ตอนที่ 6 : ลงโทษให้นางนั่งคุกเข่าตรงนี้นี่แหละ (อ่านฟรี)
ฮูหยินใหญ่โกรธมากในตอนนี้ "แม่นมอันพาเธอไปคุกเข่าที่ห้องโถงบรรพบุรุษ อย่าให้นางกินอะไรจนกว่านางจะยอมขอโทษ!”
เฉียวจินเหนียงหยิบเครื่องประดับศีรษะบนพื้นขึ้นมา “น่าเสียดายที่มันแตกซะแล้ว ข้าไม่รู้ว่ามันจะยังซ่อมได้อยู่ไหม”
เฉียวหรูฉีตะโกนด้วยความโกรธ “ท่านแม่ ท่านรู้ไหมว่าข้าถูกผู้หญิงคนอื่นๆ ในวังตะวันออกหัวเราะเยาะอย่างไรเมื่อวานนี้?
“พวกเขาบอกว่าข้ากำลังจะมีพี่สาวที่ถูกทาสเลี้ยงมาและยังบอกด้วยว่าระวังอย่าให้ข้าไปแปดเปื้อนท่าทางชั้นต่ำของนางมาล่ะ…”
ฮูหยินใหญ่ทุบโต๊ะแล้วพูดว่า “ผู้ที่พูดแบบนั้นมันเป็นใครกัน? ข้าจะได้ไปสอบถามว่าบิดามารดาของพวกเขาว่าสั่งสอนลูกหลานมาอย่างไร!
“ข้าอยากเห็นนักว่าในเมืองฉางอันนี่ ใครกันที่กล้าดูหมิ่นลูกสาวคนโตของหวังอันหยวน!”
เฉียวหรูฉีว่า “ต่อให้พวกเขาไม่พูดต่อหน้า ในใจพวกเขาก็ยังจะคิดแบบนั้นอยู่ดี ในภายภาคหน้าข้าจะแต่งเข้าพระราชวังตะวันออก และการที่ต้องมีพี่สาวที่ถูกทาสเลี้ยงดูมาแบบนี้ มันส่งผลต่อชื่อเสียงของข้าครอบครัวเราก็มีที่ดินตั้งมากมาย นางสามารถอาศัยอยู่ในชนบทต่อไปก็ได้ ท่านแม่จะพานางกลับมาทำไมกัน!”
ยิ่งฮูหยินใหญ่ได้ฟังที่นางพูดเท่าไหร่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ด้วยกลัวว่าเฉียวจินเหนียงจะเสียใจ เธอรีบจับมือเฉียวจินเหนียง “จินเหนียง เจ้าต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ อย่าเอาคำพูดไร้สาระของน้องเจ้ามาใส่ใจ ไม่ว่าใครจะเลี้ยงดูเจ้ามา เจ้าก็ยังเป็นลูกสาวที่รักของแม่”
เฉียวจินเหนียงยิ้มด้วยความโล่งใจ “ลูกไม่สนใจหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ลูกมีความสุขมาก หลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมจากไป ลูกคิดว่าบนโลกนี้ไม่มีใครที่รักลูกอีกแล้ว แต่ตอนนี้ลูกมีท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่าน้องหรูอี้และท่านพี่หรูหยุน ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ลูกจะต้องรู้สึกไม่ดี”
เฉียวจินเหนียงสามารถรับรู้ได้ว่าท่านหญิงรักเธอมากจริงๆ และเฉียวหรูหยุนก็รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจจริงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
สำหรับคนที่พูดไม่ดีเกี่ยวกับตัวเธอ เธอจะไม่สนใจคำพูดของพวกเขา ด้วยเธอไม่อยากเก็บมันมาใส่ใจ
เมื่อเห็นว่าเฉียวจินเหนียงมีเหตุผลมากขนาดไหน ฮูหยินใหญ่ก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจในตัวเฉียวหรูฉีมากขึ้นและเร่งให้แม่นมอันพาเธอไปที่โถงบรรพบุรุษ
"ท่านแม่" เสียงที่นุ่มนวลและน่ารักของเด็กคนนึงดังมาจากด้านนอก
เฉียวจินเหนียงหันไปมองและพบกับเด็กชายตัวเล็กน่ารักในชุดเสื้อคลุมคอกลมสีแดงวิ่งเหยาะๆเข้ามาเมื่อเขาเห็นเฉียวจินเหนียง เขาก็ผงะไปเล็กน้อย
ฮูหยินใหญ่ว่า “อาหลี่ นี่คือพี่สาวคนโตของเจ้า”
เด็กชายเรียกเธอว่า 'พี่สาว' อย่างอ่อนหวาน
เฉียวจินเหนียงอายุมากกว่าน้องชายคนนี้ 12 ปี เธอบอกให้นั่วหมี่หยิบกุญแจหยกอายุยืนที่ฝังด้วยทองคำออกมาและมอบให้
ฮูหยินใหญ่กล่าวว่า “เจ้าคงใช้เงินไปมากกับของขวัญพวกนี้ ให้แม่พาเจ้าไปซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับตอนบ่ายนี้นะ”
“ท่านแม่ ท่านแม่มอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้ลูกมากพอแล้วเจ้าค่ะ”
"นั่นยังไม่พอหรอก นี่เป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว เจ้าควรใส่เสื้อผ้าสีสดใสกว่านี้ หรูอี้ถ้าเจ้าว่างตอนบ่ายนี้ก็ไปด้วยกันเถอะ”
เฉียวหรูอี้พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เฉียวจินเหนียงเคยคิดว่าคนที่น่าจะเข้ากันได้ยากที่สุดคือน้องสาวต่างมารดาคนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าน้องสาวคนนี้จะอายุเพียง 14 ปี แต่เธอก็สุภาพและฉลาดเฉลียว ซึ่งทำให้จินเหนียงนึกถึงอดีตอาจารย์หญิงของเธอ
ในตอนบ่าย เฉียวจินเหนียงตามฮูหยินใหญ่ไปที่ถนนหลักเพื่อซื้อเครื่องประดับและเสื้อผ้า
“ท่านแม่ เครื่องประดับศีรษะของน้องสี่มีมูลค่ามาก ดังนั้นลูกอยากหาร้านที่จะซ่อมมัน ร้านไหนเป็นร้านเครื่องประดับที่ดีที่สุดในฉางอันหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่ถอนหายใจเมื่อนึกถึงลูกสาวคนเล็กที่น่ารำคาญของเธอ “แม่ขอโทษสำหรับสิ่งที่นางทำกับเจ้านะจินเหนียง แม่ว่าไม่ต้องซ่อมหรอก เดี๋ยวแม่จะซื้ออันใหม่ให้เจ้าเอง”
“ท่านแม่ ลูกตั้งใจมากเพื่อให้ได้มันมา มันมีค่ามาก เพราะงั้นมันคงจะน่าเสียดายหากจะโยนทิ้งไป”
ฮูหยินใหญ่คิดว่าเฉียวจินเหนียงอาจจะแค่ไม่ต้องการเสียเงินไปเปล่าๆ ดังนั้นจึงพาเธอไปที่ร้านขายเครื่องประดับที่ได้รับความนิยมที่สุดในฉางอัน ร้านนี้มีชื่อว่าขุมสมบัติ
พวกเขาเป็นร้านขายเครื่องประดับที่ดีที่สุดในฉางอัน
เฉียวจินเหนียงเดินเข้าไปในร้านและมองไปรอบๆ พบว่าเครื่องประดับของที่นี่คล้ายๆกับของที่ขายในเมืองหลินอัน
เธอหยิบเครื่องประดับศีรษะที่เฉียวหรูฉีทำแตกออกมาและถามพนักงานว่า “คุณมีช่างทองที่สามารถซ่อมเครื่องประดับศีรษะมุกนี้ได้หรือไม่?”
“นี่ใช่ทองคำแข็งหรือเปล่าขอรับ? มันเป็นเทคนิคการทำเครื่องประดับแบบใหม่ที่คิดค้นขึ้นในภาคใต้นี่ขอรับ” เมื่อผู้ดูแลร้านได้ยินก็รีบเดินเข้ามาดู “นี่คือทองคำแข็งของแท้แน่นอน ทองชนิดนี้มีค่ามาก ข้าน้อยเดาว่าเครื่องประดับศีรษะนี้ต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ตำลึงเงินเลยใช่ไหมขอรับ?”
ฮูหยินใหญ่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ
เฉียวจินเหนียงพยักหน้าและพูดว่า “มันเป็นทองคำแข็งจริงดังที่ท่านว่า ท่านพอจะมีช่างฝีมือที่สามารถซ่อมมันได้หรือไม่เจ้าคะ”
ผู้ดูแลร้านกล่าวว่า “เนื่องจากยังไม่มีทองคำแข็งในฉางอัน แล้วปกติทองคำแข็งจะไม่แตกง่ายแบบนี้ ดังนั้นสิ่งนี้คงต้องถูกทำลายอย่างรุนแรงมากเลยสินะขอรับ”
เฉียวจินเหนียงพูดอย่างหมดหนทาง “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าค่อยซ่อมมันหลังจากกลับไปที่หลินอัน”
ฮูหยินใหญ่ขอให้ผู้ดูแลร้านนำเครื่องประดับชุดใหม่ล่าสุดที่มีออกมาให้เฉียวจินเหนียงเลือกตามต้องการเฉียวจินเหนียงไม่ชอบใส่เครื่องประดับเลยจริงๆ แต่เธอไม่อยากทำให้ฮูหยินใหญ่ต้องผิดหวัง
เธอแสร้งทำเป็นสนใจ แล้วเลือกเครื่องประดับออกมาสี่ถึงห้าชิ้นแล้วหันไปเลือกชุดเครื่องประดับให้ฮูหยินใหญ่แทน “ท่านแม่ ท่านงามจริงๆ เมื่อใส่เครื่องประดับชิ้นนี้”
ฮูหยินใหญ่มีความสุขมากที่ได้ยินดังนั้น เธอจึงจ่ายเงินอย่างไม่ตระหนี่
“ข้าเพิ่งเห็นรถม้าของจวนหวังอันหยวน ลูกสาวคนโตที่ถูกทาสเลี้ยงมาในชนบทกลับมาแล้วหรือ?”
“หญิงชั้นต่ำนั่น ข้าเกรงว่าไม่ช้าก็เร็ว เมื่อมาถึงฉางอันเธอคงจะถูกคนในจวนหวังอันหยวนรังเกียจ!”
กลุ่มสาวสูงศักดิ์ในชุดสีสันสดใสโบกพัดในมือ พร้อมกับหัวเราะและกระซิบกระซาบกันต่อด้วยเสียงอันแผ่วเบา
ฮูหยินใหญ่กำลังเลือกเครื่องประดับกับผู้ดูแลร้านอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ แต่เฉียวจินเหนียงได้ยินมันอย่างชัดเจน
เฉียวหรูอี้กล่าวว่า "พี่สาว ท่านอย่าไปสนใจพวกเขาเลยนะเจ้าคะ คนพวกนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากทำตัวหัวสูง คนในครอบครัวที่เป็นขุนนางของคนพวกนี้ ยศที่สูงที่สุดก็ไม่สูงกว่าผู้ช่วยว่าการ เพราะฉะนั้นพวกเขาก็แค่อิจฉาท่านเท่านั้น”
เฉียวจินเหนียงยิ้มให้เฉียวหรูอี้ “ตกลง พี่จะไม่สนใจพวกเขา”
คนพวกนี้อายุยังน้อยแต่สิ่งที่พูดออกมานั้นช่างหยาบคายยิ่งนัก การให้ความสนใจกับคนประเภทนี้มีแต่จะทำให้เธอตกต่ำลง
“การล่าในฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ข้าได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จออกล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ด้วย องค์รัชทายาททรงเข้ารับพิธีสวมมงกุฎแล้วและอีกไม่นานก็จะต้องทรงเลือกพระชายาและพระสนมในเร็วๆนี้ ถึงแม้พวกเราจะไม่อาจเป็นพระชายาได้ แต่เราก็ยังสามารถเป็นพระสนมของพระองค์ไดเอยู่นี่หน่า”
เฉียวจินเหนียงตกตะลึงกับความกล้าหาญของสาวๆพวกนี้
คำพูดเหล่านี้พวกนางก็ยังกล้าพูดออกมาเสียงดัง
เฉียวหรูอี้กล่าวกับเฉียวจินเหนียงว่า "ฝ่าบาททรงรักองค์รัชทายาทมาก ดังนั้นแม้แต่การเป็นนางสนมของพระองค์ก็ยังหมายถึงอนาคตที่สดใส ดังนั้นท่านพี่หรูฉีจึงได้เป็นแบบนั้น
“หลังจากองค์รัชทายาทเสด็จกลับมา สตรีสูงศักดิ์หลายคนในฉางอันก็เริ่มมีความขัดแย้งกัน ลูกสาวและน้องสาวของขุนนางทั้งหลายต่างก็ต้องการได้รับเกียรติเป็นพระชายา หรือแม้แต่เป็นพระสนมขององค์รัชทายาทก็ยังดีเจ้าค่ะ…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียวจินเหนียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ “ความหล่อนี่มันเป็นภัยจริงๆ!”
เฉียวหรูอี้ก็หัวเราะเช่นกัน “เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ความหล่อก็เป็นภัยอย่างหนึ่งเช่นกัน เราคงจะได้เห็นอะไรสนุกๆกัน ในการล่าสัตว์ปีนี้นะเจ้าคะ”
เฉียวจินเหนียงรู้สึกขบขัน “แล้วเจ้าล่ะน้องสาว? เจ้าไม่อยากทะยานขึ้นฟ้าในพริบตาเดียวบ้างเหรอ?”
เฉียวหรูอี้กล่าว "ท่านพ่อดำรงบรรดาศักดิ์เป็นหวัง เป็นแม่ทัพใหญ่ และยังเป็นมหาเสนาบดี ครอบครัวของเราอยู่ในระดับสูงในฉางอันอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงด้วยล่ะเจ้าคะ?”
ในที่สุดเฉียวจินเหนียงก็เข้าใจว่าทำไมหวังอันหยวนจึงมีอำนาจมากในฉางอัน ปรากฎว่าตำแหน่งของท่านพ่อสูงและมีอำนาจมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาลูกสาวเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
ไม่น่าแปลกใจที่ท่านย่าของเธอขอให้ท่านแม่กดดันครอบครัวสามีของพี่หญิงให้ปฏิบัติต่อเธอให้ดี ซึ่งพอได้รู้แบบนั้นมันก็ทำให้เธอเบาใจขึ้น
หลังจากฮูหยินใหญ่จ่ายเงินเสร็จแล้ว นางก็พาเฉียวจินเหนียงไปที่ร้านขายเสื้อผ้า ซึ่งมีหญิงสาวผู้สูงศักดิ์หลายคนกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่มาเพื่อตัดชุดสำหรับขี่ม้า
ในสมัยราชวงศ์ถัง ผู้คนนับถือศิลปะทางการทหารเป็นอย่างสูง ดังนั้นผู้หญิงส่วนใหญ่จึงสามารถขี่ม้าได้การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิอยู่ใกล้แค่เอื้อม สาวๆ หลายคนจึงมาตัดเย็บชุดขี่ม้าให้ตัวเอง
ฮูหยินใหญ่ยังมอบชุดขี่ม้าสั่งตัดให้เฉียวจินเหนียงอีกด้วย เมื่อเห็นเช่นนี้เธอก็รีบปฏิเสธ “ท่านแม่ ลูกขี่ม้าไม่เป็นเจ้าค่ะ…”
“นั่นไม่สำคัญหรอก ลูกสาวของแม่ต้องมีในสิ่งที่บุตรสาวจวนอื่นมี”
ในตอนที่ฮูหยินใหญ่และเฉียวจินเหนียงเดินเข้ามา พวกเขาได้ดึงดูดความสนใจของหญิงสาวคนอื่นๆ
มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาและพูดว่า “ฮูหยินอันหยวน นี่คือคุณหนูสองใช่ไหมเจ้าคะ? เธอดูเหมือนฮูหยินมากเลยนะเจ้าคะ เหมือนเป็นบุตรีที่ฮูหยินเลี้ยงมาเลยเจ้าค่ะ”
เฉียวจินเหนียงเห็นผู้หญิงคนนี้ก็นึกได้ว่าเธอดูคล้ายกับหญิงสาวคนที่ดูถูกเธอเมื่อกี้
เฉียวหรูอี้กระซิบ “เธอคนนี้เป็นภรรยาของรัฐมนตรีช่วยว่าการกรมกลาโหม ท่านพี่เพิ่งพบลูกสาวของเธอที่ร้านขุมสมบัติเมื่อครู่นี้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่รู้สึกมีความสุขเมื่อมีคนชมลูกสาวของเธอ “ใช่ จินเหนียงของข้าไม่ว่าจะนิสัยใจคอหรือรูปร่างหน้าตาก็คล้ายกับข้าในวัยเยาว์มาก”
นางหลินถอนหายใจ “คุณหนูคงต้องทนทุกข์ทรมานมากแน่ๆ สาวน้อยผู้น่าสงสาร แต่โชคดีที่หลังจากความทุกข์มา ความสุขก็บังเกิด คุณหนูรองต้องเรียนรู้เรื่องมารยาทให้ดีๆนะเจ้าคะ เพื่อไม่ให้จวนหวังต้องเสื่อมเสียเกียรติ”
เฉียวจินเหนียงพูดอย่างสบายๆว่า “ข้าไม่เคยต้องทุกข์ทรมาน ท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมปฏิบัติกับข้าเหมือนแก้วตาดวงใจ นอกจากนี้ พวกเขาไถ่ตัวเองจากการเป็นทาสมานานแล้ว แต่ลูกสาวของเจ้าต่างหากที่เอาแต่เรียกข้าว่าลูกทาส ข้าขอถามท่านผู้หญิงสักหน่อยเถิด ลูกสาวของท่านคิดว่าเอกสารราชการนั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือ”
นางหลินรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮูหยินใหญ่ก็รู้สึกโกรธทันที “เมื่อกี้ลูกของเจ้าพูดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ?”