เล่นมายคราฟในต่างโลก เล่มที่ 2 บทที่ 3: ธุรกิจและการเรียนรู้
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
เล่มที่ 2 บทที่ 3: ธุรกิจและการเรียนรู้
.
(วอลสัน)
สำนักงานสาขาสมาคมของข้าเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศอบอุ่นและมันถูกสร้างขึ้นใหม่จากโรงแรม ที่ประตูแขวนรูปแมวสีดำพร้อมป้าย [นัยน์ตาแห่งแมวรัตติกาล] ที่แขวนอยู่บนประตู
ตอนนี้ข้ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกในสำนักงานสาขาย่อย ซึ่งกำลังอ่านแผ่นพับสถาบันที่เกรซทิ้งไว้
...พูดก็พูดเถอะ ไอ้เจ้าก้อนหนาๆ นี้คือแผ่นพับงั้นเหรอ?
ขณะที่โยกตัวอยู่บนเก้าอี้ ข้าก็กำลังอุ้มเด็กสาวน่ารักที่ข้าเพิ่งพบ
นางชื่อนิตา อายุ 7 ขวบและเป็นสุนัขที่เป็นมนุษย์กึ่งมนุษย์ นางกำลังหลับลึก หูสีน้ำตาลของนางแกว่งไปมาพร้อมกับลมหายใจอันแผ่วเบา
น่ารักเหมือนลูกสุนัขเลยแฮะ...
นอกจากที่นี่จะเป็นสำนักงานสาขาย่อยของ [นัยน์ตาแห่งแมวรัตติกาล] แล้ว ที่นี่ยังทำหน้าที่เป็นโรงแรมด้วย เจ้าของร้านคือพอลที่บังเอิญเป็นสมาชิกสมาคมด้วยกัน ดังนั้นสมาชิกของสมาคมอย่างเขาจึงได้รับส่วนลด 50%! เอาจริงก่อนจะลด ราคาของมันก็ไม่ได้แพงมากมายอะไรนัก
พอลเป็นชายวัยกลางคนอายุ 40 ปีและเขาเคยเป็นนักผจญภัยจนกระทั่งเขาถูกธนูยิงปักที่หัวเข่า (จริงๆ นะ) แม้ว่าเขาจะถอยกลับจากแนวหน้าและตั้งรกรากอยู่ที่เมืองหลวง แต่เขาก็ยังฝึกฝนร่างกายของเขาทุกวันจนถึงตอนนี้
"ทำไมถึงมีพวกตาแก่มากมายในสมาคมกันล่ะ?" ก่อนหน้านี้ข้าถามคำถามนี้ใน [กระดานข้อความ] และถูกดุทันที
นิตาเป็นลูกสาวบุญธรรมของพอล นางสูญเสียขาจากการถูกมอนสเตอร์ซุ่มโจมตี ทั้งยังถูกทิ้งโดยพ่อแม่ของนางเนื่องจากความเร่งรีบ ทำให้พอลได้ช่วยนางเอาไว้ มนุษย์สุนัขที่ไม่สามารถกระโดดไปมาได้อย่างอิสระ...ก็เหมือนนกที่ไม่สามารถโบยบินได้ คล้ายดั่งดาวที่ไม่อาจกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า
ข้ารู้เรื่องของนางผ่าน [กระดานข้อความ] ดังนั้นข้าจึงได้ตัดสินใจมาที่สำนักงานสาขาย่อยแห่งนี้
ยาของข้าสามารถรักษานางได้อย่างแน่นอน แต่ให้ข้าใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ก่อนสักหน่อย ข้าน่ะได้นัดพบกับพ่อค้าคนหนึ่งจาก [หอการค้ามาร์ท] ซึ่งเป็นสมาคมพ่อค้า
พูดตามตรง ข้าอยากพบท่านประธาน แต่เด็กอย่างข้าคงได้แค่หวัง...
“อดใจรออีกนิดเถอะนะ เดี๋ยวข้าจะจัดเซอร์ไพรส์ที่เจ้าต้องตะลึงแน่!” ข้ามองไปที่นิตาที่ยังคงนอนอยู่บนตักของข้า แม้ว่านางจะไม่มีขา แต่นางก็เป็นเด็กที่มีพลังกายเหลือล้น
เด็กน้อย อีกไม่นานเจ้าก็จะได้โดดโลดเต้นตามที่ใจหวังแล้ว
เอาล่ะ กลับไปที่เรื่องเดิม...แผ่นพับที่หนามากในมือข้าได้อธิบายถึงหลักสูตรการต่อสู้ไว้ด้วย ซึ่งทำให้ข้าสนใจมันพอสมควร
มันมี [อาร์เต้] วิชาการต่อสู้ที่ยากมากเขียนเอาไว้ โดยปกติแล้ว [นักสู้] ที่มีความสามารถด้านเวทมนตร์จะเชี่ยวชาญเทคนิคนี้กัน แต่ในบางกรณีก็ไม่ใช้มันกัน
เทคนิคนี้คือการรวมการเคลื่อนไหวทางกายภาพเข้ากับเวทมนตร์ เหมือนกับการพุ่งไปโดยใช้เวทมนตร์ ยกตัวอย่างเช่น การยิงลำแสงเพื่อสร้างแรงถีบส่งดาบให้ฟาดฟันศัตรูหรือหมัดกระแทกหน้าศัตรู
ในด้านการป้องกัน ก็มีของอย่างบาเรียเวทมนตร์ นี่คือเทคนิคการต่อสู้ [อาร์เต้] ที่ผสมผสานการต่อสู้เข้ากับเวทมนตร์
พูดง่ายๆ ก็คือมันคล้ายกับทักษะพวกระยะประชิดในเกม อย่างสตาร์เบิสร์สตรีมหรือโชริวเคนอะไรประมาณนั้น
โชริวเคน!!!
เอ่อ ข้าชักจะนอกประเด็นแล้วสิ ยังไงก็เถอะ ตามสิ่งที่ข้าจำได้ เมล่อนมีความสามารถด้านเวทมนตร์อยู่บ้าง แต่ทักษะการต่อสู้ของนางทรงพลังอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมล่อนไม่เคยใช้เวทมนตร์ธาตุเลย หมัดของนางส่วนใหญ่ก็จะใช้แค่หมัดเปล่าๆ หรือเสริมเข้ากับกำไลป้องกันทั้งนั้น ถ้าเกิดนางเรียนรู้เทคนิค [อาร์เต้] นางคงจะแข็งแกร่งขึ้นมากแน่
“เมล่อน เจ้าก็ควรไปโรงเรียนเหมือนกันนะ”
“เอ๊ะ? เพื่ออะไรเหรอคะนายท่าน?”
"ไปเรียนรู้ยังไงล่ะ"
"เอ่อ แต่...นั่นหมายความว่าข้าต้องจ่ายค่าเล่าเรียน..."
"ไม่เป็นไร ข้าจะจ่ายให้เอง" ตัวข้าตอนนี้น่ะมีเงินถึง 500 เหรียญทองเชียวนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!
ค่าเรียนที่สถาบันมีค่าใช้จ่าย 15 เหรียญทองทุกเทอม ซึ่งมีราคาแพงมากสำหรับชนชั้นทั่วไปในโลกนี้ แต่ข้าเป็นข้อยกเว้น
“นายท่าน การที่ท่านเสียเงินให้ข้าแบบนี้...”
"ไม่เป็นไรหรอกน่า อย่าคิดแบบนั้นเลย ถือว่านี่เป็นการลงทุนในตัวเจ้า เมื่อเจ้าเรียนรู้มันก็ช่วยข้าได้เหมือนกัน"
พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็ยังมีพวกวิชาศิลปะภาษาและคณิตศาสตร์ในสถาบันการศึกษาที่เป็นภาควิชาบังคับด้วย
แต่มันแตกต่างจากชีวิตที่ผ่านมาของข้า อัตราส่วนของวิชาการกับวิชาเน้นกายภาพของโลกใบนี้คือ 1: 4 ตามที่คาดไว้ ทักษะการต่อสู้ของโลกนี้คือสิ่งสำคัญที่สุด
“ข้าหวังว่าเจ้าจะได้เรียนรู้ [อาร์เต้] ของ [นักสู้] เจ้าคงจะทำได้ใช่ไหม?”
"แต่ว่า... นายท่าน ข้าอยากอยู่เคียงข้างท่านเพื่อรับใช้ท่านมากกว่า... ”
“อ๊ะ นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย เจ้าสามารถสมัครสถานะเป็นนักเรียนนอกหอพักได้”
นักเรียนนอกหอพัก เป็นนโยบายที่ไม่เหมือนใครในราชบัณฑิตยสถานแห่งเวทมนตร์
ในโรงเรียนนี้ นักเรียนบางคนยากจนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำงานในขณะที่เรียน
ดังนั้นทางออกคือการประนีประนอม นักเรียนที่ไม่ได้อยู่ในหอพักไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียน และตารางเวลาของพวกเขาก็จะไม่เต็ม ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาไปทำงานหรือพักผ่อนมากขึ้น
แต่นักเรียนประเภทนี้มีเกณฑ์หน่วยกิต บวกกับพวกเขาจะเรียนจบช้าลง เพราะเรียนน้อยลง ส่งผลทำให้พวกเขามีหน่วยกิตน้อยลง
โรงเรียนแห่งนี้มีลักษณะที่แตกต่างจากชีวิตที่ผ่านมาของข้ามาก ซึ่งก็คือพวกเขาไม่ได้เรียงลำดับชั้นเรียนตามอายุชั้นปี แต่เป็นหน่วยกิต
หน่วยกิตจะได้รับจากการทดสอบ การสอบจำลองและความพัฒนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะส่งผลทำให้หน่วยกิตสูงขึ้นมาก ชั้นหกคือชั้นที่สูงที่สุดของการศึกษา
ดังนั้นใครที่มีความสามารถมากก็จะสำเร็จการศึกษาเร็วขึ้น ส่วนคนที่หย่อนยานและขาดความสามารถก็จะอยู่ในโรงเรียนนานกว่า จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ขาดความสามารถที่จะออกจากโรงเรียนเพราะปัญหาทางการเงิน
นอกจากนี้ มันยังมีหน่วยกิตสำหรับชั้นเรียนภาคบังคับทุกเทอมด้วย ทำให้แม้ว่าพวกเจ้าจะรวยมาก แต่เจ้าก็จะต้องจบการศึกษาในเจ็ดปีอยู่ดี
จากมุมมองของข้า การศึกษาแบบนี้ถือว่าดีใช้ได้
“อืม นายท่าน เช่นนั้นข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ท่านผิดหวัง”
ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงตัดสินใจจะให้เมล่อนศึกษาต่อในเมืองหลวง แล้วข้าก็ขอให้พอลหาหน้าร้านใกล้กับสถาบัน เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของข้าด้วย
อ่า จริงสิ เมล่อนมาขอความช่วยเหลือจากข้าด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก
“นายท่าน เริ่มจากวันมะรืนนี้ ข้าขอไปสัมผัสกับการเป็นนักผจญภัยได้ไหมคะ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เมล่อนเอ่ยขอ ดังนั้นข้าจึงอนุมัติ อืม ข้าเองก็ควรเตรียมยาและเสบียงให้นางด้วย
ตารางงานวันนี้เต็มมาก ข้าขอไม่เล่ารายละเอียดเล็กน้อยแล้วกัน แต่มาพูดถึงยาที่ข้าตั้งใจจะขายกันดีกว่า
ข้าพานิตาไปที่ [หอการค้ามาร์ท] รูนี่ที่เป็นสมาชิกของสมาคม [นัยน์ตาแห่งแมวรัตติกาล] คอยเป็นคนช่วยประสานงานให้กับข้า คนที่ข้าเข้าพบคือ มารอน
“ถ้าไม่ใช่เพราะรูนี่เคยร่วมงานกับเรา หัวหน้าของเราคงไม่สนใจข้อเสนอของเจ้าหรอก เจ้าบอกว่าจะมาขายยางั้นเหรอ? ก็ไปขายมันที่ร้านขายยาสิ มาหาเราทำไมกัน?
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะถูกหัวหน้าสมาคมหอการค้ามาร์ทมอบหมายมาทำหน้าที่ แล้วเขาก็ดูเหมือนไม่อยากเสียเวลากับข้าเลย
อาจเพราะข้างนอกตัวข้ายังเป็นเด็ก ก็คงตำหนิขเาไม่ได้หรอกนะ
หลังจากที่ข้าเข้าห้องส่วนตัว ข้าก็ใช้มัลบอร์ (β) กับนิตา ซึ่งทำให้ขาขวาของนางงอกขึ้นมาจนทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป
ในขณะที่ลูบหัวของนิตา ข้าก็ยังคงสนทนากับมารอนต่อ เขาก็ถามคำถามข้าทันทีเกี่ยวกับสรรพคุณ ส่วนผสมและอื่นๆ
"ส่วนผสมคือมัลบอร์ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นวัตถุดิบที่หายาก แต่ข้าก็มีมันพอสร้างยาได้"
"อะไรนะ!? การที่จะมีมันพอสร้างยาขนาดนี้...ได้ยังไงกัน... "
ทางด้านของเมล่อน:
ทางด้านราชบัณฑิตยสถานแห่งเวทมนตร์ก็ยังคงเป็นจุดในการทดสอบอะไรหลายอย่าง ข้าไม่เหมือนกับเกรซที่ต้องทดสอบการเป็นนักเวทย์ ข้าต้องทดสอบการเป็นนักสู้
ผู้คนรอบตัวข้าล้วนสวมชุดเกราะหนักมากมาย นอกจากนี้ บนเอวของพวกเขายังมีอาวุธระยะประชิดอย่างมีด ดาบหรือกระบอง เสียงของแขนและชุดเกราะพวกนี้ดังกึกก้องไปทั่วสนาม
ข้ามาที่สถาบันเพราะคำสั่งของนายท่านข้า เขาให้ค่าเล่าเรียนแก่ข้าเพื่อให้ข้าเข้าร่วมการทดสอบ ก่อนที่ข้าจะไปกับมิราเบลล่าในฐานะนักผจญภัย
ตัวข้าในอดีตคงจะไม่มีวันคิดถึงเรื่องพวกนี้ การเป็นนักเรียนและเข้าสถาบันกับเกรซ...เป็นสิ่งที่ตัวข้าในอดีตคงไม่มีทางจินตนาการได้เลย
เป็นเวลาหกปีแล้วที่ข้าได้กลายเป็นทาสของนายท่าน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าเติบโตขึ้นด้วยการดูแลอย่างอ่อนโยนและมีความสุขรายล้อมรอบตัว ข้าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร แต่ความทรงจำอันเลวร้ายที่ข้าเคยประสบในยามเยาว์วัยได้จางหายไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องการทำให้ความหวังของนายท่านสำเร็จ แต่นายท่านของข้าต้องการให้ข้าเรียนรู้ [อาร์เต้] เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของข้า เขาบอกว่าข้าสามารถช่วยเขาได้มากขึ้น ถ้าข้าแข็งแกร่งขึ้น
ถ้าเช่นนั้นข้าต้องทำยังไง? ข้าจะเรียนอาร์เต้ยังไง?
ตามที่คุณมาร์บอนบอกไว้ โจรที่โจมตีหมู่บ้านได้ใช้พลังเวทมนตร์บางอย่างระหว่างการต่อสู้ แต่ข้าไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร
ตอนนี้ข้ากำลังนั่งอยู่บนม้านั่ง ตรงมุมสนามทดสอบ รอคอยให้พวกเขาเรียกชื่อข้า
กฎแสนจะเรียบง่าย ในสนามทดสอบจะมีการเรียกนักเรียนทีละคน เพื่อแสดงความแข็งแกร่ง เขาจะให้คะแนนความแข็งแกร่งของนักเรียนเพื่ออนุมัติให้เข้าเรียน…หรือไม่อนุมัติ
ข้าอยู่บนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย คนที่ไปทดสอบก่อนข้าล้วนแล้วแต่ใช้ [อาร์เต้] กันทั้งนั้น! ข้าเป็นคนเดียวที่ไม่สามารถใช้ [อาร์เต้] ได้งั้นเหรอ?
"โอ้วววววววว -[ฟาดฟันประกายแสง]!!"
บนเวที เด็กหนุ่มที่มีผมสีส้มและชุดเกราะสีเงินได้รวบรวมความแข็งแกร่งของเขาอยู่สองสามวินาที จากนั้นเขาก็ขยับดาบของเขาเหมือนดั่งดาวหาง
"ธาตุไฟและแสง ฟาดฟันสองธาตุพร้อมกัน ไม่แย่!" ผู้ทดสอบอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มเป็นมนุษย์เพศชายตัวสูง
เขาสูงอย่างน้อย2 เมตร มีผมสีแดงและและสวมเสื้อผ้าสีอ่อน ทว่ามันก็ไม่สามารถปกปิดกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ในชุดของเขาได้
เด็กหนุ่มใช้พลังทั้งหมดของเขาในการการฟัน แต่ผู้ทดสอบก็เพียงหัวเราะออกมาดังๆ พร้อมกับยกโล่กลมเล็กๆ ของเขาขึ้นรับ ดูเหมือนว่าการโจมตีของเด็กหนุ่มจะไม่ส่งผลอะไรต่อเขาเลย
“เจ้าให้ความสำคัญกับการทรงตัวมากเกินไป แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการทดสอบ แต่เจ้าไม่ควรทำผิดพลาดแบบนั้น ตอนนี้เจ้าก็สามารถไปที่ห้องทะเบียนได้เลย” ผู้ทดสอบยิ้มให้กับเขาและเขียนคำบางคำบนกระดาษ พร้อมกับส่งให้เด็กหนุ่ม
“ข-ข้าจะพยายามให้ดีที่สุดขอรับ ท่านอัคเบอร์ฟ!” เด็กหนุ่มดูตื่นเต้นมากและวิ่งลงไปที่สนามทดสอบทันที
จากนั้นผู้ทดสอบก็ดื่มน้ำจากขวดของเขา ในขณะเดียวกัน ผู้ช่วยของเขาได้นำรายชื่อมาให้แก่เขา เขามองดูและตะโกนออกมาว่า
“โอ้ ใครชื่อ 'เมล่อน' ขึ้นมานี่สิ! ตาเจ้าแล้ว!”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ข้าก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาเรียกชื่อของข้า
ข้าไม่มีเวลาคิดเลย ในวินาทีต่อมา ข้าก็ขึ้นมาบนสนามทดสอบแล้ว เบื้องหน้าข้า เขาสูงกว่าข้าอย่างน้อยสองเท่าเลย
เพียงแค่เขายืนอยู่ตรงหน้า ข้าก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของเขา ข้ารู้ได้เลยว่าเขาแข็งแกร่ง น่าจะแข็งแกร่งกว่าคนที่เป็นหัวหน้าโจรในหมู่บ้านถึงสิบเท่า …. เขายืนอยู่บนสนามทดสอบอย่างสบายๆ ไม่ได้เคร่งเครียดอะไร
แต่เขาก็แค่แข็งแกร่งกว่าหัวหน้าโจรสิบเท่าแค่นั้นแหละ
“เจ้าคือเมล่อนเหรอ?”
"ค่ะ ท่านผู้ทดสอบ" ข้าตอบเขาไปอย่างเรียบง่าย
“เอาล่ะ เมล่อน แล้วไหนอาวุธของเจ้า? เจ้าลืมเหรอ?” เขาดูสนใจข้ามาก
ในขณะที่เขาพูด เสียง "หัวเราะ" จากเหล่าผู้ชมก็ดังขึ้นมา
“ในสถานการณ์แบบนี้ ข้าไม่ควรใช้อาวุธค่ะ” ข้ามองเข้าไปในดวงตาของเขาพร้อมกับพูดอย่างจริงจัง
นายท่านบอกข้าว่าไม่ควรใช้ [กำไลป้องกัน] หากเป้าหมายเป็นมนุษย์ ข้าจะใช้ต่อหน้าผู้คนได้ ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเท่านั้น
“โอ้? งั้นเจ้าจะบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะที่เจ้าจะใช้อาวุธสินะ?” เขาเลิกคิ้วและถามออกมา
“...ใช่แล้วค่ะ” ข้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับตอบกลับไป
เขาหัวเราะออกมา และทันใดนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นด้านล่างสนามทดสอบทันที ข้าเริ่มรู้สึกไม่สบายใจจากทางกลุ่มคนดู รู้สึกราวกับสัมผัสเจตนาร้ายจากพวกเขาได้
“เฮ้ ไอ้เจ้ากิ้งก่า! ไม่รู้เหรอว่าใครอยู่ตรงหน้าเจ้า?!”
"นางมาจากไหนกัน? หยิ่งผยองมาก!"
"ท่านอัคเบอร์ฟเป็นถึงนักผจญภัยระดับ S เลยนะ แถมยังเป็นหัวหน้าทหารของเมืองหลวงอีก!"
อะไรนะ? เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากขนาดนั้นเลยเหรอ?
"เฮ้ พวกเจ้าทุกคนหุบปาก!" เขาตะโกนออกมาสั่งเหล่าคนดูเงียบทันที "เมล่อน ความสามารถพิเศษของเจ้าคืออะไร?"
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถบอกได้ว่าข้ามีความสามารถพิเศษอะไร
นายท่านเองก็กล่าวว่าวิธีการต่อสู้ของข้าไม่มีใครเหมือน ข้าจึงไม่สามารถบอกความสามารถพิเศษของตัวข้าได้อย่างชัดเจนแบบเกรซ
เหล่าผู้ชมที่ก่อนหน้านี้เงียบไปไม่นานก็เริ่มหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“นางไม่รู้จักความสามารถพิเศษของนางด้วยซ้ำเหรอ? นางเป็นคนงี่เง่าแบบไหนกันเนี่ย!”
"ให้ตัวประหลาดแบบนี้มาเป็นรุ่นน้องของเราได้ยังไงกัน?"
ต้องขอบคุณทักษะของข้าอย่าง [เพิ่มการได้ยิน] ข้าจึงได้ยินทุกเสียงกระซิบกระซาบ ข้าเงยหน้าขึ้นและพบว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่กำลังยืนพิงผนังอยู่บนชั้นสองและดูสนใจข้ามาก
หึ้ม…ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าทุกคนกำลังตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้ากัน? ข้าพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?
“อืม ถ้าอย่างนั้นเมล่อน โจมตีข้าโดยใช้พลังเต็มที่ของเจ้าได้เลย” อัคเบอร์ฟกล่าว “ถ้าเจ้ารู้วิธีโจมตีนะ”
…
"อะไรนะ!? สมุนไพรหายากเช่นนี้จะสามารถปลูกมากพอทำยาได้ยังไงกัน... ”
"ขอโทษที การผลิตและแหล่งที่มานั้นเป็นความลับทั้งคู่ ถึงแม้จะมีให้พอทำยา แต่ปริมาณการผลิตก็ไม่ได้มากเกินไปนัก" อืม ข้าสามารถทำยาได้สูงสุด 140 ขวดต่อวัน
ใช่แล้ว ด้วยความสามารถของข้าเอง หากเป็นผู้อื่นคงไม่สามารถผลิตปริมาณได้มากขนาดนี้แน่
“แล้วท่านอยากจะทำงานด้วยกันไหม? ข้ายังเหลืออีกสองขวด จะลองนำกลับไปรายงานหัวหน้าก็ได้นะ เพื่อเป็นของขวัญแก่การร่วมงานกันครั้งแรก ข้าคิดเพียงแค่ 15 เหรียญทองต่อขวด ว่าไงล่ะ?”
ยาที่สามารถรักษาแขนขาขาดได้ ต้องมีราคาแพงมากแน่ ดังนั้นข้าจึงหว่านแหออกไปในราคาต่ำ เพื่อทดสอบดู ในธุรกิจ สิ่งสำคัญคือการให้ผู้อื่นได้รับผลประโยชน์ ไม่นานคนผู้นั้นก็จะตอบแทนเรากลับคืนมา
"เด็กดี" ข้ามองนิตาที่อยู่บนตัก ซึ่งกำลังเลียหน้าข้าอยู่
ใบหน้าของข้าเปียกและเหนียว ข้าก็ไม่รังเกียจหรอก เด็กคนนี้น่ารักเหมือนลูกสุนัขที่ข้าเคยเลี้ยงมาก