ตอนที่ 401 จักจั่นขาว
ตอนที่ 401 จักจั่นขาว
“เสี่ยวหยูเขาคนนี้มาจากดาวเคราะห์ดวงเดียวกับเธอใช่ไหม?” นางฟ้าถามขึ้นมาเบา ๆ
เซียวรั่วหยูรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับโค้งคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นเธอก็กล่าวตอบคำถามขึ้นมาว่า
“เรียนท่านหญิงจักจั่นขาว เขาคนนี้ชื่อเซี่ยเฟย เมื่อก่อนเขากับฉันเคยเข้าร่วมการประเมินของสมาพันธ์จัสทิสพร้อมกัน และดาวบ้านเกิดของพวกเราก็เป็นดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลก”
เซียวรั่วหยูไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่เธอรู้จักกับเซี่ยเฟย แต่เธอระบุสถานะว่าเธอกับเขาเป็นเพียงแค่สหายที่เคยเข้าร่วมการประเมินด้วยกันเท่านั้น ซึ่งอันที่จริงหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไป เธอก็ไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาที่เซี่ยเฟยเคยรู้จักอีกแล้ว เพราะเธอเริ่มที่จะเรียนรู้เรื่องเล่ห์เหลี่ยมอยู่เล็กน้อย
“สิ่งที่เขาพูดกับแอวริลเมื่อกี้นี้น่าจะเป็นเรื่องความรักใช่ไหม ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าความรักคืออะไรแต่ฉันก็มักจะรู้สึกแปลก ๆ อยู่ในใจเสมอ ทำไมความรักถึงเป็นความรู้สึกที่อธิบายออกมาไม่ได้ แล้วความรักจำเป็นต้องประกาศให้ทุกคนรับรู้ด้วยเหรอ?” จักจั่นขาวขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
สาวใช้บริเวณโดยรอบรวมทั้งเซียวรั่วหยูต่างก็แอบมองหน้ากัน เพราะถ้าหากจักจั่นขาวไม่เข้าใจเรื่องความรักแล้วสาว ๆ คนไหนภายในนี้จะเข้าใจเรื่องความรักกันล่ะ?
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงตกอยู่ภายใต้ความเงียบ แล้วมันก็ไม่มีใครสามารถตอบคำถามของจักจั่นขาวได้
“ท่านหญิงพวกเราก็ไม่เข้าใจเรื่องความรักเหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าเซี่ยเฟยน่าจะรักผู้หญิงที่ชื่อแอวริลมาก” เซียวรั่วหยูพยายามตอบกลับไป
“การรักใครสักคนมันเป็นยังไงเหรอ? มันจำเป็นจะต้องฆ่าคนเป็นจำนวนมากเพื่อเขาคนนั้นด้วยรึไง?” จักจั่นขาวนั่งกอดเข่าและพึมพำออกมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ
เหล่าสาวใช้ที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างก็เงียบเสียงไปด้วยเช่นกัน ซึ่งอันที่จริงพวกเธอรู้สึกไม่เข้าใจมากยิ่งกว่าจักจั่นขาวเสียอีก ท้ายที่สุดบนยานอวกาศที่พวกเธออยู่ก็มีเพียงแต่ผู้หญิง มันจึงไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงเรื่องความรัก เพราะแม้แต่ผู้ชายก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเธอไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน
หลังจากพึมพำกับตัวเองอยู่สักพัก จักจั่นขาวก็เงยศีรษะราวกับว่าเธอนึกอะไรออกได้บางอย่าง
“ตามฉันมาเร็ว ๆ เข้า! ฉันคิดว่าเราน่าจะหาคำตอบในเรื่องนี้ได้” จักจั่นขาวกล่าวพร้อมกับลุกยืนขึ้น
หลังจากนั้นเธอก็เดินไปที่ประตูทันทีพร้อมกับสาว ๆ หลายสิบคนที่เดินตามเธอมาอย่างใกล้ชิด
ในความเป็นจริงสาวใช้ทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีใบหน้าที่งดงาม แต่เมื่อเทียบกับจักจั่นขาวแล้วความงามของพวกเธอกลับดูด้อยลงไป เพราะท้ายที่สุดความงามของจักจั่นขาวก็เป็นสิ่งที่เกินจะบรรยายออกมาได้ แล้วมันก็คงจะมีเพียงแต่คำว่านางฟ้านางสวรรค์ที่พอจะใกล้เคียงในการบรรยายความงามของเธอ
ในบรรดาสาวใช้ทั้งหมดมันก็มีเพียงแต่เซียวรั่วหยูคนเดียวที่พอจะมีความงามใกล้เคียงกับจักจั่นขาวบ้าง เพียงแต่จักจั่นขาวยังคงมีออร่าแบบนางฟ้าอันสง่างาม ในขณะที่เซียวรั่วหยูให้ความรู้สึกถึงความงดงามแบบน่ารัก ซึ่งมันเป็นความงดงามในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยคนหนึ่งมีความงามแบบนางพญา ขณะที่อีกคนมีความงามแบบสามัญชน
หลังจากเดินตามทางเดินมาได้ไม่นานพวกเธอก็ได้พบกับหญิงสาวในชุดสีดำยืนอยู่ไม่ไกล ซึ่งหญิงสาวเหล่านี้ดูมีอายุมากกว่าพวกเธออยู่เล็กน้อย แต่เมื่อพวกเธอได้เห็นจักจั่นขาวพวกเธอก็ยังจำเป็นจะต้องแสดงความเคารพออกมาอย่างสูง
หลังจากเลี้ยวตรงหัวมุมทางเดินพวกเธอก็ได้พบกับกลุ่มสาวใช้อีกกลุ่มหนึ่ง โดยกลุ่มสาวใช้กลุ่มนี้สวมเสื้อสีขาวแต่ใส่กระโปรงสีแดงสด ซึ่งแตกต่างจากพวกเธอเล็กน้อยที่สวมใส่ชุดขาวทั้งเสื้อและกระโปรง
ผู้นำของหญิงสาวกระโปรงแดงพวกนี้คือหญิงสาวในวัย 20 ต้น ๆ แต่เมื่อเทียบกับความสง่างามของจักจั่นขาวแล้ว ความงามของผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงดูด้อยกว่าจักจั่นขาวอยู่มาก
“ว่าไงน้องจักจั่นขาว?” สาวกระโปรงแดงเริ่มทักทาย
“สวัสดีค่ะพี่หงส์แดง” จักจั่นขาวทำความเคารพด้วยรอยยิ้ม
“น้องจักจั่นขาวมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
“วันนี้ฉันเห็นวิดีโอที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก แต่ฉันไม่รู้ว่าความรักคืออะไร? พี่หงส์พอจะตอบคำถามขจัดความสับสนให้น้องได้หรือเปล่า?” จักจั่นขาวพูดถามขึ้นมาตรง ๆ ซึ่งในความเป็นจริงชั่วชีวิตของเธอก็ไม่เคยเรียนรู้วิธีโกหกมาก่อนเลย
“รัก! น้องจักจั่นขาวเรื่องรักเป็นเรื่องต้องห้ามในสังคมของเรา ถ้าแม่รู้เรื่องนี้เข้าแม่จะต้องโกรธมากแน่ ๆ” หงส์แดงสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำถามของจักจั่นขาว
“ความรักเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่เหรอ? ทำไมแม่ต้องสั่งห้ามไม่ให้พูดเรื่องนี้ด้วย?” จักจั่นขาวถามขึ้นมาอย่างสงสัย
คำถามอันไร้เดียงสาจากน้องสาวทำให้หงส์แดงพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ซึ่งในสายตาของเธอความไร้เดียงสานี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเอ็นดูเลยแต่มันเป็นความโง่เขลาของคนไม่รู้ความมากกว่า
“จักจั่นขาวฟังคำแนะนำของพี่ให้ดี ๆ เรื่องทุกเรื่องไม่จำเป็นจะต้องมีเหตุผลเสมอไป คล้ายกับไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้ให้กำเนิดจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมา ไม่มีใครรู้ว่าจักรวาลกว้างใหญ่แค่ไหน ซึ่งไม่มีใครสามารถหาคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้ ดังนั้นข้อห้ามมันก็คือข้อห้ามและน้องก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดว่าทำไมมันถึงจะต้องมีข้อห้ามเรื่องนี้ขึ้นมา” หงส์แดงกล่าวอธิบาย
“แต่เรื่องความรักแตกต่างจากจักรวาล เพราะเรื่องหนึ่งคือเรื่องของอารมณ์ ขณะที่อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของวัตถุ แล้วเราจะเอาเรื่อง 2 เรื่องนี้มาเปรียบเทียบกันได้ยังไง?” จักจั่นขาวถามพร้อมกับเอียงศีรษะด้วยความสงสัย
“จักจั่นขาวฉันถามตรง ๆ ว่าเธออยากทำให้แม่โกรธไหม?” หงส์แดงกล่าวถาม เพราะความไร้เดียงสาและความดื้อรั้นของจักจั่นขาวถึงกับทำให้เธอพูดไม่ออกไปอยู่พักหนึ่ง
“ฉันไม่อยากทำให้ใครโกรธ” จักจั่นขาวกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ถ้าไม่อยากให้แม่โกรธเธอก็ไม่ควรถามเรื่องรักขึ้นมาอีก” หงส์แดงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
“ได้ค่ะ ฉันจะไม่พูดถึงมันอีก” จักจั่นขาวพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังแม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจทำแบบนั้นก็ตาม
“เอาล่ะฉันว่าเธอกลับไปพักผ่อนได้แล้ว แต่ฉันขอยืมเซียวรั่วหยูสัก 2-3 วันได้ไหม? ที่นี่ไม่มีสาว ๆ คนไหนน่ารักเหมือนเซียวรั่วหยูเลย”
เมื่อได้ยินคำถามเซียวรั่วหยูก็ก้มศีรษะลงพร้อมกับหัวใจดวงน้อย ๆ ที่เริ่มเต้นแรง เพราะเธอกลัวว่าจักจั่นขาวจะยอมปล่อยเธอไป
“เซียวรั่วหยูเป็นผู้มีพลังอเมทิสต์การ์ด และในอนาคตเธอจะต้องร่วมทีมกับฉัน ดังนั้นถ้าหากว่าไม่มีอุบัติเหตุร้ายแรงอะไรเธอจะต้องคอยอยู่เคียงข้างฉันไปตลอดชีวิต” จักจั่นขาวกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
เซียวรั่วหยูมองไปทางจักจั่นขาวอย่างซาบซึ้ง และเธอก็รู้สึกเหมือนกับได้ยกภูเขาออกไปจากหน้าอก
หลังจากนั้นจักจั่นขาวก็เดินออกมาจากห้องของหงส์แดงตามทางเดิม เพื่อกลับไปอยู่ในห้องที่อยู่ภายใต้การปกครองของเธอ
—
ทูดี้พา 3 ใน 7 นักรบศักดิ์สิทธิ์ไปยังพื้นที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว โดยเขาพยายามติดตามร่องรอยของเซี่ยเฟยโดยการสังเกตสัญญาณอันแปลกประหลาดบนเรดาร์ตลอดเวลา
หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไป 10 วัน ทูดี้ก็นำกองกำลังไปดักรอพื้นที่ที่คิดว่าเซี่ยเฟยเพิ่งปรากฏตัวขึ้นมา เพราะมันยังไม่พบความผันผวนของพลังงานในพื้นที่บริเวณอื่น ซึ่งมันก็หมายความว่าเซี่ยเฟยน่าจะยังคงอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะพยายามค้นหาพื้นที่ทั่วทั้งบริเวณ แต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะหาตำแหน่งยานอวกาศของเซี่ยเฟยได้
สถานการณ์ในปัจจุบันคือมนุษย์กำลังลุกฮือขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งหลังจากได้รับชมวิดีโอการต่อสู้ของเซี่ยเฟย และถึงแม้ว่าอูดี้จะได้ส่ง 3 ใน 7 นักรบศักดิ์สิทธิ์มาจัดการกับเซี่ยเฟยแล้ว แต่ชายหนุ่มก็หายตัวไปโดยไม่มีร่องรอยให้ติดตาม
พวกทูดี้ใช้เวลาบินรอบ ๆ พื้นที่บริเวณนี้เป็นเวลากว่า 10 วันเหมือนคนโง่ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามออกตามหาด้วยวิธีไหนก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาตำแหน่งของนักรบมนุษย์ในดินแดนของพวกเขาได้เลย
ปัจจุบันทูดี้กำลังนั่งอยู่ในห้องบัญชาการอย่างเบื่อหน่ายขณะมองไปยังจักรวาลพร้อมกับเอามือกุมศีรษะ ส่วนทางด้าน 3 นักรบศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังฝึกซ้อมอยู่ในห้องของตัวเอง และถึงแม้ว่าทูดี้จะเป็นผู้นำสมาพันธ์นักรบศักดิ์สิทธิ์ แต่ 7 นักรบศักดิ์สิทธิ์เป็นสมาชิกของเต็นท์ทองคำโดยตรง มันจึงทำให้ทูดี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะออกคำสั่งให้พวกเขาทำการเคลื่อนไหวได้
ในขณะเดียวกันพวก 12 ตะไลที่เชื่อฟังคำสั่งมากกว่าก็กำลังเล่นหมากรุกโบราณของมนุษย์ ซึ่งมันเป็นหนึ่งในเกมกระดานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมาเป็นเวลาหลายพันปี
“โอ้ย ๆ ๆ ๆ ไอ้มนุษย์นั่นมันไปมุดหัวซ่อนอยู่ที่ไหนวะ!” ทูดี้ทุบโต๊ะอย่างหงุดหงิดหลังจากที่เขาไม่สามารถคิดหาวิธีจับกุมเซี่ยเฟยได้เสียที
ตูม!
ชิ้นส่วนโต๊ะหลายชิ้นที่ถูกทำลายกระเด็นไปเสียบเข้าใส่ศีรษะของทหารเซิร์กเคราะห์ร้ายที่นั่งอยู่ภายในห้อง และชิ้นส่วนหลาย ๆ ชิ้นก็ทะลุเข้าไปในระบบเรดาร์โดยตรงจนทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร
ทันใดนั้นระบบดับเพลิงอัตโนมัติก็เริ่มทำงานทำให้มีละอองน้ำเย็นตกลงมาราวกับฝนตกหนัก ทุกคนภายในห้องบัญชาการจึงทำได้เพียงแต่จ้องมองหน้ากันและกันด้วยเนื้อตัวที่เปียกโชก และพวกเขาก็กำลังสงสัยว่าคนหงุดหงิดจำเป็นจะต้องทำให้ทุกคนได้รับผลกระทบแบบนี้ด้วยเหรอ?
***************