ตอนที่ 77 กลั่นแกล้งเมื่อไม่มีคน
เพียงวันเดียวได้รับวิชายุทธ์ถึงสามอย่างและยังเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยม นานมากแล้วที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวได้มากมายขนาดนี้ ตราบใดที่ฝึกวิชาทั้งสามนี้ถึงระดับรู้แจ้ง ความแข็งแกร่งของเฉินเฟยจะก้าวหน้าไปอีกขั้น
สิ่งแรกที่เฉินเฟยทำคือผสานวิชาทั้งสามเข้ากับวิชาเดิมที่มีอยู่
“ค้นพบวิชายุทธ์ ต้องการใช้เงินหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงทำให้พลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นสองเป็นแบบง่ายหรือไม่?”
“ค้นพบวิชายุทธ์ ต้องการใช้เงินหนึ่งพันตำลึงทำให้กระบี่ดาวประดับราตรีเป็นแบบง่ายหรือไม่?”
“ค้นพบวิชายุทธ์ ต้องการใช้เงินหนึ่งพันตำลึงทำให้ฝีเท้าไล่ล่าวิญญาณเป็นแบบง่ายหรือไม่?”
ราคาการทำให้พลังเข้าใจต้นกำเนิดเป็นแบบง่ายเพิ่มขึ้น และราคาในการทำให้กระบี่ดาวประดับราตรีและฝีเท้าไล่ล่าวิญญาณเป็นแบบง่ายแพงเช่นกัน แต่ทั้งหมดนี้อยู่ในระดับที่เฉินเฟยยอมรับได้
“ทำให้เป็นแบบง่าย!”
“พลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นสอง...ทำให้เป็นแบบง่ายสำเร็จ...พลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นสอง → พลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นหนึ่ง!”
“กระบี่ดาวประดับราตรี...ทำให้เป็นแบบง่ายสำเร็จ...กระบี่ดาวประดับราตรี → กระบี่แรกเริ่ม!”
“ฝีเท้าไล่ล่าวิญญาณ...ทำให้เป็นแบบง่ายสำเร็จ...ฝีเท้าไล่ล่าวิญญาณ → เหินเมฆา!”
เฉินเฟยหายใจเข้าลึก ได้เวลาสัมผัสประสบการณ์ปวดตับอีกครั้งแล้ว เริ่มจากตั้งเป้าหมายเล็กๆไว้ก่อน ต้องฝึกฝีเท้าไล่ล่าวิญญาณให้ถึงระดับรู้แจ้งภายในห้าวัน
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า เฉินเฟยฝึกหลอมโอสถในช่วงเช้าและเพิ่มความชำนาญพลังเข้าใจต้นกำเนิดกับฝีเท้าไล่ล่าวิญญาณในช่วงบ่าย ไม่ออกนอกบ้านไม่ก้าวผ่านประตูทั้งสอง เฉินเฟยกลับเข้าสู่วิถีนักพรตอีกครั้ง
แม้จะตกกลางคืนเฉินเฟยยังคงไม่หยุดฝึก
เมื่อนักยุทธ์มาถึงระดับหนึ่ง การบ่มเพาะสามารถทดแทนการนอนหลับได้ในระดับหนึ่ง แน่นอนว่ามันไม่สะดวกสบายเท่ากับการนอนจริง แต่เฉินเฟยจะพลาดการนอนดึกได้อย่างไร การนอนดึกนี้ยังคงเป็นสิ่งเสพติดเหมือนเคย
พริบตาเดียวก็เข้าวันที่ห้า เฉินเฟยตามกัวหลินซานและคนอื่นขึ้นภูเขา
กลุ่มมีขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่เป็นคนเก็บสมุนไพร เมื่อถึงเวลาเก็บสมุนไพรคนเก็บสมุนไพรเหล่านี้จะเริ่มทำงาน งานหลักของเฉินเฟยคือการดูแลพวกเขา พอสมุนไพรถึงจำนวนหนึ่งพวกเขาจะรับผิดชอบในการส่งกลับ
“โดยทั่วไปแล้วบนภูเขาไม่มีอันตราย แต่ความรู้สึกเป็นสิ่งพิเศษดังนั้นขอให้ทุกคนตื่นตัวเข้าไว้ อย่างเร็วสุดจะได้กลับภายในครึ่งเดือน”
เมื่อมาถึงที่ตั้งพักบนภูเขา กัวหลินซานมองศิษย์น้องด้านล่างแล้วพูดเสียงดัง ภารกิจนี้มอบหมายให้กับกลุ่มพวกเขาและเป็นภารกิจบังคับที่ปฏิเสธไม่ได้
ในสำนักกระบี่เริ่มดวงดาว ภารกิจประเภทนี้เกิดขึ้นปีละครั้งและศิษย์ภายในทุกคนต้องทำให้เสร็จ หากทำภารกิจไม่สำเร็จเนื่องจากความเกียจคร้านหรือเหตุผลอื่น สำนักจะมอบบทลงโทษร้ายแรง
“ขอรับศิษย์พี่กัว!” คนด้านล่างตอบรับเสียงดังจากนั้นแยกย้ายไปตามตำแหน่งที่จัดวางไว้ก่อนหน้าเพื่อติดตามความคืบหน้าการทำงานของคนเก็บสมุนไพร
“ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้เจอเจ้านานเลย” ทันใดนั้นลั่วจวิ้นเดินมาหาเฉินเฟยและพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินเฟยหันไปมอง อันที่จริงเฉินเฟยเห็นลั่วจวิ้นตั้งแต่เมื่อกี้แล้วแต่เขาไม่ได้คิดเข้าไปทักทาย ท้ายที่สุดแล้วเขาเพิ่งทุบตีอีกฝ่ายไป
แม้ว่าจุดประสงค์หลักคือการทำให้ลั่วจวิ้นเลิกเล่นตลกแบบนี้อีก แต่ในนั้นยังมีความแค้นส่วนตัวของเฉินเฟยอยู่ด้วย
“ช่วงนี้ข้ายุ่งกับการบ่มเพาะจึงไม่ได้ออกไปไหนมากนัก” เฉินเฟยสังเกตใบหน้าลั่วจวิ้นอย่างจริงจังและไม่พบอาการบาดเจ็บใดๆ เขาฟื้นตัวได้ดีทีเดียว
พอลั่วจวิ้นโดนเฉินเฟยจ้องมองแบบนี้จึงคิดว่าเฉินเฟยรู้เรื่องที่เขาโดนลอบโจมตี
“ดูเหมือนศิษย์น้องเล็กจะรู้เรื่องนี้ด้วย อย่าให้ข้ารู้นะว่ามันเป็นใคร ไม่เช่นนั้นข้าไม่ปล่อยมันไว้แน่ เรื่องนี้ยังไม่จบ!” ลั่วจวิ้นพูดอย่างโกรธเคือง
ลั่วจวิ้นสงสัยเฉินเฟย เพราะวันนั้นเขาเพิ่งเล่นตลกกับเฉินเฟยและพอตกกลางคืนเขาก็โดนซ้อม เฉินเฟยเป็นจึงคนที่น่าสงสัยมากที่สุด
แต่ความแข็งแกร่งที่บุคคลนั้นแสดงออกมาทำให้ลั่วจวิ้นไม่มีพลังต่อต้าน
เฉินเฟยเพิ่งเข้าระดับหลอมกระดูกและว่ากันว่าเขามาจากที่ห่างไกล ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะเขาเช่นนี้
ลั่วจวิ้นมักปากต่ำจนทำให้หลายคนขุ่นเคือง ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนความสงสัยนี้ไปยังคนอื่น
“ศิษย์พี่พูดถูก” เฉินเฟยพยักหน้าเห็นด้วย
ลั่วจวิ้นคุยกับเฉินเฟยอีกสักพักจากนั้นทั้งสองจึงแยกย้ายไปดูแลคนเก็บสมุนไพรในพื้นที่ของตน
ช่วงกลางวันกำลังจะผ่านไป เพราะมีคนดูแลและค่าจ้างค่อนข้างดี ปริมาณสมุนไพรที่เก็บได้จึงค่อนข้างมาก
ในภูเขาแห่งนี้ไม่รู้ว่าดินอุดมสมบูรณ์หรือด้วยเหตุผลอื่น อัตราเติบโตของสมุนไพรจึงรวดเร็วมาก แม้ว่ารอบเมืองเซียนเมฆาจะมีคนเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตโอสถเลย
ในตอนเย็น สมุนไพรถูกรวมไว้ในเกวียนและขนส่งลงมาจากภูเขา สีหน้าทุกคนค่อนข้างผ่อนคลาย ตามจำนวนนี้คาดว่าภารกิจจะเสร็จภายในสิบวันและไม่ต้องนอนในที่โล่งแจ้งต่อ
เฉินเฟยเดินไปมาในพื้นที่ของตัวเอง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อดูแลคนเก็บสมุนไพรแต่เป็นการฝึกฝีเท้าไล่ล่าวิญญาณ แม้เฉินเฟยไม่ได้นอนทั้งคืนและฝึกไม่หยุดทั้งกลางวันกลางคืน แต่เขายังรู้สึกว่ายังมีเวลาน้อยเกินไปอยู่ดี
ความชำนาญฝีเท้าไล่ล่าวิญญาณขาดอีกหลายร้อยก่อนถึงระดับรู้แจ้ง
อย่างไรก็ตาม ก่อนบรรลุระดับรู้แจ้งความเร็วของเฉินเฟยดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ หากฝึกถึงระดับรู้แจ้งอาจมีช่องว่างสำหรับการก้าวหน้า
สำหรับความชำนาญอีกหลายร้อย เฉินเฟยยังต้องทำงานอย่างหนักซึ่งคาดว่าจะสำเร็จในวันนี้
ส่วนพลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นสองมีความชำนาญเพียงครึ่งเดียว มันต้องใช้เวลาเกือบสิบวันเหมือนที่เฉินเฟยประมาณไว้ในตอนต้น เนื่องจากฝึกกระบี่ดาวประดับราตรีร่วมกับฝีเท้าไล่ล่าวิญญาณ ความก้าวหน้าของมันจึงเข้าใกล้ระดับรู้แจ้งซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีเช่นกัน
เฉินเฟยเดินไปมาในพื้นที่ปฏิบัติภารกิโดยร่างสั่นไหวเป็นระยะ ทันใดนั้นมีเสียงดังมาจากระยะไกล เฉินเฟยหันไปมองพบว่าเป็นที่พักสำนักบนภูเขา
ร่างเฉินเฟยสั่นไหว ครู่ต่อมาเขากลับมายังที่พักและเห็นคนนอนบนพื้นเต็มไปด้วยเลือด เฉินเฟยเข้าไปดูใกล้ๆและพบว่าเป็นฉือต้าเหอที่เป็นคนขนส่งสมุนไพรก่อนหน้านี้
“เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินเฟยหันมองลั่วจวิ้น ตอนเฉินเฟยมาถึงลั่วจวิ้นก็อยู่ที่นี่ก่อนแล้ว
“มีคนโจมตีขบวนขนส่งสมุนไพรของเรา ศิษย์พี่ฉือฝ่าฟันมาอย่างยากลำบากเพื่อกลับมาบอกขข้อมูลพวกเรา ศิษย์พี่กัวกับศิษย์พี่บางคนรีบตามไปช่วยคนอื่นแล้ว” ลั่วจวิ้นพูดเสียงต่ำ
เฉินเฟยเงยหน้าขึ้น แน่นอนว่าไม่มีศิษย์พี่ระดับการขัดเกลาไขกระดูกอยู่ที่นี่ด้วย คนที่เหลือล้วนอยู่ในระดับหลอมกระดูกเหมือนเฉินเฟย
หลังทานโอสถไปบางส่วน ฉือต้าเหอบนพื้นได้รักษาอาการบาดเจ็บให้คงที่และผล็อยหลับไปในสภาพหมดสติ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ทุกคนยังคงรอกัวหลินซานและคนอื่นอย่างใจจดใจจ่อ ข้อมูลนี้ถูกส่งกลับไปยังสำนักผ่านนกพิราบส่งสารแล้ว สำนักจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาข่วยเหลือ
บนขบวนรถ มีสัญลักษณ์สำนักกระบี่เริ่มดวงดาวแสดงอยู่ แต่นั่นเท่านั้น ยังมีใครบางคนกล้าโจมตีอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับสำนักกระบี่เริ่มดวงดาว พูดให้ชัดคือพวกเขาไม่ได้สนใจศิษย์เหล่านี้
“อภัย...อภัยให้ข้าด้วย!”
ทันใดนั้นมีเสียงร้องขอความเมตตาดังขึ้น ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง พบว่านักยุทธ์บับคอคนเก็บสมุนไพรและกำลังวิ่งมาทางนี้ ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงที่พักและโยนคนเก็บสมุนไพรลงพื้น
“สำนักฉางหง?”
ทุกคนเห็นสัญลักษณ์บนตัวบุคคลนั้นและหอกอันเป็นเอกลักษณ์ก็คาดเดาตัวตนของบุคคลนั้นได้ทันที
“ทำไมเจ้าถึงทำร้ายคนเก็บสมุนไพรของข้า!” ลั่วจวิ้นมองคนเก็บสมุนไพรบนพื้น เขารู้สึกคุ้นๆหน้าจึงมองดูอีกครั้ง นั่นเป็นคนเก็บสมุนไพรที่อยู่ในพื้นเขาไม่ใช่หรือ
“หากรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ภารกิจของสำนักข้า ข้าย่อมฆ่าเขาได้ ข้าอยากถามว่าพวกเจ้าว่ากำลังกลั่นแกล้งสำนักน้ำรุ้งตอนไม่มีคนหรือ!”
กวงติ้งป๋อตะโกนอย่างโกรธเคือง หอกในมือเขาสร้างแรงกดดันแก่คนรอบข้าง