ตอนที่แล้วสุดยอดอัศวิน บทที่ 46 : อัจฉริยะทางธุรกิจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปสุดยอดอัศวิน บทที่ 48 : เฝ้าดู

สุดยอดอัศวิน บทที่ 47 : อุบัติเหตุของทีมล่าสัตว์


สุดยอดอัศวิน บทที่ 47 : อุบัติเหตุของทีมล่าสัตว์

อีกไม่กี่วันข้างหน้า นอกเหนือจากการใช้เวลากับสาวน้อยลิลลี่แล้ว ฌอนก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝน

สำหรับยูน่านั้น ไม่ค่อยได้พบกันระหว่างวันเท่าไร เพราะอีกฝ่ายมักจะตระเวนไปตามร้านค้าในตอนกลางวัน จึงพบเธอได้เฉพาะตอนมื้อค่ำเท่านั้น

อยู่มาวันหนึ่ง ฌอนที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการฝึกฝน ก็ถูกสาวน้อยลิลลี่ลากไปเดินเล่นรอบ ๆ คฤหาสน์ เมื่อเดินมาถึงหน้าคฤหาสน์ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบเข้ามาใกล้ ก่อนเห็นชายคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ของแคมป์เบลอย่างรวดเร็ว

แม้ชายคนนั้นจะหายใจหอบและเดินโซเซด้วยความเหนื่อยล้า แต่ก็ยังพยาผู้คุ้มกันอย่างเต็มที่เพื่อวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ของแคมป์เบล แน่นอนว่าต้องมีบางอย่างเร่งด่วน ไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง

เมื่อชายคนนั้นเดินเข้ามา ในที่สุด ผู้คุ้มกันก็สังเกตเห็นเขา เมื่อผู้คุ้มกันมองไปยังชายคนนั้นก็พูดด้วยความประหลาดใจ

“นาส ทำไมถึงกลับมา?”

ปากของชายคนนั้นสั่นระรัว เขาต้องการที่จะตอบคำถามของผู้คุ้มกัน แต่ก็เหนื่อยล้าจากการวิ่งอย่างหนักเป็นเวลานาน จนไม่สามารถเปิดปากได้เลย หลังจากนั้นไม่นาน ร่างกายของเขาก็ยืดออกเล็กน้อย เปิดปากพูด

“ข้าต้องการพบท่านบรอด”

ในที่สุด ด้วยการสนับสนุนจากผู้คุ้มกันสองคน ชายคนนั้นก็เดินไปยังส่วนลึกของคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่พักของหัวหน้าตระกูลแคมป์เบล

“เกิดอะไรขึ้น?”

ฌอนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมองไปยังชายที่ถูกผู้คุ้มกันสองคนช่วยพยุงอยู่ แล้วถามผู้คุ้มกันที่เพิ่งเรียกชื่อชายคนนั้นและเห็นได้ชัดว่ารู้จักกัน

เมื่อได้ฟังคำถามของฌอน ผู้คุมก็ตอบฌอนด้วยความเคารพ และพูดอย่างเป็นห่วงว่า

“คืออย่างนี้ครับท่านฌอน เขาเป็นสมาชิกของทีมล่าสัตว์ของตระกูล ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะออกไปล่าสัตว์กับสมาชิกคนอื่น ๆ ของทีมล่าสัตว์บนภูเขาซาทุลล่าที่อยู่นอกเมือง”

“ทีมล่าสัตว์…”

เมื่อได้ฟังอีกฝ่ายอธิบาย ฌอนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ธุรกิจของแคมป์เบลเริ่มจากธุรกิจเครื่องหนัง แม้ตอนนี้จะก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมอื่นแล้ว แต่กำไรจากเครื่องหนังประจำปีก็คิดเป็นสัดส่วนที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของกำไรทั้งหมด เพื่อให้ได้เครื่องหนังระดับสูงและคุณภาพดี นอกจากการหาซื้อแล้ว ก็ต้องมีทีมล่าของตัวเองด้วย

ตอนนี้หนึ่งในสมาชิกของทีมล่าสัตว์กลับมาเพียงคนเดียว ทั้งยังหอบเหนื่อย เห็นได้ชัดว่าต้องมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น

แม้ปัจจุบันเขาจะไม่ใช่ฌอนคนเก่าอีกต่อไป และไม่มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลแคมป์เบล แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะเห็นอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับตระกูลแคมป์เบล

นอกเหนือจากเรื่องอื่นแล้ว ค่าเล่าเรียนแสนแพงของโรงเรียนอัศวินยุคใหม่เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถแยกตัวออกจากตระกูลแคมป์เบลหรือตระกูลพ่อค้า ‘ธรรมดา’ ได้ ถ้าตระกูลแคมป์เบลประสบความสูญเสียอย่างหนักจากเหตุการณ์บางอย่าง ค่าเล่าเรียนของเขาก็อาจจะไม่มีจ่าย เห็นได้ชัดว่าฌอนก็ต้องดูแลพวกเขาเหมือนกัน

เมื่อฌอนรีบไปที่ห้องนั่งเล่นของพ่อ สิ่งที่เขาเห็นคือห้องนั่งเล่นที่มีบรรยากาศน่าหดหู่อย่างยิ่ง

บรอดนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมขมวดคิ้ว และมีลุงอีกสองคนนั่งอยู่ด้านข้าง ซึ่งพวกเขาก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

ส่วนคนเมื่อกี้ก็ถูกพยุงให้นั่งบนเก้าอี้ เพื่อนั่งพักหายใจ แต่ก็มีความกังวลซ่อนเร้นอยู่ในสีหน้า

ฌอนตรงเข้าไปหาบรอดและถามโดยไม่ลังเล

เมื่อได้ยินคำถามของฌอน บรอดเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย เพราะไม่ได้ส่งใครไปแจ้งฌอน

“ลูกรู้ได้ยังไง?”

“ตอนนั้นผมอยู่ที่ประตู ก็เลยรู้เรื่องทีมล่าสัตว์ แต่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?”

ฌอนถาม

“ไม่กี่ชั่วโมงก่อน ทีมล่าสัตว์ถูกโจมตีโดยสัตว์ร้ายที่ทรงพลังมาก ตอนนี้เขาเป็นคนเดียวที่หนีกลับมาได้ ส่วนรายละเอียดของคนอื่น ๆ ยังไม่ชัดเจน”

บรอดพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม

“สัตว์ร้ายที่ทรงพลังมากงั้นเหรอ?!”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฌอนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ทีมล่าสัตว์ของตระกูลแคมป์เบลนั้นแตกต่างจากทีมล่าสัตว์ทั่วไป ปกติแล้ว หัวหน้าทีมล่าสัตว์ที่ฝึกฝนตัวเองและมีประสบการณ์เยอะมากกว่า 50 คนได้มาทำงานร่วมกัน

การรวมกันนี้ แม้พวกเขาจะพบกับสัตว์ร้ายที่ทรงพลัง แต่ก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่คราวนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดกลับมาได้ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายที่พบในครั้งนี้ไม่ธรรมดา

“ท่านพี่ เราควรทำยังไงกันดี?”

ลุงคนหนึ่งของฌอนลุกขึ้นถามอย่างกังวลใจ

ชื่อของเขาคือวอน แคมป์เบลและเป็นน้องชายของบรอด ทีมล่าสัตว์นั้นอยู่ภายใต้การบริหารของเขา เมื่อรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับทีมล่าสัตว์ วอนก็รู้สึกกังวลใจมาก

ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าวอนถึงความพยายามอันอุตสาหะที่รวมทีมล่าสัตว์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน

นักล่าทุกคนนั้นเป็นปรมาจารย์ที่ใช้เวลาหลายปีหรือมากกว่าสิบปีเป็นอย่างน้อยในการฝึกฝน จำนวนเงินที่ใช้ไปในช่วงเวลานั้นจึงสูงมากจนน่ากลัว สำหรับตระกูลแคมป์เบลแล้วเป็นค่าใช้จ่ายที่มีผลกระทบใหญ่มาก

“ท่านพี่วอน ใจเย็น ๆ ก่อน ท่านพี่บรอดให้คนไปตามหัวหน้าองครักษ์ทั้งสามคนอย่าง รูซ ฟอล และซัสซูนแล้ว อีกไม่นานทั้งสามคนและนักล่าที่เหลือจะรวมตัวกัน จะออกไปทำการค้นหาและช่วยเหลือทันที”

ลุงอีกคนของฌอนชื่อบูสัน แคมป์เบลเป็นคนพูด

“แต่นี่มันหลายชั่วโมงแล้วนะ เจ้าสัตว์ร้ายคงจะ…”

เมื่อได้ยินสิ่งที่บูสัน พูด สีหน้ากังวลของวอนก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แถมยังกระทืบเท้าไปมาในห้องโถง จากนั้นก้มองไปที่ชายที่รอดกลับมา

“สัตว์ร้ายนั่นแข็งแกร่งแค่ไหน?”

“ผมบอกไม่ถูกเลย แต่มันเร็วมากเลยมองไม่ชัด จากนั้นนักล่าคนหนึ่งก็ถูกข่วน แต่หัวหน้าซิวม่าก็หยุดมันไว้ได้ ผมจึงอาศัยจังหวะนั้นหนีออกมาเพื่อแจ้งข่าวด่วน”

ชายคนนั้นพูดด้วยความลำบากใจ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของวอนก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น

“มองไม่ชัดอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นสัตว์ร้ายตัวนี้ก็…”

“อย่ากังวลไป พวกมันอยู่แค่รอบนอกของภูเขาซาทุลล่า คงไม่ใช่สัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งเกินไปหรอก”

บรอดพูดปลอบใจ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้

เป็นความจริงที่ไม่มีสัตว์ร้ายทรงพลังในบริเวณรอบนอกภูเขาซาทุลล่า แต่ครัง้นี้แตกต่างออกไป ถ้าพวกมันมาจากด้านในของภูเขา พวกสัตว์ร้ายทรงพลังอาจไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาให้เห็น แต่บางครั้งพวกมันก็อพยพไปยังบริเวณรอบนอกด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งเหตุผลนี้ก็พออธิบายได้

“ท่านบรอดครับ”

ในขณะเดียวกันก็มีชายสามคนเดินเข้ามา คนหนึ่งมีเคราและเดินด้วยก้าวหนัก ๆ เหมือนวัวกำลังอาละวาด

ส่วนชายอีกสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นคนแข็งแรงมีผมสีดอกเลา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนแข็งแรงมีหัวล้าน

พวกเขาทั้งสามมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน แต่ถ้าต้องการหาสิ่งเดียวที่เหมือนกัน ทั้งสามล้วนตัวสูงและแข็งแรงมาก เพียงแค่มองไปยังพวกเขาทั้งสาม ก็สามารถเดาได้ว่าพวกเขาต้องมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และมีพลังที่น่าหวาดกลัว

“มากันแล้ว!”

เมื่อเห็นทั้งสามคน บรอดก็แสดงความดีใจและเล่าสถานการณ์ปัจจุบันทันที

หลังจากฟังเรื่องที่บรอดเล่า ชายมีหนวดเคราซึ่งก็คือชายที่เอาชนะฌอนในสามกระบวนท่า รูซก็พูดขึ้น

“เรื่องต่อสู้ไม่ต้องเป็นห่วง แต่เราจำเป็นต้องหานักล่าที่มีประสบการณ์ เพราะพวกเราสามคนไม่เก่งเรื่องเดินป่า”

“เรื่องนี้ก็ไม่เป็นปัญหาเหมือนกัน”

บรอดตอบตกลงทันทีและพูดคุยรายละเอียดกับทั้งสามคน

แต่เมื่อพวกเขาคุยรายละเอียดเสร็จและกำลังจะจัดทีมช่วยเหลือ ฌอนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้น

“พ่อครับ ผมไปกับพวกคุณรูซได้ไหม?”

“ลูกจะ…”

บรอดเลิกคิ้วและตอบโต้โดยไม่รู้ตัว

“ไม่ มันอันตรายเกินไป”

“ท่านฌอน ถ้าท่านต้องการเข้าไปในภูเขาซาทุลล่าจริง ๆ คราวหน้าผมพาท่านไปคนเดียวได้ แต่คราวนี้ผมทำแบบนั้นไม่ได้ มันอันตรายเกินไป”

รูซหรือชายมีหนวดมีเคราก็พยายามเกลี้ยกล่อมฌอน

เนื่องจากตอนนี้เขายังไม่รู้เกี่ยวกับพละกำลังปัจจุบันของฌอน แต่เขารู้ว่าพละกำลังของฌอนเมื่อปีที่แล้วยังตามพวกเขาไม่ทันเลยแม้แต่สามกระบวนท่า ถึงตอนนี้จะเพิ่มขึ้นก็คงไม่มาก เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เขาไม่เต็มใจที่จะพาฌอนไปด้วย

“ไปด้วยไม่ได้จริง ๆ เหรอ?”

ฌอนขมวดคิ้วเล็กน้อย

ฌอนไม่ได้แสดงท่าทีหยิ่งผยอง แต่กลับคิดว่าถ้าไม่มีตัวเองไปด้วย รูซและคนอื่นคงไม่สามารถช่วยทีมล่าสัตว์ได้อย่างแน่นอน แต่เหตุที่อยากติดตามไปด้วยจริง  ๆ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง

หลายเดือนผ่านไป นับตั้งแต่การทดสอบสู้กับหุ่นเชิดศพ แต่หุ่นเชิดศพที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือดยังคงตราตรึงในความทรงจำ ช่วงเวลานี้ เขาไม่ได้คัดลอกพรสวรรค์ใด ๆ เลย เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการครอบครองพรสวรรค์ทางสายเลือด เพื่อไม่ให้พลาดโอกาส แต่ก็น่าเสียดายที่หลังจากผ่านไปหลายเดือน เขาก็ยังไม่พบคนที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือดเลย

แต่สิ่งที่สมาชิกทีมล่าสัตว์พูดตอนนี้ทำให้หัวใจของฌอนเต้นรัว

เท่าที่ฌอนรู้ สมาชิกทีมล่าสัตว์เป็นผู้เชี่ยวชาญในการเดินป่า และนักล่าทุกคนมีสายตาที่ดี เมื่อมีคนจำนวนมากหยิบคันธนูพร้อมลูกศร แม้กระทั่งนกกระจอกที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรก็สามารถยิงได้ ซึ่งสายตาแบบนั้นมันดีมาก ต่อให้สมาชิกทีมล่าสัตว์ไม่เห็นรูปร่างของสัตว์ร้ายอย่างชัดเจนก็สามารถอธิบายลักษณะได้

สิ่งนี้ทำให้ฌอนสงสัยว่าสัตว์ร้ายตัวนั้นแข็งแกร่งถึงขนาดที่เร็วมากจนมองไม่ทันเลยเหรอ?

ซึ่งฌอนก็สงสัยการคาดเดาอย่างหลังเป็นพิเศษ

เนื่องจากหัวหน้าทีมล่าสัตว์มีพละกำลังที่จะหยุดสัตว์ร้ายนี้ได้ แปลว่าพละกำลังของสัตว์ร้ายนี้ไม่ได้แข็งแกร่งจนเกินไป สำหรับความแข็งแกร่งที่น่าทึ่งของหัวหน้าทีมล่าสัตว์ ฌอนก็ไม่ได้ไว้ใจมากนัก ถ้าหัวหน้าทีมล่าสัตว์แข็งแกร่งจริง ๆ คงไม่แปรพักตร์มาเข้าร่วมกับตระกูลเล็ก ๆ อย่างแคมป์เบล

ถูกต้องแล้ว ทีมล่าสัตว์ก็แค่กลุ่มคนเล็ก ๆ!

แม้ตระกูลแคมป์เบลจะสบายดีในเมืองเอซาย แต่ก็เทียบได้แค่เมล็ดงาเมื่อไปอยู่ในอาณาจักรใหญ่ ๆ เท่านั้น นอกจากนี้ ยังเกิดเรื่องไม่ธรรมดาที่แม้แต่ทีมล่าสัตว์ยังเอาไม่อยู่ ฌอนจึงเชื่อว่าสัตว์ร้ายอาจไม่ได้แข็งกร่งมาก แต่รวดเร็วมาก

สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงบันทึกเกี่ยวกับพรสวรรค์ทางสายเลือดที่อ่านเจอในห้องสมุดของโรงเรียนอัศวินยุคใหม่

ตามบันทึกแล้ว พรสวรรค์ทางสายเลือดไม่ได้มีอยู่เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่จะปลุกพรสวรรค์ทางสายเลือดในหุ่นเชิดศพและสัตว์ร้าย ซึ่งทำให้ฌอนสงสัยว่าสัตว์ร้ายตัวนั้นเป็นสัตว์ร้ายที่ปลุกพรสวรรค์ทางสายเลือดหรือไม่?

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด