ตอนที่ 7 : หาสามีใหม่ให้จินเหนียง (อ่านฟรี)
เฉียวจินเหนียงพยักหน้า เธอไม่เคยต้องกล้ำกลืนคำสบประมาท
เดิมทีเธอไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้ แต่เนื่องจากนางหลินยั่วยุเธอ ถ้าเธอยอมทนคนอื่นคงจะคิดว่าเธอสามารถรังแกได้ง่ายๆ
คนในจวนหวังอันหยวนต่างรู้สึกผิดกับเธอ เมื่อมีพวกเขาคอยหนุนหลัง เฉียวจินเหนียงไม่จำเป็นต้องทนกับผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นใคร ถูกใครเลี้ยงดูมา นางหลินก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะมาชี้นิ้วตัดสินเธอได้
และเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้หยาบคายแค่ไหน!
ใบหน้าของฮูหยินใหญ่มืดลง นางจึงกล่าวว่า “นางหลิน เจ้านี่ช่างสั่งสอนลูกสาวได้ดีจริงๆ!”
ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินใหญ่จึงพาเฉียวจินเหนียงและเฉียวหรูอี้กลับจวนหวังโดยไม่สนใจที่จพซื้อของใดๆอีก
หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงจวนหวัง บ่าวรับใช้ก็รีบเข้ามารายงาน “นายหญิง นายท่านหวังกลับมาแล้วขอรับ และนายท่านกล่าวว่าท่านมีเวลาแค่หนึ่งชั่วยามให้คุณหนูโดยเฉพาะในวันนี้ เพราะการล่าฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นนายท่านอาจจะไม่มีเวลากลับมาที่จวนอีกในช่วงนี้ขอรับ”
การล่าในฤดูใบไม้ผลิเป็นเหตุการณ์สำคัญในราชวงศ์ถังซึ่งฮ่องเต้จะนำขุนนางและทหารออกล่าสัตว์
ในบรรดากิจกรรมล่าสัตว์ใหญ่ทั้งสี่ครั้งของปี การล่าในฤดูใบไม้ผลินั้นสำคัญที่สุด
เฉียวจินเหนียงเดินตามฮูหยินใหญ่ไปที่ห้องโถงและที่นั่นเธอได้เห็นชายผู้สง่างามทั้งยังดูอ่อนเยาว์สวมใส่ชุดเกราะ ดูเหมือนว่าจะเพิ่งกลับมาจากค่ายทหาร
“เจ้าคือจินเหนียงใช่ไหม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียวจินเหนียงก็คุกเข่าทันทีและพูดว่า “ท่านพ่อ ลูกคือจินเหนียงเจ้าค่ะ”
หวังอันหยวนรีบพยุงเฉียวจินเหนียงขึ้นพลางพูดว่า “ลุกขึ้นเร็วเข้า ขอโทษเจ้าด้วยนะลูกสาวของข้า”
ฮูหยินใหญ่กล่าวโทษหวังอันหยวนที่ทำให้ลูกสาวของเธอต้องได้รับความทุกข์ทรมาน หากไม่ใช่เพราะเขาที่ปรนเปรอนังอนุคนนั้น ลูกสาวของเธอคงไม่ต้องแยกจากเธอไปหลายปีเช่นนี้
โชคดีที่พ่อแม่บุญธรรมของลูกสาวดูแลเธออย่างดี ยิ่งกว่านั้น พวกเขามีช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสงบสุขและรุ่งเรือง ดังนั้นจินเหนียงจึงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม
เฉียวจินเหนียงไม่ยอมลุกขึ้น เธอกลับโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงและพูดว่า “ท่านพ่อ ได้โปรดช่วยข้าตามต้วนเอ๋อร์กลับมาด้วยเถอะนะเจ้าคะ”
หวังอันหยวนถามด้วยความประหลาดใจ “ต้วนเอ๋อร์?”
เฉียวจินเหนียงเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลินอันให้นายท่านหวังฟัง “เจ้าหมอนั่นพาต้วนเอ๋อร์กลับมาที่ฉางอันเมื่อสองสามเดือนก่อน และสิ่งที่ถูกส่งกลับไปหาลูกที่หลินอันมีเพียงแค่จดหมายหย่าเท่านั้นเจ้าค่ะ…”
หวังอันหยวนกำมือแน่น “ไอ้สารเลว ผู้ชายคนนั้นกล้าดียังไงมาดูถูกลูกสาวของข้าแบบนี้! ไม่ต้องกังวลพ่อจะให้คนออกไปตามหาต้วนเอ๋อร์ แม้ว่าจะมีขุนนางมากมายในเมืองฉางอัน แต่การจะหาคนที่หายไปสามปีแล้วกลับมาพร้อมลูกก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ข้าจำได้ว่าองค์รัชทายาทเพิ่งเสด็จกลับจากภาคใต้พร้อมบุตรวัยสองขวบนี่”
ฮูหยินใหญ่ขึ้นเสียง “แม้ว่าท่านจะอยากเป็นพ่อตาขององค์รัชทายาท แต่ข้าไม่คิดว่าลูกสาวของข้าจะโชคดีขนาดนั้นหรอกนะ องค์รัชทายาทจะอภิเษกสมรสกับตระกูลพ่อค้าได้อย่างไร? ท่านคงจะกำลังฝันอยู่กระมัง”
หวังอันหยวนรู้สึกผิดต่อภรรยาของเขามาก ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงและไม่กล้าโต้เถียงเธอในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
“ข้าไม่ได้บอกว่าผู้ชายคนนั้นคือองค์รัชทายาท ข้าก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้นเอง
“จินเหนียง ลูกแค่รออยู่ในจวนหวังนี่ พ่อจะให้คนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป”
เธอจะไม่กังวลได้อย่างไร? แต่ในเมืองฉางอันนี่ สิ่งเดียวที่เธอพึ่งได้ก็คือจวนอันหยวนแห่งนี้
ต่อให้เธอจะมีเงิน แต่ในฉางอัน เงินไม่ได้ทำงานได้ดีเท่าอำนาจ
"ลูกขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านพ่อ”
หลังจากที่เฉียวจินเหนียงจากไป หวังอันหยวนก็พูดกับฮูหยินใหญ่ว่า “ดูเหมือนฝ่าบาทจะต้องการให้หรูฉีแต่งเข้าพระราชวังตะวันออก แต่ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่ต้องการเช่นนั้นงั้นหรือ?”
“เพราะลูกถูกท่านตามใจจนเสียคนนั่นแหละ ข้าได้คุยกับท่านแม่แล้วว่าหรูฉีไม่เหมาะที่จะแต่งเข้าพระราชวังตะวันออก ครอบครัวของเราไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในสงครามวังหลังของพระราชวังตะวันออกนั่น”
หวังอันหยวนก็คิดเช่นเดียวกัน “ก็จริง มันคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับหรูฉีที่จะแต่งเข้าพระราชวังตะวันออก ในฐานะลูกสาวของข้า นางไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่ออำนาจ ถ้าอย่างนั้นเราก็หาคู่หมั้นให้นางซะ”
ฮูหยินใหญ่พูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “ข้าก็คิดว่าเราควรจะหาคู่หมั้นให้เธอได้แล้ว แต่เป็นเพราะจินเหนียงนางเป็นพี่สาวและนางก็เพิ่งจะกลับมา ข้าอยากให้นางอยู่เคียงข้างข้าไปนานๆก่อน ข้ายังไม่ต้องการให้นางแต่งงานเร็วเกินไปนัก แต่ถ้านางยังไม่แต่งงาน การให้หรูฉีแต่งงานก่อนก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน”
“งั้นก็หาคู่หมั้นให้จินเหนียงก่อน เลือกบัณฑิตที่มีบุคลิกดีและไม่รังเกียจที่จินเหนียงเคยผ่านการแต่งงานมาก่อน เจ้าสามารถให้พวกเขาหมั้นกันก่อนสัก 2 ปีแล้วค่อยจัดงานแต่งให้พวกเขาก็ได้”
เฉียวจินเหนียงไม่รู้ว่าท่านพ่อท่านแม่ของเธอได้วางแผนที่จะเลือกสามีใหม่ให้กับเธอแล้ว
นางกำลังบอกเล่ากับผู้ใต้บังคับบัญชาของหวังอันหยวนว่าอดีตสามีของเธอรูปร่างหน้าตาของเป็นอย่างไร
เฉียวจินเหนียงเคยเรียนกู่ฉิน หมากรุก คัดลายมือ และวาดภาพตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอเรียนรู้ทุกอย่างได้ดียกเว้นการวาดภาพ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงวาดโครงร่างด้วยพู่กันก่อนที่จะพูดด้วยความพึงพอใจว่า “นี่คือหน้าตาของเขา”
ผู้ใต้บังคับบัญชาของหวังอันหยวนมองภาพวาดด้วยความรู้สึกสงสาร ทำไมคุณหนูถึงแต่งงานกับชายอัปลักษณ์เช่นนี้กัน? และชายคนนั้นยังกล้าที่จะหย่ากับเธออีก!
“คุณหนูไม่ต้องกังวลนะขอรับ ข้าน้อยจะหาตัวนายน้อยให้เร็วที่สุด”
ก่อนการล่าในฤดูใบไม้ผลิ งานเลี้ยงชมดอกไม้จะถูกจัดขึ้นที่พระราชวัง โดยงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกพระชายาและนางสนมสำหรับเจ้าชายทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม งานเลี้ยงชมดอกไม้ครั้งนี้จัดโดยไทเฮาและพระสนมซีอัน โดยที่ฮองเฮาไม่ได้ทรงเข้าร่วมด้วย ดังนั้นสตรีสูงศักดิ์บางคนจึงไม่ค่อยให้ความสนใจนัก
ไม่มีแม่น้ำสายใดกว้างพอเมื่อท่านได้ข้ามทะเลไปแล้ว เจ้าชายองค์ใดจะเทียบกับองค์รัชทายาทได้กัน?
วันจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้เป็นวันเดียวกับที่จวนหวังจะจัดงานเลี้ยงสำหรับคุณหนูสองของพวกเขา
สตรีและหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ในฉางอันจึงใช้งานเลี้ยงในจวนอันหยวนเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธงานเลี้ยงที่จัดโดยพระสนมซีอัน
ในวันนี้ เฉียวจินเหนียงตื่นแต่เช้าและมีสาวใช้หลายคนช่วยแต่งตัวให้ ในที่สุดเมื่อนางมายืนอยู่หน้ากระจกทองสัมฤทธิ์ นางก็ผงะไปเล็กน้อย หญิงสูงศักดิ์ในกระจกคนนี้คือเธอจริงๆ เหรอ?
ชุดของเธอช่างงดงามราวกับนางสวรรค์จำแลง แม้แต่รองเท้าปักของเธอก็ประดับด้วยไข่มุกเม็ดใหญ่ถึงสองเม็ด ในชุดนี้เธอดูสง่างามและทรงเกียรติจริงๆ
“คุณหนู ท่าไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูสามแห่งจวนหวังฉิน และองค์หญิงฟู่ลู่ต่างก็มางานในวันนี้ด้วย”
อิ๋งเถารีบเข้ามารายงานด้วยความตื่นตระหนก เฉียวจินเหนียงถามด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดจึงไม่ดีหรือ?”
หงหลิงอธิบายให้เฉียวจินเหนียงฟังว่า “มีกลุ่มขุนนางน้อยใหญ่มากมายในเมืองหลวง และกลุ่มใหญ่ที่สุดสองกลุ่มนำโดยฉินเมียวเหมี่ยว คุณหนูลำดับที่สามของจวนหวังฉิน และอีกกลุ่มนึงนำโดยพระธิดาพระองค์เดียวของเจ้าหญิงโจวอัน องค์หญิงฟู่ลู่
“เจ้าหญิงโจวอันเป็นพระขนิษฐาของฮ่องเต้และเป็นพระธิดาที่ไทเฮารักมากเจ้าค่ะ พระนางคลอดองค์หญิงฟู่ลู่ด้วยความยากลำบาก เพราะฉะนั้นพระองค์จึงมีพระธิดาแค่เพียงพระองค์เดียว ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงรักใคร่องค์หญิงฟู่ลู่เป็นอย่างมาก พระองค์จึงเป็นที่รู้จักในฐานะท่านหญิงผู้สุรุ่ยสุร่ายแห่งฉางอัน
“โดยบุตรีของขุนนางฝ่ายบู๊ทั้งหลายนำโดยองค์หญิงฟู่ลู่
“ในทางกลับกัน คุณหนูสามแห่งจวนหวังฉิน มีพรสวรรค์ในด้านวรรณกรรมและกิริยามารยาท ท่าทางที่สง่างามมาตั้งแต่ยังเล็ก และเป็นแบบอย่างของสตรีผู้สูงศักดิ์ ดังนั้นนางจึงเป็นผู้นำของบุตรสาวขุนนางฝ่ายบุ๋นที่เรียกตัวเองว่าชนชั้นสูงหรือผู้ที่พยายามทำตัวเป็นชนชั้นสูง เมื่อใดที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน ราวกับเพชรตัดเพชร จะต้องมีปัญหาทุกครั้งเลยเจ้าค่ะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียวจินเหนียงก็ยิ้ม “ฉางอันนี่ครึกครื้นดีจริงๆ”
หน้าประตูจวนหวัง องค์หญิงฟู่ลู่ลงจากหลังม้า ขณะเดียวกับที่คุณหนูฉินที่เพิ่งลงจากรถม้า เธอล้อว่า “คุณหนูฉิน วันนี้เจ้ามาเร็วจังนะ จะไปหาผู้หญิงที่จริงๆแล้วควรจะต้องมาเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าเหรอ? หึ เจ้ามักจะอ้างว่าตัวเป็นผู้นำหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ในฉางอัน แต่น่าเสียดายที่เจ้าจะได้ลูกทาสมาเป็นพี่สะใภ้!”
คุณหนูฉินโบกพัดอย่างแรงและพูดว่า “ข้าเทียบกับคนที่หมกมุ่นเพื่อจะได้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น องค์รัชทายาทยังห้ามไม่ให้ท่านเข้าไปในพระราชวังตะวันออกด้วยไม่ใช่หรือเจ้าคะ เพราะเกรงว่าพระองค์จะทำให้องค์ชายน้อยเสียคน!”
องค์หญิงฟู่ลู่และฉินเมียวเหมี่ยว ทุกครั้งที่พบกันต่างฝ่ายต่างพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายนึงต้องเสียหน้า โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะตามมาเลย
องค์หญิงฟู่ลู่โกรธมาก “ข้ารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่เลือดทาสจะต้องไหลเวียนในสายเลือดของลูกหลานตระกูลฉินของเจ้าสืบต่อไป”
ทันใดนั้นเฉียวหรูหยุนก็บังเอิญลงจากรถม้าพอดี ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเมื่อได้ยินบทสนทนานี้
องค์หญิงฟู่ลู่เหลือบไปเห็นเฉียวหรูหยุนและกระทืบเท้าของเธอ “อา ไม่นะ เจ้าอย่าร้องไห้สิ ข้ากำลังพูดถึงคุณหนูฉินต่างหาก ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายเจ้าสักหน่อย”
เหตุการณ์การทะเลาะกันที่หน้าประตู ผ่านคำบอกเล่าจากปากของสาวใช้ไปถึงหูของเฉียวจินเหนียง ในขณะนั้น เฉียวจินเหนียงมีลางสังหรณ์ว่างานเลี้ยงในวันนี้คงจะวุ่นวายเป็นแน่
เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องปรากฎตัว ขุนนางและหญิงสาวทั้งหลายต่างก็ประหลาดใจ
"นางช่างงดงามจริงๆ!"
“หญิงสาวที่เติบโตทางใต้ล้วนมีภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนโยน”
“สมแล้วที่นางเป็นบุตรีของหวังอันหยวน ดูสิว่านางสง่างามแค่ไหน”
“นางดูไม่เหมือนผู้ที่เติบโตมาในชนบทเลย”