ตอนที่ 72 สมาคมนักหลอมโอสถ
ตั้งแต่เฉินเฟยไปคุยกับลั่วจวิ้นในคืนนั้น หลายวันที่ผ่านมาเฉินเฟยก็ไม่เจอลั่วจวิ้นอีกเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลั่วจวิ้นรู้ว่าตัวเองทำผิดหรือเปล่าจึงไม่กล้าออกมาพบปะผู้คน
หลายวันนี้เฉินเฟยฝึกพลังเข้าใจต้นกำเนิดขั้นหนึ่งและไปถามกัวหลินซานเป็นครั้งคราว
ในทุกครั้งเฉินเฟยจะถามจุดสำคัญของพลังเข้าใจต้นกำเนิด จุดสำคัญแบบนี้หากไม่ได้ฝึกฝนอย่างลึกซึ้งจะไม่สามารถเข้าใจได้
ดังนั้นกัวหลินซานจึงตอบด้วยความเพลิดเพลินทุกครั้งราวกับเป็นนักแก้ปัญหา หากทดสอบเขาด้วยคำถามง่ายจะเป็นการดูถูกเขา แต่ถ้าใช้คำถามขั้นสูงและเขารู้จะเป็นสิ่งที่พอดี
ไม่เพียงแต่แสดงความสามารถให้ผู้อื่นเห็น แต่ยังทำให้ความรู้สึกประสบความสำเร็จในการสอนและใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
แม้เฉินเฟยจะวิ่งไปหากัวหลินซาน กัวหลินก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเฉินเฟย นอกจากนี้กัวหลินซานยังชื่นชมความเข้าใจของเฉินเฟย แต่ในเวลาเดียวก็สงสารฐานกระดูกของเขา
เช่นเดียวกับเฟิงซิวผู่ที่เห็นว่าความเข้าใจของเฉินเฟยไม่ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะทดสอบฐานกระดูกของเฉินเฟย กัวหลินซานอยากรู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่ครั้งนี้เขาไม่ต้องทดสอบเพราะเฉินเฟยบอกด้วยตัวเอง
“ศิษย์น้องเฉิน หากเจ้ามีฐานกระดูกเหมือนลั่วจวิ้น เจ้าคงอยู่ในระดับขัดเกลาไขกระดูกหรือแม้แต่เหนือกว่าข้า”
หลังตอบคำถามของวันนี้ กัวหลินซานมองเฉินเฟยแล้วพูดอย่างเสียใจ
“ไม่ใช่ว่าหลังฝึกพลังเข้าใจต้นกำเนิดแล้วจะฝึกฝนได้เร็วขึ้นหรือ?” เฉินเฟยยิ้ม
“ใช่ แต่ยิ่งพลังเข้าใจต้นกำเนิดก้าวหน้า การฝึกมันจะยิ่งยากขึ้นโดยเฉพาะขั้นห้า”
กัวหลินซานพูดเสียงต่ำ เมื่อเขาฝึกพลังเข้าใจต้นกำเนิดถึงขั้นห้า เขาก็มาถึงระดับขัดเกลาอวัยวะภายในและมีโอกาสชิงตำแหน่งศิษย์แท้จริง
ในเวลานั้นจะเป็นการสืบทอดมรดกสำนักกระบี่เริ่มดวงดาวอย่างแท้จริง
สำนักกระบี่เริ่มดวงดาวไม่ดีเท่าสำนักกระบี่เซียนเมฆา ไม่ว่าจะเป็นมรดกสูงสุดหรือพลังต่อสู้สูงสุด แต่ไม่อาจพูดได้ว่าสำนักกระบี่เริ่มดวงดาวอ่อนแอ พูดได้เพียงสำนักกระบี่เซียนเมฆาทรงพลังเกินไป
“อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายวันก่อนศิษย์พี่กัวพูดว่าเราจะได้รับภารกิจ ภารกิจนี้คืออะไร?” เฉินเฟยไม่ได้เจาะลึกเรื่องนี้
“อ่อ ภารกิจนั่นไม่ใช่งานยากอะไร เพียงแค่สำนักกระบี่เซียนเมฆาต้องการสมุนไพรบางอย่างที่จำเป็นต่อการหลอมโอสถ ดังนั้นพวกเราหลายสำนักนิกายจึงต้องรวบรวมพวกมันแล้วส่งมอบให้”
กัวหลินซานดึงอารมณ์กลับมาและพูดด้วยรอยยิ้ม
“สำนักกระบี่เซียนเมฆาต้องการสมุนไพร พวกเราจึงต้องไปรวบรวมมัน?” เฉินเฟยถามอย่างแปลกๆ
“ใช่” กัวหลินซานพยักหน้าตามหลักสูตรและพูด “ตั้งแต่ข้าเข้าสำนักมา หากมีสิ่งใดที่สำนักกระบี่เซียนเมฆาต้องการทำ พวกเราต้องไปทำมัน”
หางตาเฉินเฟยกระตุกเล็กน้อย กลับกลายเป็นว่าสิ่งนี้มีมานานแล้ว แต่เมื่อพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของสำนักกระบี่เซียนเมฆา พวกเขาย่อมสามารถเข้าถึงทรัพยากรโดยรอบทั้งหมดของเมืองเซียนเมฆา
การปล่อยให้สำนักนิกายต่างๆเช่นสำนักกระบี่เริ่มดวงดาวดำรงอยู่ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ในการส่งคำสั่งให้ไปทำหรือ?
“ยังดีที่ไม่ต้องมอบโอสถให้โดยตรง” เฉินเฟยพูดด้วยเสียงต่ำ เมืองเซียนเมฆาอยู่ติดกับภูเขาซึ่งมีสมุนไพรมากมาย การคัดเลทอกรวบรวมพวกมันจึงไม่ใช่เรื่องยาก
“สำนักกระบี่เซียนเมฆากังวลเรื่องระดับหลอมโอสถของเรา ดังนั้นจึงต้องการเพียงสมุนไพร”
กัวหลินซานส่ายหัวและพูด เฉินเฟยกระพริบตาปริบ เยี่ยมจริงๆ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการเอาเปรียบอย่างโหดเหี้ยมมากกว่านี้ แต่เพียงไม่พอใจความสามารถของคนอื่น
ข้าไม่ชอบมาตรฐานต่ำๆของเจ้า ดังนั้นขอเพียงวัสดุแล้วนำไปจัดการเอง
จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด!
“ศิษย์พี่กัว ข้ามีปัญหาอยู่เสมอจึงต้องการหาวิธีแก้ไข”
ตั้งแต่พูดถึงโอสถเฉินเฟยก็คิดเรื่องนี้และตัดสินใจถามเรื่องการขายโอสถ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเฉินเฟยได้เรียนรู้นิสัยกัวหลินซาน
เขาเป็นคนตรงตรงไปตรงมาอย่างมาก
“อะไรหรือ?” กัวหลินซานเงยหน้าขึ้นถาม
“ข้ารู้วิธีหลอมโอสถและฝากขายในเมืองเซียนเมฆา หากสิ่งต่างๆเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่รู้ว่าจะมีคนอิจฉาและมาสร้างปัญหาหรือไม่” เฉินเฟยพูดเสียงต่ำ
“ศิษย์น้องเล็กหลอมโอสถได้ด้วย?”
กัวหลินซานเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงความเข้าใจที่เฉินเฟยแสดงให้เห็น การที่เขาจะหลอมโอสถได้จึงไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับไม่ได้
นักหลอมโอสถไม่ได้หากยาก สำนักกระบี่เซียนเมฆามีนักหลอมโอสถมากมาย ศิษย์ภายในบางคนยังฝึกหลอมโอสถเป็นด้วย
การฝึกยุทธ์เป็นเพียงการทดสอบความสามารถ การหลอมโอสถเป็นเช่นเดียวกัน ศิษย์นอกส่วนใหญ่ล้วนมีทักษะหลอมโอสถระดับต่ำ
“ข้าหลอมโอสถจิตเบาได้” เฉินเฟยพยักหน้า
“ศิษย์น้องเล็กหลอมโอสถจิตเบาได้ ความสามารถนี้ค่อนข้างเหมาะสม” ครั้งนี้กัวหลินซานรู้สึกประหลาดใจ สำหรับการศึกษาในเวลานอก ความสามารถระดับนี้ถือว่าน่าทึ่งมาก
กัวหลินซานคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูด “อันที่จริง การขายโอสถในเมืองเซียนเมฆาไม่เป็นอันตราย อย่างไรแล้วที่นี่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของสำนักกระบี่เซียนเมฆา แน่นอนว่าหากศิษย์น้องเล็กกังวลใจก็ยังมีวิธีที่ปลอดภัยกว่า”
“วิธีอะไรหรือ?” เฉินเฟยนั่งตัวตรง
“เข้าร่วมสมาคมนักหลอมโอสถ มันเป็นสถานที่รวบรวมนักหลอมโอสถโดยเฉพาะ”
กัวหลินซานจิบชาบนโต๊ะและพูดต่อ “สมาคมนักหลอมโอสถก่อตั้งขึ้นโดยนักหลอมโอสถ บุคคลนั้นรู้สึกว่านักหลอมโอสถทั่วไปมักโดนกดขี่ ดังนั้นเขาจึงก่อตั้งกลุ่มสนับสนุนขึ้น ผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยปี กลุ่มช่วยเหลือได้กลายเป็นสมาคมนักหลอมโอสถในเวลานี้”
ดวงตาเฉินเฟยเป็นประกาย การรวบรวมข้อมูลก่อนหน้านี้เขาให้ความสนใจกับข้อมูลสำนักนิกายแต่เพิกเฉยต่อสถานการณ์นี้โดยสิ้นเชิง
ท้ายที่สุดแล้วไม่มีสมาคมแบบนี้หรือแม้แต่สมาคมที่คล้ายกันในเมืองอื่น แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือพวกเขาเพิกเฉยต่อสิ่งนี้ซึ่งเป็นอิทธิพลทางความคิดอย่างหนึ่ง
แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะรู้ตอนนี้
“หลังเข้าร่วมข้าจะได้รับการคุ้มครองจากสมาคมหรือไม่?” เฉินเฟยถาม
“แน่นอน ไม่เช่นนั้นสมาคมนี้จะมีประโยชน์อะไร ไม่เพียงแต่เป็นที่พักพิงแต่ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักหลอมโอสถในการแลกเปลี่ยนและพัฒนาตน เจ้าสมาคมนักหลอมโอสถคนปัจจุบันคือเว่ยซิงซาน ผู้นำสูงสุดของยอดโอสถแห่งสำนักกระบี่เซียนเมฆา” กัวหลินซานนึกขึ้นแล้วพูดออกมา
สีหน้าเฉินเฟยเปลี่ยนเล็กน้อย ภูมิหลังของเจ้าสมาคมนั้นทรงพลัง ส่วนสาเหตุที่เจ้าสมาคมนักหลอมโอสถเป็นสมาชิกของสำนักนิกายแทบเป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“อย่าตื่นเต้น การเข้าร่วมสมาคมนักหลอมโอสถมีข้อกำหนดเช่นกัน” เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของเฉินเฟย กัวหลินซานจึงอดยิ้มไม่ได้
“คงไม่ใช่อายุหรอกนะ?”
“นักหลอมโอสถจำกัดอายุที่ไหน” กัวหลินซานยิ้มจนตาหยี “ได้ยินมาว่าจะเข้าร่วมได้ต่อเมื่อหลอมโอสถได้ถึงระดับหนึ่ง ในสำนักเรามีหลายคนที่เข้าร่วมไม่ได้”
เฉินเฟยพยักหน้าเล็กน้อย หลังคุยกับกัวหลินซานอีกสักพักเฉินเฟยก็กล่าวลาและจากไป
เฉินเยฟทำความสะอาดชั่วขณะและออกจากสำนักกลับไปพบฉือเต๋อเฟิงในเมืองเซียนเมฆา ทั้งสองใช้เวลาครู่หนึ่งและพบว่าสมาคมนักหลอมโอสถอยู่ที่ใด
“หากเข้าร่วมสมาคมนักหลอมโอสถได้ เราจะไม่ต้องกังวลเรื่องการขายโอสถอีก” ฉือเต๋อเฟิงพูดเสียงต่ำ มองสมาคมที่ตั้งอยู่ในระยะไกลซึ่งมีผู้คนเข้าออกไม่ขาดสาย
ฉือเต๋อเฟิงรู้ว่าเฉิงเฟยหลอมโอสถเหนือสามัญได้ และราคาโอสถเหนือสามัญสูงกว่าโอสถจิตเบามาก ด้วยขนาดของเมืองเซียนเมฆา เฉินเฟยสามารถขายโอสถเหนือสามัญได้มากตามที่เขาหลอม
นั่นเป็นเงินจำนวนมหาศาล! เมื่อก่อนเขาไม่กล้าทำเงิน แต่ตอนนี้มีโอกาสแล้ว
“หยุด ผู้ที่ไม่ใช่นักหลอมโอสถห้ามเข้า!” เมื่อมาถึงประตู ผู้คุ้มกันหยุดเฉินเฟยทั้งสอง
“ข้าเป็นนักหลอมโอสถ ข้าต้องการเข้าร่วมสมาคมนักหลอมโอสถ” เฉินเฟยกุมมือ
ผู้คุมกันชำเลืองมองเฉินเฟยและพูด “หากต้องการเข้าร่วมสมาคมนักหลอมโอสถเจ้าต้องผ่านการทดสอบก่อน เจ้าทั้งคู่เป็นนักหลอมโอสถหรือไม่?”
“ไม่ใช่ ข้ามาเป็นเพื่อนเขา” ฉือเต๋อเฟิงพูดอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นเข้าไปด้านในไม่ได้ รออยู่ด้านนอกก่อน หากชายคนนี้ผ่านการทดสอบถึงพาคนอื่นเข้าไปได้” ผู้คุ้มกันพูดเสียงทุ้ม
ฉือเต๋อเฟิงพยักหน้า เดินไปนั่งที่โรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม เฉินเฟยเดินตามผู้คุมกันเข้าไปด้านใน
ด้านในสมาคม ผู้คนเกี่ยวพัน ผู้คนมากมายพูดคุยเกี่ยวกับการหลอมโอสถ ในขณะเดียวกันกลิ่นหอมอ่อนๆของสมุนไพรได้โชยเข้าเต็มจมูกราวกับกำลังอยู่ในห้องหลอมโอสถขนาดใหญ่