เล่นมายคราฟในต่างโลก เล่มที่ 1 บทที่ 35: สองปีต่อมา (1)
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
เล่มที่ 1 บทที่ 35: สองปีต่อมา (1)
.
หลังจากกลายเป็น [ต้นไม้โบราณ - มนุษย์] อัตราการเติบโตของ-ข้าในฐานะ [สามัญชน] ก็เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะมานาของข้า ในที่สุดข้าก็ก้าวข้ามขีดจำกัดของนักเวทย์เริ่มต้นไปแล้ว! จากนั้นเป็นต้นมา ข้าก็เริ่มเรียนรู้อย่างจริงจังเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ข้าถวิลหามาโดยตลอด
สองปีแล้ว หรือ...น่าจะเกือบสองปีแล้ว ยามนี้ข้าอายุได้สิบห้าปี
มันยากที่จะบอกว่าสองปีมันยาวหรือสั้น หลายปีที่ผ่านมา ข้าได้เรียนรู้พื้นฐานของเวทมนตร์ ไม่เพียงแต่ข้าได้เรียนรู้คาถามากมาย ยังมีกระบวนการทั่วไปของการร่ายคาถา เรื่องวงเวทด้วย ณ ตอนนี้ข้ากำลังใช้ความพยายามอย่างมากในการศึกษาเรื่องวงเวทย์มนตร์
วงเวทมนตร์โดยย่อคือบทสวดและคาถาที่เขียนเป็นคำ สัญลักษณ์หรือเป็นสิ่งที่สื่อถึงบางอย่าง นั่น...หากใช้คำอธิบายอาจฟังดูง่าย แต่ว่าการเขียนวงเวทย์ไม่ได้เหมือนกับการคัดลอกข้อความจากหนังสือ นอกจากนี้มันยังต้องดูเรื่องสีของตัวอัขระเวทมนตร์ พลังเวทย์ที่ถูกส่งเข้าไปในนั้น การสร้างคำ ฯลฯ
สำหรับหลักการที่อยู่เบื้องหลังคาถาเวทมนตร์...นั่นไว้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราค่อยพูดถึงแล้วกัน มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ไม่ใช่สิ่งที่สามารถกำหนดหรืออธิบายได้ง่ายในประโยคเดียว เวทมนตร์มันเป็นไปตามที่ข้าคาดไว้เลย เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้ง
อย่างไรก็ตาม วงเวทย์มนตร์ที่สมบูรณ์ดูเหมือนจะต้องเป็นวงสมมาตร และนั่นคือสิ่งที่ข้าพยายามสร้างขึ้นมา
ข้าลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับกุมหัวเพื่อลดอาการปวดศีรษะ
"นายท่าน? นายท่าน? นายท่านเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?" ข้าใช้ขานุ่มๆ ของเมล่อนเป็นหมอนและสิ่งแรกที่เข้ามาในมุมมองของข้าคือสายตาที่กังวลของเมล่อน
“เอ่อ ไม่เป็นไรๆ คงเป็นความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการใช้มานามากเกินไปตามปกตินั่นแหละ” ข้าลูบหน้าผากและลุกขึ้นนั่งตรง กวาดสายตามองไปทั่วห้องทำงานที่ยุ่งเหยิงของข้า
พื้นดินเต็มไปด้วยขี้เลื่อย ขวดยาที่ว่างเปล่ามากมายและกระดาษจำนวนหนึ่ง มันเหมือนกับกระดาษปาปิรุสในสมัยโบราณ โดยมันทำจากเปลือกของนางไม้ กระดาษเต็มไปด้วยอักษรรูนที่ซับซ้อนและแทบอ่านไม่เข้าใจ ซึ่งมันเขียนโดยใช้ลวดลายดอกไม้
ข้าหยิบพู่กันที่หล่นลงพื้นขึ้นมา พู่กันยังคงมีร่องรอยของหมึกเรืองแสงที่ทำจากถ่านของ [ไม้นางฟ้าพันปี]
...ข้าอดไม่ได้เลยที่จะรู้สึกหดหู่ แม้ว่าตอนนี้ข้าจะเป็น [ต้นไม้โบราณ - มนุษย์] แต่ [สามัญชน] ก็ยังเป็น [สามัญชน] ข้าไม่มีมานาที่ต้องใช้ในการร่ายหรือสร้างเวทมนตร์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาใหม่
แล้วเมื่อไรกันที่ข้าจะสร้างวงเวทย์ขึ้นได้เสียที!? หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงจะไม่สามารถทำมันได้สำเร็จ แม้จะดื่ม [ยาเติมมานา] อย่างต่อเนื่องก็ตาม
[ยาเติมมานา] เป็นยาที่อันตรายมาก เนื่องจากผลของมันคือการบังคับให้เปลี่ยนพลังงานทางจิตเป็นมานาราวกับการบีบน้ำออกจากผลไม้ การใช้ยามากเกินไปอาจส่งผลให้มานาสูงสุดลดลงและสร้างความเสียหายต่อจิตใจของผู้ใช้
เจ้าอาจจะสงสัยว่าทำไมข้าถึงไม่ใช้ [แท่นปรุงยา] เพื่อสร้างยาในแบบของข้าเองใช่ไหม? อืม ข้าลองทำดูแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่ามันเพิ่มประสิทธิภาพของการแปลงพลังเท่านั้น ส่วนเรื่องมันสร้างความเสียหายทางจิตใจไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ทำให้มันสร้างความเสียหายมากยิ่งขึ้น
ข้าดึง [ยาเติมมานา (เบต้า)] ออกมาจาก [แท่นปรุงยา] อีกขวดอย่างไม่เต็มใจนัก แต่เมล่อนก็คว้ามันออกมาจากมือของข้าขณะที่ข้ากำลังจะดื่มมัน
“นายท่าน ท่านควรต้องหยุดพักจริงๆ นะคะ” สีหน้าของเมล่อนจริงจังและเข้มงวดมาก ด้วยสายตาที่จ้องมองมา ข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามที่เมล่อนบอก
จากนั้นเมล่อนก็ก้าวเข้าไปในครัวและตอนนี้คนเดียวที่อยู่ในห้องปฏิบัติการก็คือข้า
ข้าคว้าไม้เท้าอีกอันที่วางอยู่บนโต๊ะและเริ่มเล่นกับมัน
ไม้เท้านี้เป็นของมิราเบลล่า ด้วยข้ออ้างจะ 'บำรุงรักษาและการซ่อมแซม' ข้าจึงขอยืมมันมาศึกษาเพื่อจุดประสงค์ของข้าเอง
ครั้งสุดท้ายหลังจากที่ข้าช่วยนักผจญภัยทั้งสี่และส่งพวกเขากลับไปที่สมาคมของพวกเขา ข้าก็เริ่มสนิทชิดเชื้อกับสมาคมนัยน์ตาแห่งแมวรัตติกาลมากขึ้น
ตั้งแต่นั้นมา พวกเขาก็ขึ้นมาบนภูเขาบ่อยครั้งเพื่อให้ข้าซ่อมแซมข้าวของของพวกเขา ข้าถือโอกาสศึกษาไม้คทาของมิราเบลล่าทุกครั้งที่ทำได้
ถึงแม้ตามปกติไม้คทาของนางไม่สามารถแตกหักได้ แต่ข้าก็ยังคงต้องทำการบำรุงรักษาง่ายๆ ให้มัน ส่วนเหตุผลที่มันไม่พังก็เพราะไม้เท้าของนางได้รับการ [เอลเวนิส]
เอลฟ์ทุกตนมีทักษะที่สามารถเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งให้กลายเป็นวัตถุที่ผูกมัดจิตวิญญาณได้ อย่างไรก็ตาม ทักษะนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นเอลฟ์ทุกคนจึงมีสิ่งของอย่างน้อยหนึ่งอย่างที่ได้รับ [เอลเวนิส]
เมื่อไอเท็มได้รับการ [เอลเวนิส] แล้ว มันจะกลายเป็นอุปกรณ์เติบโตที่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งตามผู้ใช้ ตราบใดที่ผู้ใช้ยังมีชีวิตอยู่ อุปกรณ์ก็จะไม่แตกหัก แม้ว่าจะเสียหาย มันก็จะซ่อมแซมตัวเองโดยอัตโนมัติ
สิ่งของ [เอลเวนิส] ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเอลฟ์ เหมือนกับแขนขาที่มีชีวิต มันเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่งและไม่ค่อยพบในตลาด เนื่องจากมักเป็นมรดกตกทอดหรือวัตถุโบราณ
อืม กลับไปที่เรื่องสมาคมกันก่อน ณ ตอนนี้ข้ามักจะนำของจากมอนสเตอร์หรือผลิตภัณฑ์บางอย่างของข้าไปที่สมาคมและให้พวกเขาขายมันให้แก่ข้า
ปัจจุบันสมาคมที่รู้จักกันในชื่อ นัยน์ตาแห่งแมวรัตติกาล เป็นสมาคมขนาดเล็กที่มีสมาชิกประมาณยี่สิบคน สมาชิกมากกว่าครึ่งกำลังทำภารกิจระยะยาวกัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย รับใช้กองทัพหรือสำรวจดันเจี้ยน
ส่วนหัวหน้าของสมาคมเป็นกิ้งก่าวัยกลางคนที่ดูแข็งแกร่ง เขาดูหยาบกระด้าง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนใจดีตัวใหญ่ แตกต่างจากเมล่อน เขาดูเหมือนกิ้งก่ามากกว่ามนุษย์
...ทำไมไม่ตั้งชื่อสมาคมว่านัยน์ตากิ้งก่ากันนะ? โอ้ นั่นก็เป็นเพราะหัวหน้าสมาคมมีแมวหลายตัวและเป็นคนรักแมวมาก
ทำให้โดยปกติแล้ว จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มานั่งเล่น ดื่มชา พูดคุยกันในสมาคมแห่งนี้
ข้ามองไปที่มือของข้า แหวนที่มีสัญลักษณ์ของแมวดำกำลังอยู่บนนิ้วของข้า แหวนนี้เรียกว่า [แหวนครอบครัว] และเมื่อข้าสวมใส่แล้ว ข้าสามารถเข้าถึงกระดานข่าวจำลองที่ช่วยให้ข้าสามารถฝากข้อความได้ แม้มันอาจจะมีความล่าช้า เนื่องจากระยะทางและปัจจัยอื่นๆ แต่ก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามาก แหวนดังกล่าวผลิตได้ยากและมีราคาค่อนข้างแพงในยุคนี้ โดยปกติจะมีเฉพาะสมาชิกหลักของสมาคมใหญ่เท่านั้นที่สวมแหวนดังกล่าว
ยังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้ข้าได้กลายเป็นสมาชิกของสมาคมโดยไม่รู้ตัวไปเสียแล้ว...
อะแฮ่ม กลับไปที่เรื่องไม้เท้า
หลังจากศึกษาไม้เท้าของมิราเบลล่าอย่างเข้มข้น ข้าก็เริ่มสร้างไม้เท้าให้เกรซ เพราะข้าเคยสัญญาว่าจะมอบให้ข้าเป็นของขวัญสำหรับวัยเติบใหญ่ของนาง
ไม้เท้าทั้งหมดต้องการ "วงเวทย์ส่วนกลาง" ในการออกแบบ และนั่นคือสิ่งที่ข้าพยายามวาดขึ้นมาในตอนนี้... ฮ่าๆๆ นี่ไม่ใช่แค่วงเวทย์มนตร์ธรรมดาๆ นะ นี่เป็นสิ่งพิเศษที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยการใช้ความรู้ในชีวิตก่อนหน้านี้ของข้า ผสมผสานกับความเข้าใจเกี่ยวกับเวทมนตร์ของข้า! เจ้าอยากจะรู้เพิ่มงั้นเหรอ? โทษที แต่ตอนนี้ข้าคงต้องให้เจ้ารอไปก่อน
“นายท่าน เชิญดื่มน้ำชายามบ่ายค่ะ” เมล่อนเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมจานแซนด์วิชและชาร้อน นางวางไว้บนโต๊ะชาอย่างสง่างามและถอยออกไปอย่างนอบน้อม
คล้ายดังสาวใช้ไม่มีผิด... ข้าไม่รู้เลยว่านางเรียนรู้เรื่องนี้มาจากไหน
เมล่อนอายุสิบเจ็ดแล้ว สองปีมานี้นางก็เติบโตขึ้นอย่างดี รูปร่างที่สวยงามของนางสูงยิ่งขึ้น นางมีผมสีแดงหางม้ายาวสวย ส่วนที่คล้ายกิ้งก่าของนางก็ทำให้นางมีบรรยากาศลึกลับน่าค้นหา... อืม ก็แค่นางเริ่มเติบใหญ่จนมีเสน่ห์แปลกๆ ก็เท่านัน้แหละ
ไม่เพียงแค่นั้น ความเก่งกาจในการต่อสู้ของนางยังแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย ตอนนี้นางมีระดับ 35 ซึ่งเหนือกว่าข้าที่ระดับ 33 และเกรซที่ระดับ 34
ใช่ นางไปบ้าคลั่งอยู่ในป่าช่วงหนึ่งเลย... หลังจากเห็นด้วยตาของข้าเอง ข้าก็เริ่มสงสัยว่ายามนี้ใครคือมอนสเตอร์ตัวจริงกันแน่
ข้าต้องพูดอะไรสักอย่างแล้ว! นางมีทักษะติดตัวมากมายและทักษะระดับสูงเยอะแยะเต็มไปหมด!
[ศิลปะการต่อสู้ LV169], [เพิ่มการได้ยิน LV148], [ตรวจจับการสั่นสะเทือน LV103]... ข้ารู้ว่าการฝึกฝนหุ่นจะไม่ทำให้ได้ค่าประสบการณ์ แต่จะเพิ่มความชำนาญในทักษะ...แต่การได้เห็นระดับทักษะของนางที่หลักสามนั้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
ตามปกติการมีทักษะที่สูงกว่าระดับจริงของเจ้าห้าเท่าเป็นสัญญาณว่าฝึนฝนตนหนักเพียงใด
และเอ่อ...ตามที่ [กระดานหิน] บอกมา แต่ละระดับของ [ศิลปะการต่อสู้] จะเพิ่มค่าเลือดของนาง 2% โจมตีป้องกันและความเร็ว 1% ใช่แล้ว เมื่อเจ้าคำนวณดู เจ้าก็จะรู้ว่าค่าสถานะของเมลอนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า
“ขอโทษด้วยนะคะนายท่าน แต่เกรซจะมาทานอาหารด้วยกับเราไหม?” ข้าโบกมือให้เมล่อนไปมาเพื่อบอกให้นางมานั่งทานอาหารด้วยกัน แต่นางก็กลับปฏิเสธและถามคำถามออกมาแทน
“...ข้าจะรู้ได้อย่างไรกันเล่า?” ข้าตอบด้วยคำถามไปและกลืนแซนด์วิชลงไปในครั้งเดียว
* เฮ้อ * มีบางอย่างเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของข้า มันทำให้ข้ามีอารมณ์ที่ขัดแย้งกันด้วย
แต่ไม่เป็นไร มันอาจเป็นความผิดของข้าที่ใจแคบเกินไป
ก่อนหน้านี้เกรซได้พาเพื่อนใหม่ของนางไปที่ฐานลับของข้า โดยที่ข้าและเมล่อนไม่รู้ พวกเขาได้ทำการสำรวจแบบปูพรมทั้งหมดตัวฐานและเกือบจะพบสิ่งที่ข้าไม่ต้องการให้สาธารณชนเห็น จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่มีอะไรอธิบาย...
ข้าไม่ได้รู้สึกว่าถูกหักหลังหรอกนะ! ไม่เลยสักนิด!
ไม่...เลยสักนิด...
ไม่เลยสักนิด ฮึ