ตอนที่ 71 รังแกกันเกินไป
“เอาล่ะ หากไม่มีอะไรแล้วพวกเจ้าไปได้” เฟิงซิวผู่พยักหน้าและหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
“ศิษย์น้องเล็ก หากฝึกฝนแล้วมีปัญหาเจ้าสามารถมาหาข้าได้ตลอดเวลา แม้จะไม่มีปัญหาก็มาได้เช่นกัน”
กัวหลินซานยิ้มอย่างจริงใจ ตบไหล่เฉินเฟยแล้วหันหลังจากไป
เฉินเฟยกุมมือ เขาตั้งใจจะกลับไปยังที่พัก ในเวลานี้ฉือเต๋อเฟิงควรมาพบเขาแล้ว
“ศิษย์น้องเล็ก ทางนี้ ข้าอยู่นี่”
เฉินเฟยเพิ่งเดินออกมาก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เฉินเฟยหันไปมองพบว่าเป็นลั่วจวิ้น
“ศิษย์พี่ลั่ว” เฉินเฟยมองลั่วจวิ้นที่ซ่อนตัวอยู่ในหลังคาด้วยสีหน้าแปลกๆ
“อาจารย์บอกให้เจ้าไปหาศิษย์พี่ใหญ่หากพบปัญหาในการฝึกใช่ไหม?” ลั่วจวิ้นกระโดดลงมา มองไปรอบด้านแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
เฉินเฟยพยักหน้าแต่ไม่เข้าใจว่าลั่วจวิ้นต้องการพูดอะไร
“ในเวลานั้นข้าทำเช่นเดียวกัน ตอนไปหาศิษย์พี่อย่างลืมนำของติดมือไปด้วยล่ะ ตอนแรกไม่มีใครบอกเรื่องนี้ข้าจึงโดนทุกครั้งปฏิเสธอยู่นาน มันรู้สึกน่าอึดอัดเสียจริง” ลั่วจวิ้นพูดความลับออกมาโดยไม่ณู้ตัว
เฉินเฟยขมวดคิ้ว ต้องมอบของขวัญตอนไปหา? ไม่เช่นนั้นทุกคนจะปฏิเสธ?
“ต้องใช้เท่าใด?” เฉินเฟยถาม
“ขั้นต่ำหนึ่งร้อยตำลึง หากน้อยกว่านี้ศิษย์พี่ใหญ่จะบอกให้ศิษย์ภายในไม่ช่วยเจ้า หากช่วยเจ้าแล้วเขาจะทำให้คนคนนั้นเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส” ลั่วจวิ้นแสดงสีหน้าเจ็บปวดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
เฉินเฟยหรี่ตาลง ของขวัญสำหรับการปรึกษาคือหนึ่งร้อยตำลึง ครั้งต่อไปที่ถามเรื่องวิชายุทธ์จะถูกเก็บเงินด้วยหรือไม่?
“ท่านอาจารย์รู้เรื่องนี้หรือไม่?” เฉินเฟยถามเสียงต่ำ
“ข้าไม่รู้ว่าท่านอาจารย์รู้หรือไม่ แต่ครั้งล่าสุดที่ข้าไปถาม ศิษย์พี่ใหญ่ดันมันกลับมาอยู่นานก่อนจะรับไว้ด้วยท่าทางไม่เต็มใจแล้วบอกว่าจะเก็บไว้ให้ข้า”
ลั่วจวิ้นมองเฉินเฟยด้วยสายตาอย่างที่เจ้ารู้นั่นแหละ
หางตาเฉินเฟยกระตุกกับคำว่า‘เก็บ’ที่ถูกใช้ออกมา
เมื่อเห็นคิ้วหนาดวงตากลมโตท่าทางซื่อสัตย์ซื่อตรงของกัวหลินซาน เฉินเฟยจึงคิดว่าตัวเองไม่น่ามองคนผิด
“อย่าบอกใครว่าข้าเป็นคนบอกล่ะ”
ลั่วจวิ้นขยิบตาให้เฉินเฟย “ข้าต้องไปแล้ว ครั้งหน้าหากมีเวลาไว้ไปหอแดงมัวเมาด้วยกัน”
เฉินเฟยมองลั่วจวิ้นจากไป เขายืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นไปหาฉือเต๋อเฟิง
หลังส่งมอบโอสถและรับสมุนไพร เฉินเฟยถามสถานการณ์ของแผงขายของ โชคดีที่ช่วงนี้ยังไม่มีใครติดตามฉือเต๋อเฟิง
“ช่วงนี้มีแผงขายโอสถอีกหลายแผงตั้งบนถนน ข้าลองไปดูมาแล้ว โอสถที่ขายค่อนข้างผสมปนเป แต่รูปลักษณ์ถือว่าไม่เลว”
“หากเป็นเรื่องจริงมันจะไม่อันตรายต่อเรา” เฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
การมีผู้ขายโอสถมากขึ้นเป็นเรื่องไม่อำนวยต่อการขายและยังส่งผลต่อราคาโอสถ แต่เฉินเฟยต้องการให้มีร้านแบบนี้มากขึ้นเพราะมันช่วยลดโอกาสที่คนอื่นจับตามองฉือเต๋อเฟิง
นอกจากนี้โอสถจิตเบาที่เฉินเฟยหลอมไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือฤทธิ์ยาล้วนอยู่ในจุดสูงสุด ตราบเท่าที่ซื้อไปครั้งหนึ่งแล้วจะแยกแยะได้ทันที
ดังนั้นโอสถที่เฉินเฟยหลอมทุกวันจึงขายได้หมดอย่างราบรื่น
ส่งฉือเต๋อเฟิงออกไป เฉินเฟยใช้เวลาสามชั่วยามในการหลอมโอสถ ส่วนใหญ่เป็นโอสถจิตเบา ส่วนน้อยเป็นโอสถเหนือสามัญซึ่งเฉินเฟยเก็บไว้ใช้เองเป็นหลัก
เฉินเฟยเดินออกจากบ้าน มองไปยังท้องฟ้า เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่บ้านกัวหลินซาน
กัวหลินซานอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ดีกว่าศิษย์ใหม่อย่างเฉินเฟย เมื่อเห็นเฉินเฟยมาหากัวหลินซานก็รู้สึกแปลกใจ แต่เขายังเชิญเฉินเฟยเข้ามาในบ้านอย่างอบอุ่น
หนึ่งชั่วยามต่อมา กัวหลินซานส่งเฉินเฟยออกจากบ้าน
“ศิษย์น้องเล็ก ความเข้าใจของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ จุดที่ยากเหล่านั้นหากไม่ใช่ผู้ที่ฝึกพลังเข้าใจต้นกำเนิดเป็นเวลานานจะไม่พบเลย แต่คืนเดียวเจ้ากลับพบมันแล้ว”
กัวหลินซานมองเฉินเฟยอย่างประหลาดใจ ในขณะเดียวกันเขายังพูดด้วยความเสียใจ “เพราะระดับของเจ้าต่ำจึงเพิ่งเข้าระดับหลอมกระดูก จากนี้เจ้าต้องพยายามเป็นสองเท่าเพื่อทะลวงระดับขัดเกลาไขกระดูกให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นการบ่มเพาะในวันข้างหน้าจะยากยิ่งขึ้น”
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ” เฉินเฟยกุมมือแล้วพูด “ศิษย์พี่ไม่ต้องส่งหรอก”
“โอ้ อีกเรื่องหนึ่ง อีกไม่กี่วันทางสำนักจะมอบภารกิจให้พวกเรา แม้เจ้าเพิ่งเข้ามาใหม่แต่เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าต้องไปด้วย ไว้มีเวลาข้าจะอธิบายให้ฟัง” กัวหลินซานพูดอย่างกะทันหัน
“ภารกิจ?” เฉินเฟยผงะแต่ยังพยักหน้ารับ
“ศิษย์น้องเล็กค่อยๆเดิน” กัวหลินซานพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินเฟยโบกมือแล้วเดินไปที่บ้านตัวเอง
ไม่มีของขวัญ ไม่มีความยากลำบาก ไม่มีข้อแก้ตัว เฉินเฟยถามข้อสงสัยกับกัวหลินซาน ตราบใดที่กัวหลินซานรู้เขาจะตอบทั้งหมด
เฉินเฟยพยายามเสนอของบางอย่างให้ แต่สีหน้ากัวหลินซานเปลี่ยนไปทันที นี่คือคนที่ขัดทรายเข้าตาไม่ได้[1]
“ลั่วจวิ้นวางแผนอะไรอยู่? ต้องการให้ข้าโดนศิษย์พี่กัวทุบตี?”
เฉินเฟยขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงคำพูดลั่วจวิ้นในช่วงเช้า หากบังคับให้รับของขวัญ เขาคงโดนกัวหลินซานโยนออกมา
เฉินเฟยตัดสินใจไปคุยกับลั่วจวิ้นในตอนกลางคืน การกระทำแบบนี้ไม่อาจยอมรับได้
ตกกลางคืน
“ก๊อกก๊อกก๊อก!”
“ใคร สายป่านนี้แล้ว”
ลั่วจวิ้นเปิดประตูอย่างหมดความอดทน ก่อนที่เขาจะทันเห็นว่าใครมา เงาสีดำก็พุ่งเข้าใส่แก้มเขา
ลั่วจวิ้นตกใจและตั้งแขนป้องกันโดยไม่รู้ตัว แต่เหมือนเงาดำจะคาดเดาการตอบสนองของเขาไว้แล้วจึงเปลี่ยนท่าทางหลบแขนเขา
“ปัง!”
ลั่วจวิ้นรู้สึกเจ็บแปลบที่แก้มแล้วล้มลงพื้น ก่อนที่เขาจะทันลุกขึ้น กระสอบใบหนึ่งตกลงมาจากด้านบนคลุมตัวเขาไว้
ในเวลาเดียวกันลั่วจวิ้นได้ยินเสียงประตูบ้านปิดลง ลั่วจวิ้นตื่นตระหนกทันที นี่กำลังจะฆ่าคนหรือ?
“ใคร ใครกัน กล้าทำร้ายคนภายในสำนักกระบี่เริ่มดวงดาวเช่นนี้ไม่ต้องการตายแล้วหรือ!”
ลั่วจวิ้นตะโกนเสียงดัง ขณะเดียวกันก็พยายามฉีกกระสอบออก แต่ครู่ต่อมาเขาโดนฝนการโจมตีโดยตรง
ลั่วจวิ้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะโต้ตอบและถูกทุบตีจนได้แต่กลิ้งอยู่บนพื้น
“ไม่สู้แล้ว ไม่สู้แล้ว เจ้าเป็นใคร ข้าไม่เคยทำให้เจ้าขุ่นเคือง...ไม่สู้แล้ว...”
ตอนแรกลั่วจวิ้นตะโกนเสียงหนักแน่น แต่ครู่ต่อมาเขาก็ตะโกนอย่างเศร้าหมอง คนโจมตีไร้ยางอายเกินไป อีกฝ่ายทุบตีแต่หัวกับใบหน้าเขา อาการบาดเจ็บไม่ได้ร้ายแรงแต่มันทำให้รู้สึกเจ็บมากจนลั่วจวิ้นอดไม่ได้ที่จะร้องขอความเมตตา
ตอนแรกลั่วจวิ้นยังคงตะโกนเสียงดัง แต่สุดท้ายเขาถูกซ้อมอย่างหนักจนไม่ได้ตะโกนออกมาอีก
ไม่รู้ว่าว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ลั่วจวิ้นลืมตื่นขึ้นแล้วหดตัวโดยไม่รู้ตัว แต่พบว่าไม่มีดการต่อยเตะใดๆอีก
ลั่วจวิ้นถอดกระสอบที่คลุมตัวเองด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและเผยให้เห็นใบหน้าอันแสนน่ากลัว ใบหน้าที่แม้แต่มารดาเขาเองยังไม่อาจจดจำได้
“ใคร ไอ้สารเลวนี่เป็นใคร...รังแกกันเกินไปแล้ว...”
ลั่วจวิ้นนั่งบนพื้น น้ำตาไหลนองจากหางตาไหลผ่านบาดแผลจึงทำให้แก้มลั่วจวิ้นกระตุกอย่างเจ็บปวด ใบหน้าเขาบีบแน่นบวมเปล่ง
มันเจ็บจริงๆ