ตอนที่ 400 ยานมรกต
ตอนที่ 400 ยานมรกต
ระบบเรดาร์แบล็คแบทบนเบโอเนทได้รับความเสียหายทำให้เขาสามารถใช้ช่องทางสาธารณะในการส่งข้อมูลกลับไปยังพันธมิตรได้เท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่เขาส่งจะมีคนเป็นจำนวนมากได้เข้ามาเห็น เพราะเขารู้สึกว่าหากทางกรมทหารได้รับข้อมูลพวกนี้ มันก็อาจจะเป็นประโยชน์ต่อสงครามบ้างไม่มากก็น้อย
ท้ายที่สุดเขาก็ติดอยู่ในดินแดนเซิร์กเพียงลำพัง และสิ่งที่เขากำลังทำก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำให้พันธมิตรในตอนนี้ได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้นั่นก็คือข้อมูลและคำพูดธรรมดา ๆ ของเขาได้ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เพราะการพยายามยืนหยัดเพียงลำพังในดินแดนของศัตรูเป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาให้ผู้คนปรารถนาที่จะได้รับอิสรภาพกลับมาโดยเร็วที่สุด
แรงบันดาลใจจากเซี่ยเฟยได้กระตุ้นให้ผู้คนตัดสินใจที่จะต่อสู้กับเซิร์กจนตายกันไปข้างหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต่างไปจากการปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของมนุษย์ออกมา
มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความเฉลียวฉลาดสูงกว่าค่าเฉลี่ยของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาในจักรวาล ซึ่งโดยปกติมนุษย์จะหวาดกลัวความตาย แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับพวกเขาในระหว่างที่ความตายใกล้เข้ามามันกลับกลายเป็นความสิ้นหวัง
สภาวะสงครามทำให้ผู้คนเป็นจำนวนมากต้องอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ และคอยระแวดระวังทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลา มันจึงทำให้คนหลาย ๆ คนเริ่มคิดที่จะยอมตายดีกว่าตกเป็นทาสของเซิร์ก เพราะการมีชีวิตแบบนั้นก็เป็นเพียงแค่การใช้ชีวิตตามคำสั่งและถูกขังอยู่ในห้องใต้ดิน
การกระทำของเซี่ยเฟยทำให้ผู้คนตระหนักว่าเผ่าพันธุ์เซิร์กไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถกำจัดได้ และตราบใดก็ตามที่พวกเขาสามารถหาวิธีการจู่โจมที่เหมาะสม พวกเขาก็อาจจะมีโอกาสเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้เช่นกัน
สถานการณ์นี้ยิ่งเด่นชัดมากสำหรับเหล่านักสู้ระดับสูง เพราะท้ายที่สุดเมื่อมันเป็นการต่อสู้บนยานรบ ไม่ว่าพวกเขาจะมีพลังมากแค่ไหนแต่พลังของพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะแสดงบทบาทออกมาในสงครามครั้งนี้ได้เลย
แต่สถานการณ์มันก็คงจะแตกต่างออกไปถ้าหากพวกเขาแอบเข้าไปในดินแดนของศัตรู และตราบใดก็ตามที่พวกเขาได้เริ่มต่อสู้พลังของพวกเขาก็จะสามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้มากกว่าการที่พวกเขาได้สู้รบผ่านยานอวกาศ
ในไม่ช้าสมาพันธ์จัสทิส, สมาพันธ์เฮอร์มิทและแม้แต่สมาพันธ์ฟราเทอนิตี้ผู้ลึกลับก็ได้ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มนักสู้ชั้นยอด เพื่อเข้าไปปฏิบัติการลับในพื้นที่ที่ถูกพวกเซิร์กเข้ายึดครอง โดยนักสู้กลุ่มนี้มีภารกิจในการพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพที่ติดค้างอยู่บนดาว
การตัดสินใจของสมาพันธ์นักสู้อิสระได้รับการสนับสนุนจากกรมทหารและผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์รายใหญ่อย่างมาก พวกเขาจึงทำการสนับสนุนโดยการแจกจ่ายยานรบและระบบล่องหนออกไปทั้งหมดโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่เหรียญเดียว
แม้ว่าเทคโนโลยีระบบล่องหนของพันธมิตรในปัจจุบันจะมีระดับไม่สูงมากนัก และพันธมิตรได้ควบคุมการใช้งานระบบล่องหนอย่างเข้มงวด แต่เนื่องมาจากสถานการณ์ในปัจจุบันมันจึงทำให้พันธมิตรจำเป็นจะต้องคลายข้อกำหนดทั้งหมดที่เคยจำกัดเอาไว้ ซึ่งอันที่จริงถ้าหากว่ายานรบทุกลำได้ติดตั้งระบบล่องหน มันก็จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับมนุษย์มากยิ่งขึ้น
เหล่านักสู้ชั้นยอดได้ก่อตั้งทีมเล็ก ๆ ประมาณ 3-5 คนขับยานรบที่ติดตั้งระบบล่องหนขึ้นไปบนจักรวาล โดยมีจุดมุ่งหมายคือดาวเคราะห์ที่อยู่ภายใต้การรุกรานของพวกเซิร์ก ซึ่งการที่พวกเขาแยกกันปฎิบัติหน้าที่มันก็ทำให้พวกเขามีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันหลังจากครอบครองพื้นที่ดวงดาวบางส่วนได้แล้ว พวกเซิร์กก็มักที่จะนำยานรบลงจอดบนดาวเคราะห์เพื่อปล้น, ค้นหาสินทรัพย์และจับทาสมาใช้งาน เพราะท้ายที่สุดนี่ก็เป็นวิธีก่อสงครามตั้งแต่สมัยโบราณที่จำเป็นจะต้องปล้นศัตรูเพื่อลดภาระให้กับตัวเอง
นอกจากนี้การเดินทัพโดยใช้ทหารเป็นจำนวนมากก็จำเป็นจะต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน และไม่ว่าเซิร์กจะเตรียมการมาดีแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็จำเป็นจะต้องใช้ทรัพยากรของศัตรูมาเลี้ยงดูกองทัพของตัวเอง
แน่นอนว่ามนุษย์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเซิร์กมาก ทรัพยากรที่พวกเซิร์กปล้นได้จึงถูกส่งกลับไปยังดินแดนของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง แล้วถ้าหากว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนทรัพยากรพวกนี้ให้กลายเป็นความมั่งคั่ง พวกเขาก็จะมียานรบและรับสมัครทหารได้มากขึ้นกว่าเดิม และในเวลานั้นพวกเขาก็จะมีกองกำลังขนาดใหญ่เอาไว้ใช้ในการรุกรานเผ่าพันธุ์อื่นต่อ ๆ ไป
ปัจจุบันเซิร์กมีระดับสติปัญญาสูงกว่าในอดีตมาก เพราะย้อนกลับไปในสงครามครั้งก่อนพวกเขาจะทำการสังหารผู้คนในท้องถิ่นทั้งหมด และแม้กระทั่งใช้ยานรบขนาดใหญ่เพื่อทำลายดาวเคราะห์ดวงนั้นลง
แต่ในตอนนี้เซิร์กได้เปลี่ยนกลยุทธ์เป็นการปล้นทรัพยากรจากศัตรูเพื่อนำมาสนับสนุนในการทำสงคราม ซึ่งทรัพยากรที่พวกเขาได้รับกลับมานั้นไม่เพียงแต่จะพอใช้ภายในกองทัพเท่านั้น แต่มันยังมีส่วนเกินเอาไว้ใช้ในเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย
ความปรารถนาในใจของอูดี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ดินแดนของมนุษย์ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขามีความพร้อมพวกเขาก็จะเริ่มรุกรานไปยังดินแดนของเผ่านาวี, เผ่ายอนและเผ่าพันธุ์อื่นที่อยู่ห่างไกล จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มขยายอาณาเขตดินแดนของตัวเองออกไปอย่างช้า ๆ จนวันหนึ่งเผ่าพันธุ์เซิร์กก็จะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีดินแดนอันกว้างใหญ่ และเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล
แต่วันนี้แผนการรบของมนุษย์ได้ชะลอแผนการของเซิร์กลงเป็นอย่างมาก เพราะกองทัพมนุษย์พยายามล่าถอยตลอดทาง รวมทั้งพยายามกระจายกองกำลังออกไปจู่โจมเซิร์กบนดาวเคราะห์ที่พวกเขากำลังปล้น ทำให้พวกเขาไม่สามารถเอาชนะอย่างเด็ดขาดได้เสียที
การพยายามยึดครองดินแดนของศัตรูถือเป็นเรื่องง่าย แต่การพยายามเข้าครอบครองไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายมากขนาดนั้น ท้ายที่สุดถ้าหากศัตรูไม่ถูกกำจัดอย่างเด็ดขาด มันก็มีโอกาสที่ศัตรูจะเข้ามาจู่โจมได้ทุกเมื่อ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่สามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาดคือการทำลายดาวเคราะห์พวกนั้นลง แต่การพยายามทำลายดาวเคราะห์ลงมันก็ไม่ต่างไปจากการทำลายตัวเองในทางอ้อมด้วยเช่นกัน
เพราะท้ายที่สุดหากว่าดาวเคราะห์เป็นจำนวนมากถูกทำลายลง มันจะเหลือพื้นที่เอาไว้รองรับจำนวนประชากรของเซิร์กที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างไร
นับตั้งแต่การกลายพันธุ์ที่ผ่านมาประชากรของเซิร์กได้เพิ่มจำนวนขึ้นจากเดิมอย่างรวดเร็ว ซึ่งเซิร์กเพศหญิง 1 คนสามารถมีลูกได้หลายร้อยคนในช่วงชีวิตของเธอ และเด็กเกิดใหม่ก็ใช้เวลาเติบโตเพียงแค่ 1-2 ปีเพื่อกลายมาเป็นนักสู้หรือคนงานของเผ่าพันธุ์
ตอนนี้ดินแดนเซิร์กในปัจจุบันแทบที่จะไม่สามารถรองรับจำนวนประชากรที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้แล้ว มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอูดี้จึงตัดสินใจเริ่มจู่โจมดินแดนของมนุษย์แบบนี้
แต่ในตอนนี้นักสู้ชั้นยอดของมนุษย์กำลังรอพวกเขาอยู่บนดาวเคราะห์ที่ถูกยึดครอง และเมื่อไหร่ที่ยานรบของเซิร์กลงจอดเพื่อปล้นมนุษย์ก็จะเริ่มจู่โจมทหารเซิร์กอย่างรวดเร็ว ซึ่งการลงมือจู่โจมในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการสังหารทหารของเซิร์กเท่านั้น แต่พวกมนุษย์ยังทำลายยานรบของพวกเขาด้วย
วิธีการเดียวที่จะหยุดทีมขนาดเล็กของมนุษย์ได้คือ การลงทุนระดมกองกำลังเป็นจำนวนมากกวาดล้างนักสู้บนดาวเคราะห์ทั้งดวงในคราวเดียว เพราะท้ายที่สุดจำนวนยอดนักสู้ของมนุษย์ก็มีอยู่อย่างจำกัด และมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะจัดการกับกองทัพเซิร์กได้ด้วยกำลังเพียงแค่น้อยนิด
อย่างไรก็ตามทีมย่อยของมนุษย์ก็กระจายตัวกันอยู่บนดาวเคราะห์หลายพันดวง ซึ่งการพยายามกวาดล้างทีมมนุษย์บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งก็จำเป็นจะต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมากและต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน มันจึงทำให้แผนการของเซิร์กในการเข้าครอบครองดินแดนมนุษย์เชื่องช้าลงกว่าที่ควรจะเป็น
ในที่สุดนักสู้ในพันธมิตรก็เริ่มได้แสดงศักยภาพอย่างที่ควรจะเป็น และมันก็ทำให้สถานการณ์ของมนุษย์ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างทันตาเห็น เพราะถ้าหากปราศจากการลงมือของนักสู้เหล่านี้พันธมิตรก็คงจะไม่สามารถยืดระยะสงครามออกมาได้เป็นเวลานาน แต่ถึงแม้ว่า 3 สมาพันธ์นักสู้รายใหญ่จะพยายามอย่างดีที่สุด แต่พันธมิตรมนุษย์ก็ยังคงสูญเสียดินแดนไปแล้วมากกว่า 1 ใน 3 ของดินแดนเดิมอยู่ดี
—
หลังจากที่เซี่ยเฟยได้รายงานสถานการณ์กลับไปยังพันธมิตร ในมุมที่ไม่รู้จักมุมหนึ่งในจักรวาลมันก็กำลังมีหญิงสาวเป็นจำนวนมากรวมกลุ่มกันเพื่อดูวิดีโอนี้
พื้นที่ที่พวกเธออาศัยอยู่คืออาคารครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นจากกระจกใสทั้งหมด หากมองออกไปด้านนอกจะเห็นน้ำทะเลสีฟ้าไม่มีที่สิ้นสุด รวมทั้งฝูงสัตว์น้ำที่กำลังกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขในท้องทะเลอันกว้างใหญ่
อย่างไรก็ตามหากใครได้ลองพิจารณาภาพพวกนี้อย่างใกล้ชิด พวกเขาก็จะพบว่าพวกมันเป็นเพียงภาพจำลองที่ถูกฉายออกมาบนหน้าจอขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เพราะสถานที่ที่พวกเธออยู่ไม่ใช่ชายหาดที่มีพระอาทิตย์ส่อง แต่พวกเธออยู่ในยานอวกาศที่กำลังท่องอยู่ในท้องทะเลที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ยานลำนี้คือยานบัญชาการติดอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของมนุษยชาติ แต่มันไม่ได้เป็นยานที่ถูกผลิตขึ้นจากบริษัทบิ๊กโฟร์ ทำให้มันไม่มีทั้งหมายเลขเครื่อง, หมายเลขรุ่นและปราศจากการลงทะเบียนในพันธมิตร ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะเป็นยานอวกาศของมนุษย์แต่มันก็ไม่ใช่ยานอวกาศของพันธมิตร
ตัวยานมีลักษณะเป็นสีเขียวมรกตใสเหมือนยานแก้วขนาดใหญ่ที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาล ซึ่งมันเป็นการออกแบบยานที่หาไม่ได้ในพันธมิตรอย่างแน่นอน
เพียงแค่การมีอยู่ของยานบัญชาการที่ไม่ถูกผลิตในบริษัทบิ๊กโฟร์ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนตกตะลึง แต่รูปร่างอันสง่างามและสีสันอันสดใสของยานลำนี้ก็ทำให้แม้แต่นักออกแบบยานรบที่ดีที่สุดก็ยังต้องอ้าปากค้างขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะไม่ว่าจะมองยังไงยานลำนี้มันก็เป็นเหมือนงานศิลปะขนาดใหญ่มากกว่าที่มันจะถูกเรียกว่ายานบัญชาการติดอาวุธหนัก
บนเก้าอี้ตัวใหญ่เพียงตัวเดียวภายในห้องมีสาวงามคนหนึ่งนั่งอยู่อย่างสง่างาม ซึ่งถ้าหากจะให้คำนิยามของหญิงสาวรายนี้ก็คงจะเหมาะสมกว่าที่จะเรียกเธอว่า นางฟ้าที่ตกลงมาอยู่ในดินแดนของมนุษย์
อย่างไรก็ตามถ้าหากว่าเซี่ยเฟยได้มาเห็นผู้หญิงคนนี้ เขาก็คงจะรีบลงมือสังหารเธออย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าเธอจะสวยแค่ไหนแต่เธอคือคนที่พรากเซียวรั่วหยูไปจากเขา
ย้อนกลับไปในตอนที่เขาถูกจับขังเอาไว้ในสังเวียนเลือด ตอนนั้นเซียวรั่วหยูแสดงความเคารพต่อหญิงสาวคนนี้มากราวกับว่าเธอเป็นสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติดูแลนางฟ้าคนนี้เป็นอย่างดี เซี่ยเฟยจึงสามารถคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็นคนลักพาตัวเซียวรั่วหยูไป และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนลงมือแต่เธอก็จะต้องเป็นคนออกคำสั่งอย่างแน่นอน
เพียงแค่เหตุผลนี้ก็เพียงพอแล้วที่เซี่ยเฟยจะฆ่าใครสักคน และถึงแม้ว่ามันจะมีผู้ชายมากมายไม่สามารถสังหารสาวสวยเช่นนี้ได้ แต่เซี่ยเฟยย่อมไม่ใช่หนึ่งในนั้น
ในสายตาของเซี่ยเฟยมีคนอยู่เพียงแค่ 3 ประเภท หนึ่งคือมิตร, สองคือคนแปลกหน้าและสามคือศัตรู
ซึ่งคติประจำใจของเขาคือการยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องมิตรของตัวเองเอาไว้ แล้วเขาจะไม่สนใจความคิดเห็นของคนแปลกหน้า แต่ถ้าหากว่าเขาเจอศัตรูเขาจะทำการล่าสังหารศัตรูทุกคนให้หมด โดยไม่สนว่าศัตรูคนนั้นจะเป็นใคร, มีต้นกำเนิดมาจากไหนหรือมีหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจของเขาทั้งนั้น
ขณะเดียวกันนางฟ้าคนนี้ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ ในระหว่างที่เธอเห็นฉากเซี่ยเฟยสังหารเซิร์กเป็นจำนวนมาก แต่ในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังบอกรักแอวริลมันกลับทำให้เธอขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ด้านข้างนางฟ้าคนนี้มีเด็กสาวผู้สวมชุดกระโปรงสีขาวถือโหลคริสตัลใสอยู่ในมือ โดยภายในโหลมีใบไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถส่งกลิ่นหอมอบอวลออกมาตลอดเวลา และแน่นอนว่าเธอคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากเซียวรั่วหยู
ย้อนกลับไปในตอนที่เซี่ยเฟยพบกับเซียวรั่วหยูครั้งแรก ตอนนั้นเธอเป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่กำลังเติบโต แต่ในตอนนี้เธอได้เติบโตขึ้นมากลายเป็นหญิงสาวที่ผอมบาง และบางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าเธอได้รับอิทธิพลจากนางฟ้าที่เธอคอยปรนนิบัติอยู่เคียงข้าง มันจึงทำให้เธอเติบโตขึ้นมากลายเป็นสาวงามคนหนึ่ง
เมื่อได้ดูวิดีโอการต่อสู้ของเซี่ยเฟยในดินแดนเซิร์กใบหน้าของเซียวรั่วหยูก็ซีดลงไปชั่วขณะ และทำให้โหลคริสตัลภายในมือของเธอเริ่มสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง ซึ่งเธอก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการจับขวดโหลคริสตัลขวดนั้นไว้เพื่อไม่ให้มันตกลงไปกระแทกกับพื้น
เมื่อภาพได้ดำเนินไปจนถึงฉากที่เซี่ยเฟยสารภาพรักกับแอวริล เซียวรั่วหยูก็รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นมานี้คืออะไร เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนเลย
“เสี่ยวหยูเขาคนนี้มาจากดาวเคราะห์ดวงเดียวกับเธอใช่ไหม?” นางฟ้าถามขึ้นมาเบา ๆ
***************