ตอนที่ 1226 พี่ใหญ่ คุณปล่อยฉันไปเถอะ ถ้าหากคนของ หยุนเหมิน รู้...
คนพิการส่ายหัว และพูดว่า : “ฉันไม่รู้”
หลินฟาน กล่าวว่า : “คุณโกหก บอกความจริงกับผมมาตรงๆ ไม่งั้นผมจะทําให้คุณเสียใจ..”
คนพิการได้ยิ้มหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น ก่อนจะพูดว่า : “พี่ใหญ่ ฉันเองไม่รู้จริงๆ นะ”
หลินฟาน ขี้เกียจเกินกว่าจะพูดเรื่องไร้สาระกับเขา เขาได้วางเขาลง และมือข้างหนึ่งของเขาก็ขยับอย่างรวดเร็วไปที่หัวไหล่ของอีกฝ่าย พร้อมกับบีบมันเบาๆ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ปิดปากของอีกฝ่ายเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
คนพิการ รู้สึกเจ็บปวดจนหัวใจแทบฉีกขาด แต่ปากก็ถูกปิดเอาไว้ ส่งเสียงร้องใดๆ ออกไปไม่ได้.. ความเจ็บปวดในตอนนี้มันก็ทำให้มีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา ใบหน้าของเขาเองก็ได้พาบิดเบี้ยวไป
หลินฟาน รอให้เขาปรับตัวให้เข้ากับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงในตอนนี้ แล้วพูดไปว่า : “ผมจะถามคุณอีกครั้ง คุณรู้จัก หยุนเหมิน หรือไม่? บอกผมมาทุกอย่างที่คุณรู้ มิฉะนั้นแบบเมื่อกี้นี้ มันก็แค่เรื่องง่ายๆ สำหรับผมที่จะทำ ความเจ็บปวดต่อไป ผมสัญญาได้เลยว่าคุณไม่อยากคิดที่จะลิ้มรสมันอย่างแน่นอน หรือคุณอยากลองดู?”
คนพิการในตอนนี้เขาหวาดกลัวจนเป็นใบ้ไป ได้แต่พยักหน้า ส่ายหน้าอย่างรีบร้อน โอ้.. สวรรค์ ตอนนี้เขาเองก็เจ็บเกือบจะตายอยู่แล้ว คาดไม่ถึงเลยว่า ..อีกฝ่ายจะพูดได้ว่า เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ
หลินฟาน จึงปล่อยมือออก แล้วพูดว่า : “พูดมาเถอะ”
คนพิการ พูดว่า : “พี่ใหญ่ คุณช่วยบรรเทาอาการปวดให้ฉันก่อนได้ไหม มือฉันมันไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว”
เขาเป็นคนพิการอยู่แล้ว และถ้ายังปล่อยให้มือง่อยไปอีกเช่นนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกทรมานเข้าไปใหญ่
หลินฟาน กล่าวว่า : “ตอบคําถามของผม หากผมพอใจแล้ว ผมจะช่วยคุณบรรเทาอาการปวดให้เอง”
คนพิการได้ยิ้มอย่างขมขื่น และได้แต่พูดไปว่า : “พี่ใหญ่ มากับฉัน”
คนพิการ ได้พา หลินฟาน ไปที่บ้านหลังหนึ่ง บ้านของที่นี่สร้างขึ้นจากไม้ล้วนๆ ทั้งยังมีลักษณะเฉพาะ.. หลินฟาน เองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด บวกกับการได้ยินสำเนียงของ คนพิการ คนนี้ มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกแปลกเหมือนกัน ทั้งยังต้องฟังมันอย่างจริงจังถึงจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เขาพูดสื่อออกมา
ครั้นเข้าไปข้างในบ้าน คนพิการ ก็ขอให้ หลินฟาน นั่งลง แล้วพูดว่า : “พี่ใหญ่ คุณถามฉันว่ารู้จัก หยุนเหมิน หรือไม่.. ฉันรู้ และนั่นก็เพราะฉันเป็นหูเป็นตาของ หยุนเหมิน ตัวตนของฉันคนในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่รู้ ทั้งฉันเองก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการติดต่อเรื่องภายนอกบางอย่างให้กับ หยุนเหมิน”
หลินฟาน กล่าวว่า : “งั้นคุณก็ต้องรู้วิธีไปยัง หยุนเหมิน”
“นี่…” คนพิการ ได้อ้ำๆ อึ้งๆ
หลินฟาน มีคําถามอยู่ในใจแล้ว เขาได้ถามไปว่า : “คืนนี้มีใครได้มาตามหาคุณไหม?”
คนพิการ ตอบว่า : “อืม.. คุณหยุน ได้มาหาฉัน เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว”
หลินฟาน กล่าวถามไปว่า : “เธอพูดอะไรกับคุณหรือไม่?”
คนพิการได้ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะพูดไปว่า : “เธอสั่งฉันว่า ..คืนนี้ ไม่ว่าจะได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ ข้างนอก อย่าออกไปดู และให้ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
มาตอนนี้.. เขารู้สึกเสียใจจริงๆ เขาเองแค่สงสัยมากไป หากถ้ารู้ก่อนหน้านี้เขาเองคงไม่คิดออกมาดู และก็คงจะไม่ถูก หลินฟาน จับได้
หลินฟาน ถามไปว่า : “เธอมาหาคุณทําไม?”
คนพิการ กล่าวว่า : “เธอมาขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ฉันขับไป”
หลินฟาน กล่าวว่า : “งั้นคุณพาผมไปที่ หยุนเหมิน เราจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้”
คนพิการได้แสดงสีหน้าลําบากใจทันที และพูดว่า : “พี่ใหญ่ หยุนเหมิน เป็นกลุ่มคนที่ตัดขาดจากโลกภายนอก รถของฉันก็ให้ คุณหยุน ยืมขับออกไปแล้ว ทั้งเส้นทางสายนั้นอย่างน้อยๆ ก็ต้องเดินไปกว่าสิบลี้ (ประมาณ 5 กิโลเมตร) หลังจากผ่านเส้นทางกว่าสิบลี้นี้ไป มอเตอร์ไซค์ เองก็ไม่สามารถใช้ขับต่อไปได้แล้ว ต่อไปยังต้องปีนภูเขา ลุยน้ำ…”
หลินฟาน เห็นว่าเขาเป็นคนพิการ การพาเขาไปด้วย ดูจะไม่สะดวกจริงๆ เขาได้พูดว่า : “งั้นคุณช่วยวาดแผนที่เส้นทางมาให้กับผมเถอะ ผมจะไปหาเอง”
คนพิการ มีสีหน้าร่ำไห้ออกมาทันที ดูท่าเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ : “พี่ใหญ่ คุณปล่อยฉันไปเถอะ ถ้าหากคนของ หยุนเหมิน รู้ว่าฉันเป็นคนบอกเส้นทางไปยัง หยุนเหมิน พวกเขาคงไม่คิดปล่อยฉันไปแน่ๆ พอถึงตอนนั้นฉัน.. ก็ต้องตายแน่ๆ…”
หลินฟาน กล่าวว่า : “หากคุณไม่บอกผม ..ตอนนี้ คุณก็ตาย หรือคุณอยากจะลองชิมมันอีกสักรอบไหม ยังไงผมเองก็ไม่ได้รีบ ผมยังมีเวลามากพอที่จะรับใช้คุณอย่างช้าๆ ไปได้อีกนาน”
คนพิการตัวสั่นทันที เขาไม่กล้าคิดจะเพลิดเพลินไปกับการปรนนิบัติของ หลินฟาน หัวไหล่ของเขาเองก็ยังรู้สึกปวดร้าวอยู่เลย
เขารู้สึกเสียใจจนลำไส้กลายเป็นสีเขียว หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้แล้ว เขาเองควรที่จะทำตามที่ คุณหยุน ..สั่ง ว่าอย่าออกไปข้างนอก มาตอนนี้เขากลับไปยั่วยุ หลินฟาน เข้าให้.. ผู้ชายคนนี้ เรียกได้เลยว่าเป็น เทพเจ้าที่ชั่วร้าย!
คนพิการ ช่วยไม่ได้.. เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ จึงต้องไปหาปากกา กระดาษ เขาวาดมันลงบนกระดาษดังกล่าว พร้อมกับอธิบายเพื่อบอกเส้นทางให้กับ หลินฟาน ได้ฟัง หลังจากนั้นไม่นาน แผนที่ก็ได้ถูกวาดขึ้นจนแล้วเสร็จ
“พี่ใหญ่.. นี่” คนพิการส่งภาพแผนที่ที่เขาวาดไปให้กับ หลินฟาน
หลินฟาน ก็ได้ลุกขึ้นทันที พร้อมกับพูดว่า : “ไม่จำเป็น คุณเก็บไว้เถอะ”
เขาจดจำมันเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
ในขณะพูด หลินฟาน ก็เอื้อมมือออกไป ตบเข้าที่ไหล่ของ คนพิการ ทันที คนพิการก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดที่หัวไหล่ของเขา ..มันได้หายไปแล้ว
คนพิการคนนั้น ได้ลองขยับแขนเล็กน้อยก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว ในใจเขาก็อดแปลกใจไม่ได้ ชายหนุ่มคนนี้ น่าทึ่งเกินไป ถ้าคนๆ นี้กำลังมองหาปัญหา.. หยุนเหมิน เองก็อาจคงตกที่นั่งลำบากแล้วเช่นกัน
แต่ คนพิการ คนนี้ ก็ไม่ได้วางใจในทันที แม้ว่า หลินฟาน จะเก่งมาก น่าทึ่งมาก แต่นั่นคือ หยุนเหมิน ไม่ว่า หลินฟาน จะทรงพลังมากเพียงใด แต่เขาก็เพียงตัวคนเดียว แล้วเช่นนี้เขาจะไปต่อสู้กับ หยุนเหมิน เพียงลำพังได้เช่นไร
“พี่ใหญ่ ถ้าคุณจะไปหาเรื่อง หยุนเหมิน ฉันขอเตือนคุณสักหน่อย คุณอย่าเอาตัวไปเสี่ยงเลย และการที่คุณยังตัดสินใจเช่นนี้ มันก็หมายความว่าคุณกำลังมองหาความตายอย่างไม่ต้องสงสัย” คนพิการ ได้กล่าวเตือน พร้อมกับพยายามเกลี้ยกล่อมเขา
หลินฟาน ยิ้ม และไม่ได้ตอบ คนพิการ คนนั้น จากนั้นเขาจึงเดินออกไปจากบ้านของ คนพิการ
เส้นทางระยะทางกว่าสิบลี้ เมื่อพิจารณาถึงเส้นทางบนภูเขาที่เท้าเดินได้ยากลำบากแล้ว การขี่รถไฟฟ้าคาดว่าจะใช้เวลา 15 นาที รถมอเตอร์ไซค์อาจจะทำเวลาได้เร็วขึ้น 5 ถึง 10 นาที หากเดินด้วยเท้าไป.. สถิติโลกของการวิ่งระยะไกลสิบลี้ของมนุษย์ คือ 12 นาที 35 วินาที
ส่วนสำหรับ หลินฟาน แล้ว การเดินวิ่งไปด้วยเท้าระยะสิบลี้นี้ เขาใช้เวลาเพียง 5 นาที
เร็วกว่าเจ้าของสถิติโลก 7 นาที
หลินฟาน รู้สึกว่านี่มันไม่นับว่าเป็นอะไรได้ เพราะขนาดเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังเพียงเล็กน้อย ยังสามารถเดินทาง 10 ลี้ได้ภายใน 10 นาที อย่าง ผู้เชี่ยวชาญ ของสำนักนิกายซ่อนเร้น อย่างของ หยุน ชิงเย้า ยังสามารถลดเวลานี้ให้เหลือเพียงประมาณ 5 นาทีก็ยังได้
ถ้าว่าตามปกติ หยุน ชิงเย้า ไม่จำต้องไปถาม คนพิการ เพื่อขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ ระยะทางประมาณนี้ เธอเองก็น่าจะใช้เวลา 5 นาที ที่ไหนจะต้องใช้มอเตอร์ไซค์อีก สําหรับผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง นั่นมันก็คือการเสแสร้ง
แต่ หยุน ชิงเย้า จุดตันเถียนของเธอยังคงถูกควบคุมโดย หลินฟาน เธอเองสามารถทุบตีคนขับรถแท็กซี่จนหมดสติได้ แต่หากถ้าเป็นตามปกติ ที่ไหนคนขับรถจะยังมีโอกาสได้เห็นเธอจากไป พอทันทีที่เธอลงมือ เขาเองก็คงจะหมดสติลงไปก่อนแล้ว
สําหรับ หยุน ชิงเย้า ในตอนนี้ เส้นทางระยะสิบลี้ ดูจะลําบากเกินไปสำหรับเธอ ไม่ต้องพูดถึงเจ้าของสถิติแห่งศตวรรษเลย เธอในตอนนี้สู้คนธรรมดาบางคนยังไม่ได้ และระยะทางกว่าสิบลี้ที่ว่านี้ เธอเองอาจจะต้องใช้เวลาเดินทางกว่าครึ่งชั่วโมง
เธอกำลังแข่งกับเวลาเพื่อรีบไปที่ หยุนเหมิน แต่เธอไม่ต้องการเสียเวลาตรงนี้
หลินฟาน ได้หยุดอยู่ที่หน้าผาแห่งหนึ่ง สายตามองดูที่พื้น ที่พื้นมีร่องรอยรถมอเตอร์ไซค์เหลืออยู่ จากร่องรอยนี้ยังคงเป็นร่องรอยใหม่ และไม่มีร่องรอยของรถมอเตอร์ไซค์ในบริเวณใกล้เคียงอีก
หลินฟาน ได้มองลงไปใต้หน้าผา หมอกหนาทึบ และช่วงกลางคืนเช่นนี้ แทบมองไม่เห็นอะไรเลย มอเตอร์ไซค์เองอาจจะถูก หยุน ชิงเย้า ผลักตกลงหน้าผาไปแล้ว
หลินฟาน ได้เพิกเฉย และพอเขาระบุทิศทางต่อไปได้แล้ว ก็รีบเลี้ยวเข้าไปในป่าภูเขาข้างๆ ทันที จากที่นี่ รถใดๆ ก็ใช้การไม่ได้แล้ว การเดินทางต่อไปต้องพึ่งขาตัวเองเท่านั้น ต้องบอกว่า หยุนเหมิน นี้ ..ยังคงซ่อนตัวอยู่ลึกมาก และแม้แต่ยานพาหนะทางบกก็เข้าถึงไม่ได้เลย นอกจากจะต้องขับเครื่องบิน แต่ถึงแม้จะขับเครื่องบิน หากถ้าไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัด มันก็ยากที่จะค้นหา อย่างไรก็ตามที่นี่มีภูเขาลึกอยู่ต่อเนื่องจนได้ชื่อว่าเป็นภูเขากว่าแสนลูก หากลุ่มชาติพันธุ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่โต แต่กลับจงใจหลบซ่อนตัว แน่นอนว่ามักจะคุยด้วยไม่ง่าย…
หลินฟาน ได้เดินเท้าไปอีกสักพัก และเขาก็ได้สังเกตเห็นว่าเส้นทางของที่นี่ดูอ่านยากมาก ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ใน หยุนเหมิน จะไม่ค่อยออกไปข้างนอก และไม่สามารถเดินออกนอกเส้นทางที่คุ้นเคยได้ โชคดีที่ หลินฟาน มีคนพิการ บอกเส้นทาง และเขาก็พบร่องรอยในบริเวณใกล้เคียง ..ได้อย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่านี่.. เป็นร่องรอยที่ หยุน ชิงเย้า ทิ้งไว้ แต่ หลินฟาน ก็พบว่าร่องรอยที่เหลืออยู่ที่นี่ มีอยู่สองร่องรอย!
กล่าวอีกนัยคือ คนที่เข้ามาในป่าภูเขานี้ ในคืนนี้ ..นอกจาก หยุน ชิงเย้า แล้ว ..ยังมีอีกคน!