7 พิการกำลังจะเข้าถึงกฏแห่งมิติงั้นเหรอ! ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็หมายความว่าระดับพลังของเขาอยู่เหนือกว่าระดับอีเทอนิตี้ และใกล้จะถึงระดับอิมมอทอลลิตี้แล้วใช่ไหม?” ชายชราพูดขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่ใช่ครับ พลังพิเศษติดตัวของเขาคือความเร็วและเขาก็เพิ่งจะเลื่อนระดับได้ถึงระดับลีเจนด์ แต่สาเหตุที่เขาเลื่อนระดับขึ้นมาได้จนถึงขั้นนี้นั่นก็เพราะว่าเขามีอุปกรณ์ที่ช่วยส่งเสริมพลังมากพอสมควรโดยเฉพาะรองเท้าอีซูซุ ถ้าหากว่าเขาขาดอุปกรณ์ชิ้นนี้ไปเขาก็อาจจะไม่สามารถทะลุระดับลีเจนด์ขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ” หยูฮัวกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“เข้าถึงกฎได้ตอนที่มีพลังแค่ระดับลีเจนด์เนี่ยนะ!? เรื่องนี้มันจะมากเกินไปแล้ว รีบ ๆ เล่ารายละเอียดออกมาเร็วเข้า!” ชายชราอุทานออกมาอย่างตกใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ตอนแรกผมก็รู้สึกสับสนเรื่องนี้เหมือนกัน ผมเลยพยายามติดต่อกับเขาและผมก็ได้พบว่านิสัยของเขาเป็นนิสัยที่หาได้ยากมาก เพราะเขาทั้งเข้ากับคนง่าย, มีสายตาอันเฉียบคมและไม่กลัวในตอนที่ผมปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน”
“ยิ่งไปกว่านั้นเขายังชวนผมขึ้นไปดื่มน้ำชาบนยานอวกาศของเขาอีกด้วย ที่สำคัญเขายังให้ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดมือผมมา ผมเลยค่อนข้างชอบนิสัยฉลาดแกมโกงของเจ้าหนุ่มนี่มากพอสมควร” หยูฮัวเริ่มเล่าตั้งแต่ที่เขาได้ไปพบกับเซี่ยเฟย
“รีบเข้าประเด็นหลักได้แล้ว อย่าพูดจาอ้อมค้อม” ชายชรากล่าวขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“ในตอนที่ผมเข้าไปในยานอวกาศของเขานั่นเอง จู่ ๆ ผมก็ได้พบกับอสูรศักดิ์สิทธิ์!!”
“อสูรศักดิ์สิทธิ์! แน่ใจนะ? นายเห็นอสูรศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ เหรอ?!” ชายชราอุทานขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
“ท่านผู้นำไม่เชื่อสายตาของผมงั้นเหรอครับ? มันเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ มันคือมารขาว อสูรที่ได้รับสมญานามว่าผู้ทำลายล้างดวงดาว” หยูฮัวกล่าวอย่างมั่นใจ
เมื่อได้ยินชื่อมารขาวชายชราก็อ้าปากค้างขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
มารขาวได้รับสมญานามว่าผู้ทำลายล้างดวงดาว เนื่องมาจากว่ามันเป็นสัตว์อสูรที่มีนิสัยดุร้ายและชอบทำลายทุกสิ่งที่มันเคลื่อนที่ผ่านไป แน่นอนว่าแม้แต่ดวงดาวก็ไม่สามารถที่จะหยุดมันได้ เพราะถ้าหากว่ามันปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่แม้แต่กาแล็กซีก็จะถูกทำลายออกเป็นเสี่ยง ๆ
ขณะเดียวกันเซี่ยเฟยเป็นเพียงแค่นักรบที่เพิ่งก้าวเท้าเข้าสู่ระดับลีเจนด์ ซึ่งไม่ได้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับมารขาวเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้การที่หยูฮัวบอกว่ามารขาวอยู่กับเซี่ยเฟย มันจึงทำให้ชายชรารู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง
“นายรอดกลับมาทั้ง ๆ ที่ได้เจอกับมารขาวเนี่ยนะ?!” ชายชรากล่าวถามอย่างสงสัย
แม้ว่าหยูฮัวจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้กฏแห่งมิติ แต่เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมารขาวอยู่ดี ซึ่งถ้าหากว่าเซี่ยเฟยได้ยินประโยคนี้มันก็คงจะทำให้เขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
ใครจะไปจินตนาการได้ว่าขนอุยที่คอยประจบสอพลอเขาทั้งวันจะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นอสูรดุร้ายที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญกฏแห่งมิติก็ยังถูกมันสังหารได้อย่างง่ายดาย
“ในตอนแรกที่ผมเห็นมารขาวผมก็ตกใจมากเหมือนกัน แต่หลังจากที่ผมสังเกตมันอย่างระมัดระวัง ผมก็พบว่ามารขาวตัวนี้ยังเด็กมาก ผมเลยยังอยู่ต่อตรงนั้นไม่ได้รีบเปิดประตูมิติเพื่อหลบหนีไปไหน” หยูฮัวกล่าวพร้อมกับยักไหล่
“มารขาวเด็กงั้นเหรอ? ทำไมนายถึงไม่เอามันกลับมาด้วย! โอกาสดี ๆ แบบนี้นายพลาดมันไปได้ยังไง” ก่อนที่หยูฮัวจะทันเล่าจบชายชราก็ชิงตะโกนด่าขึ้นมาด้วยความโกรธ
หากพวกเขาได้ครอบครองอสูรศักดิ์สิทธิ์มันก็จะช่วยพัฒนาศักดิ์ศรีของตระกูลหยูได้ครั้งใหญ่ ซึ่งบางทีมันก็อาจจะผลักดันให้ตระกูลหยูขึ้นไปเป็นตระกูลชั้นแถวหน้าของอาณาจักร แต่ถึงกระนั้นหยูฮัวก็ยังไม่นำมารขาวกลับมาด้วยมันจึงทำให้ชายชรารู้สึกโกรธพ่อค้าคนนี้มาก
หยูฮัวพยายามนวดไหล่ชายชราด้วยรอยยิ้มขี้เล่นเพื่อคอยบรรเทาความโกรธของชายชราลง
“เลิกทำแบบนี้แล้วเล่าต่อไปสักที” ชายชรากล่าวหลังจากผ่อนคลายความโกรธของตัวเองลงได้แล้ว
“ท่านผู้นำผมรู้ดีว่ามารขาวสำคัญกับตระกูลเรามากแค่ไหน แต่น่าเสียดายที่มารขาวตัวนั้นทำพันธสัญญากับชายคนนั้นแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าผมจะแย่งมันมาแต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา” หยูฮัวกล่าว
“เจ้าโง่! ในตระกูลของเราก็มีคนที่สามารถทำลายพันธสัญญาได้ เจ้าหนุ่มนั่นเพิ่งจะพัฒนาถึงระดับลีเจนด์มันคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้ทำพันธสัญญาระดับสูง” ชายชรายังคงกล่าวด้วยความหงุดหงิด
“มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิครับ สิ่งที่ผูกมัดระหว่างมารขาวกับเซี่ยเฟยอยู่คือพันธสัญญาโบราณที่เชื่อมโยงชีวิตของทั้งคู่เข้าด้วยกัน ดังนั้นผมจึงคิดว่าแม้แต่ตัวท่านผู้นำเองก็ไม่สามารถที่จะทำลายพันธสัญญาระหว่างเซี่ยเฟยกับมารขาวตัวนั้นได้”
***************
ไอ้ก้อนคืออสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ดุร้าย! แล้วตัดภาพไปที่ขนอุยที่ทำตาบ้องแบ๊วเพื่อขอของกิน (;¬_¬)