[ตอนฟรี] ตอนที่ 4 : จวินหลิงหลง
สนามประลองตระกูลจวินตั้งอยู่บนเกาะยักษ์มหึมาที่ลอยอยู่ในความว่างเปล่า
ศิษย์รุ่นเยาว์หลายคนของตระกูลจวินจะฝึกฝนกันอยู่ในพื้นที่สนามประลองนี้
ที่นั่นไม่ได้มีเฉพาะสนามประลองเท่านั้น แต่ยังมีสถานที่อีกหลายรูปแบบสำหรับการทดสอบการบ่มเพาะ ซึ่งเหล่าลูกศิษย์ตระกูลจวินสามารถมารับการทดสอบกันได้
ศิลาจารึกโบราณไท่เยว่ถูกขุดยกมาด้วยพละกำลังโดยตรงจากตัวตนอันยิ่งใหญ่ของตระกูลจวิน จากนั้นได้เคลื่อนมันมาไว้ในสนามประลองเพื่อให้เหล่าลูกศิษย์ในตระกูลได้ทดสอบการบ่มเพาะพลังกายของตัวเอง
ในขณะเดียวกัน ด้านข้างศิลาจารึกโบราณไท่เยว่ เด็กสาวผู้หนึ่งในชุดคลุมหลวงกำลังปรับลมหายใจ เพื่อเตรียมพร้อมในการท้าทายศิลาจารึกโบราณไท่เยว่
เด็กสาวผู้นี้อายุราวสิบสี่ถึงสิบห้าปี นางมีผมสีทองยาวสลวยเป็นลอนไหลลงราวกับเกลียวคลื่น และมีปอยผมอันกระจ่างใสและเป็นประกาย
ผิวพรรณนางราวกับน้ำนม ริมฝีปากแดงชาด ทำให้บรรยากาศรอบตัวนางดูสูงส่งและสง่างาม
ถึงแม้ว่าอายุนางจะไม่เยอะ แต่รูปร่างอันบอบบางที่ถูกชุดคลุมหลวงรัดแน่น ทำให้เห็นสัดส่วนอันประณีตและสง่างามของนาง
“ข้าสงสัยจริงๆ ว่าครั้งนี้จวินหลิงหลงจะทำสำเร็จถึงระดับไหน?”
“นางมีดวงใจวิจิตรเจ็ดลักษณ์และความเร็วในการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาทุกอย่างของนางรวดเร็วมาก ไม่ช้านางต้องเชี่ยวชาญทุกเคล็ดวิชาที่มีอยู่”
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์ลำดับหลายคนต้องการรับสมัครจวินหลิงหลงไปเป็นผู้ติดตาม แต่นางมักจะตอบปฏิเสธ”
ลูกศิษย์หลายคนที่อยู่บริเวณโดยรอบมองไปที่เด็กสาวนามจวินหลิงหลงและกระซิบกัน
แม้ว่าจวินหลิงหลงจะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเหล่าสิบลำดับ แต่นางเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสตรีสูงศักดิ์ในตระกูลจวิน
เพราะว่านางครอบครองดวงใจวิจิตรเจ็ดลักษณ์
หัวใจลักษณะนี้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหัวใจนักบุญ ซึ่งหมายความว่าหากจวินหลิงหลงไม่ร่วงหล่นในอนาคต นางจะมีโชคชะตาให้บรรลุขอบเขตนักบุญได้
แม้ว่าสำหรับตระกูลโบราณเช่นตระกูลจวินแล้ว นักบุญหนึ่งคนจะไม่ได้มีความพิเศษมากนัก
แต่หากมองทั่วทั้งแดนอมตะหวงเทียนแล้ว นักบุญยังคงเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดอย่างแน่นอน
เพราะความสูงศักดิ์ของจวินหลิงหลง ลำดับบางคนจึงยอมที่จะยื่นกิ่งมะกอกให้ แต่จวินหลิงหลงปฏิเสธไปทั้งหมด
“ฝ่ามือทองคำสยบนภา!”
จวินหลิงหลงยกฝ่ามือที่ขาวราวกับหิมะและโจมตีไปที่ศิลาจารึกโบราณไท่เยว่
มันชัดเจนว่านางมีรูปร่างที่ดูผอมบางและประณีต แต่ในช่วงขณะที่นางโจมตีออกไป มันราวกับว่ามีพลังปราณอันไร้สิ้นสุดระเบิดออกมา
บูมม!
หลังจากเสียงดังสนั่น ศิลาจารึกโบราณไท่เยว่มีแสงสว่างขึ้น
หนึ่งแสนห้าหมื่นจิน! (1 จินเท่ากับ 0.5 กิโลกรัม)
“จวินหลิงหลงแข็งแกร่งจริงๆ พละกำลังของนางเพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้วถึงสามหมื่นจิน”
“ถูกต้อง ผู้บ่มเพาะทั่วไปที่บ่มเพาะร่างกายจนถึงขีดสุด มีพละกำลังมากสุดก็แค่หนึ่งแสนจินเท่านั้น จวินหลิงหลงนางได้ทลายข้ามกำแพงนี้ไปเรียบร้อยแล้ว”
มีเสียงกล่าวชื่นชมจากทั่วทั้งบริเวณและขาดไม่ได้เลยคือสายตาที่ร้อนฉ่าของพวกสุนัขขี้ประจบ
ใบหน้าที่ขาวราวกับหิมะของจวินหลิงหลงยังคงนิ่งสงบไร้ความเปลี่ยนแปลง
ในเวลานี้ เสียงแหลมของหญิงสาวดังขึ้น
“จวินหลิงหลง เจ้าใช้เวลาฝึกฝนไปตั้งนานแต่ทำไมกลับเพิ่มพละกำลังได้แค่สามหมื่นจินเองล่ะ?”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีน้ำเงินมาถึงพร้อมกับเท้าสะเอว
ใบหน้าของนางมีเสน่ห์และละเอียดลออ แต่คำพูดของนางนั้นกลับแหลมคมพร้อมที่จะทิ่มแทง
“นั่นคือหลานชิงหย่า ผู้ติดตามจวินจ้างเจี้ยนแห่งลำดับสิบ”
“นางมีสถานะมากกว่าแค่ผู้ติดตามและข้าได้ยินมาว่าจวินจ้างเจี้ยนนั่นหลงรักนางมาก”
หลานชิงหย่าไม่ได้อยู่ในตระกูลจวินตั้งแต่แรก นางคือผู้ติดตามที่จวินจ้างเจี้ยนผู้มีสถานะลำดับสิบรับสมัครมาจากข้างนอก
จวินหลิงหลงเมินเฉย แต่หลานชิงหย่าพูดเสียดแทง “นายน้อยจ้างเจี้ยนได้ทิ้งสถิติไว้ที่พละกำลังห้าล้านจินบนศิลาจารึกโบราณไท่เยว่ ซึ่งเยอะกว่าเจ้าเป็นสิบเท่า แต่เจ้าก็ยังปฏิเสธเขา เจ้ารู้รึเปล่าว่าเจ้านั่นโง่เขลาเพียงใด?”
หลานชิงหย่าไม่อาจเข้าใจการแสร้งทำเป็นหยิ่งทะนงของจวินหลิงหลงได้
แม้ว่าจวินจ้างเจี้ยนจะเป็นคนเริ่มชักชวนนางก่อน แต่จวินหลิงหลงยังคงปฏิเสธเขา
จากมุมมองของหลานชิงหย่า จวินหลิงหลงเป็นเพียงหญิงสาวที่แสร้งทำเป็นอ่อนต่อโลก แต่จริงๆ นางนั้นร้ายกาจอย่างมาก
“ถึงจวินจ้างเจี้ยนจะเยี่ยมยอด แต่เขานั้นยังไม่ใช่ที่สุด ข้าจวินหลิงหลงจะสามารถสยบทุกตัวตนแห่งยุคได้ก็ต่อเมื่อข้าติดตามคนผู้หนึ่ง” จวินหลิงหลงกล่าวเรียบๆ
ไม่มีใครรู้ว่าดวงใจวิจิตรเจ็ดลักษณ์จะมีความสามารถลับ นั่นคือมันสามารถทำให้มองเห็นเสี้ยวหนึ่งของอนาคตได้อย่างรางๆ
แน่นอนว่าทักษะที่ขัดกับสวรรค์เช่นนี้ไม่อาจใช้งานได้ตามใจนึก
จวินหลิงหลงเคยกระตุ้นทักษะเพียงครั้งเดียวในชีวิต
ในเสี้ยวนั้นของอนาคต จวินหลิงหลงมองเห็นร่างที่คลุมเครือและอยู่เหนือสรรพสิ่งในชุดคลุมขาว หันหลังให้สิ่งชีวิตทั้งหมด
สิ่งมีชีวิตนับร้อยล้าน เผ่าพันธุ์โบราณนับพัน ล้วนโค้งคำนับอยู่เบื้องหลังของชายคนนั้นและตะโกนสรรเสริญนามจักรพรรดิของตน
ในตอนนั้น จวินหลิงหลงได้คิดทบทวนแล้วว่ามังกรตัวจริงจะต้องกำเนิดในตระกูลจวินในชีวิตนี้อย่างแน่นอนและการมาถึงของเขาจะยืนอยู่เหนือทุกช่วงเวลาและผืนนภาอันเป็นนิรันดร์
เพียงแต่…
ในเสี้ยวนั้นของอนาคต นางไม่รู้ว่าจักรพรรดิจวินผู้ถูกสรรเสริญจากสิ่งมีชีวิตทั้งมวลจะหมายถึงลำดับคนไหน?
เพราะความสงสัยนี้ จวินหลิงหลงจึงยังไม่เคยติดตามใคร
นางกำลังรอคอยบุคคลที่คล้ายคลึงกับจักรพรรดิจวินมากที่สุดปรากฏ
จวินจ้างเจี้ยนคือลำดับสิบ ถึงแม้จะแข็งแกร่งมาก แต่จวินหลิงหลงยังมองไม่เห็นความรู้สึกนั้น
ยังไงก็ตาม หลานชิงหย่ากลับรู้สึกว่าคำพูดของจวินหลิงหลงนั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก
“ฮ่าฮ่าฮ่า จะสยบทั่วทั้งยุครึ จวินหลิงหลงเอ๋ย ลมปากของเจ้าค่อนข้างไร้สาระเลยทีเดียว”
แม้แต่ลำดับหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลานี้ของตระกูลจวินยังไม่กล้ากล่าวประโยคนี้ได้เต็มปาก
นั่นเป็นเพราะนี่คือมหายุคแห่งความขัดแย้งอันยิ่งใหญ่ ด้วยการพุ่งทะยานของเผ่าพันธุ์นับพัน และการกำเนิดของเหล่าผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่ง ไม่มีผู้บ่มเพาะคนไหนกล้ากล่าวว่าสามารถสยบทั่วทั้งยุคได้
ในขณะนั้น เหนือท้องฟ้าที่ไกลออกไป นกกระเรียนขาวได้ดึงดูดสายตาจากทุกคน
บนหลังของนกกระเรียนขาวมีร่างหนึ่งกำลังขัดสมาธิอยู่ราวกับเทพเจ้าวัยเยาว์
นั่นคือจวินเซียวเหยา
เขาเพิ่งจะทะลวงผ่านห้าระดับขั้นของการฝึกฝนภายในและยังไม่ได้รับความสามารถในการเหาะเหินเดินอากาศ ดังนั้นจึงต้องนั่งเจ้ากระเรียนขาวนี่เดินทางมาเท่านั้น
“คนผู้นั้นคือใครกัน?”
“ช่างดูเด็กยิ่งนัก ด้วยอายุน้อยเช่นนี้ยังต้องการมาที่สนามประลองอีกรึ?”
กลุ่มของศิษย์ตระกูลจวินเริ่มสนทนากัน
นับตั้งแต่เวลาที่จวินเซียวเหยาเกิด เขาก็อยู่ในเฉพาะพระราชวังเทียนตี้และไม่เคยออกมาเดินรอบบริเวณของตระกูลจวินเลย
ดังนั้น นอกจากบรรพชนที่สิบแปด เหล่าผู้อาวุโส และมารดาของเขาเจียงโร่ว ไม่มีใครอีกแล้วที่เคยเห็นรูปลักษณ์ของจวินเซียวเหยา
“หือ? เด็กคนนี้คือ…”
ดวงตาอันสวยงามของจวินหลิงหลงมองไปที่ร่างของหนุ่มน้อยและดวงใจวิจิตรเจ็ดลักษณ์ของนางเริ่มสั่นไหวในทันที
หัวใจของข้ากำลังสั่นไหว
“ไม่มีทาง…” ดวงตางดงามของจวินหลิงหลงค่อยๆ เบิกกว้างและสัญชาตญาณบางอย่างเริ่มก่อตัวในหัวใจของนาง
เมื่อกระเรียนขาวร่อนลงมา ปลายเท้าของจวินเซียวเหยาแตะที่พื้นอย่างเบาบาง
“ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่หล่ออะไรเช่นนี้ ข้าล่ะอยากจะหยิกแก้มของเขาจริงๆ” เด็กสาวคนหนึ่งในตระกูลจวินกล่าวพร้อมดวงตาเป็นประกาย
“น่ารักจัง ข้าอยากจะขี่…” เด็กสาวร่างท้วมโดดเด่นคนหนึ่งจากตระกูลจวินมองตรงมาที่จวินเซียวเหยาด้วยดวงตางดงามและรอยยิ้มที่มุมปากของนาง
เมื่อถูกจ้องโดยเหล่าหมาป่าและพยัคฆ์ตระกูลจวิน จวินเซียวเหยาเริ่มตื่นตระหนกเล็กน้อย
ถึงไตของเขาจะค่อนข้างทรงพลังจริงๆ แต่เขาก็เป็นแค่เด็กอายุสามขวบเองนะ
เขาไม่ได้อยากเป็นม้าแคระลากเกวียนใหญ่สักหน่อย
“ปราณและโลหิตของเด็กน้อยผู้นี้แข็งแกร่งมาก ทำไมถึงรู้สึกว่าจะแข็งแกร่งมากกว่าพวกเราด้วย?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งจากตระกูลจวินอดไม่ได้และถาม “เด็กน้อย เจ้ามาจากสายไหนของตระกูลรึ? ทำไมข้าไม่เคยเห็นเจ้าเลย?”
จวินเซียวเหยาตอบแบบสบายๆ “แน่นอนว่าเจ้าต้องไม่เคยเห็นข้า นี่คือครั้งแรกที่ข้าได้ออกมาจากพระราชวังเทียนตี้”
“ครั้งแรกที่ออกมาจากพระราชวังเทียนตี้...”
เมื่อชายหนุ่มจากตระกูลจวินทวนคำพูดอีกครั้ง ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นทันที
พระราชวังเทียนตี้ นั่นคือสถานที่สำหรับเหล่าศิษย์ผู้มีพรสวรรค์สูงสุดเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เข้าไปอยู่อาศัยได้ ชายหนุ่มมองไปที่จวินเซียวเหยาในอาการช็อกและถาม “เจ้า… เจ้าคือคนเมื่อสามปีก่อน…”
“ถูกต้อง ข้าชื่อจวินเซียวเหยา” จวินเซียวเหยาตอบแบบขี้เกียจ
เฮือกก!
ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ผู้คนทั้งหมดในบริเวณสนามประลองก็ตกอยู่ในอาการตกตะลึง
ตอนนี้ตัวตนของจวินเซียวเหยาสามารถเรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่ลึกลับมากที่สุดและเป็นรุ่นเยาว์ที่ทรงเกียรติมากที่สุดในตระกูลจวิน
ถือกำเนิดเมื่อสามปีก่อน กระตุ้นให้บรรพชนที่สิบแปดตื่นจากการหลับใหลและมอบสถานะบุตรพระเจ้าให้ด้วยตัวเองในทันที
สามารถเรียกได้ว่าสถานะของจวินเซียวเหยาในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าสถานะสิบลำดับเลยสักนิด!
“ข้าน้อยทำความเคารพ ใต้เท้าบุตรพระเจ้า!”
ในสนามประลองวิชา ลูกศิษย์ทุกคนในตระกูลจวินโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียง
ดวงตาจวินหลิงหลงเผยแววประหลาดใจ แต่นางก็ยังโค้งคำนับแก่จวินเซียวเหยา
การแสดงออกของหลานชิงหย่าเปลี่ยนเช่นกัน นางคือคนที่มีแซ่จากต่างที่ นางจึงไม่กล้าที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้กับจวินเซียวเหยา ดังนั้นนางจึงรีบโค้งคำนับ
ดูจากเหล่าลูกศิษย์ตระกูลจวินที่โค้งคำนับอย่างสุภาพแก่เขา จวินเซียวเหยาแอบเดาะลิ้นและคิดในใจ
“ไม่ใช่แบบนี้สิ ตามธรรมเนียมแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้มันต้องมีใครบางคนออกมาเหยียดยามและตั้งข้อสงสัยกับข้า หลังจากนั้นก็โดนข้าตบหน้ากลับอย่างจังไม่ใช่รึ? ถ้าพวกเจ้าสุภาพกันขนาดนี้ แล้วข้าจะแสร้งว่าเป็นหมูหลอกกินเสือได้ยังไง?”
จวินเซียวเหยารู้สึกราวกับว่าเขาต่อยเข้าไปที่นุ่น จะออกแรงมากเท่าไหร่ก็ไม่ได้
เขายังต้องการให้ใครสักคนมาแกล้งบีบบังคับเขา เอ่อ… หมายถึงการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
แต่จวินเซียวเหยาประเมินตัวตนของบุตรพระเจ้าต่ำไป
เกรงว่าในตอนนี้คงไม่มีใครกล้าที่จะดูหมิ่นเขาแม้แต่นิดเดียว
“ลืมมันไปเถอะ ในเมื่อไม่มีใครกล้ายั่วยุข้า ข้าก็ควรไปลงชื่อให้เร็วที่สุดดีกว่า”
จวินเซียวเหยาส่ายหัวเล็กน้อย แล้วเดินไปที่ศิลาจารึกโบราณไท่เยว่โดยตรง
ชั่วขณะเดียวกัน เสียงจักรกลของระบบได้ดังขึ้นในความคิดของเขา
“ติ๊ง! ท่านได้มาถึงสถานที่ลงชื่อ ศิลาจารึกโบราณไท่เยว่แล้ว ท่านต้องการลงชื่อหรือไม่?”
“ลงชื่อ!” จวินเซียวเหยากล่าวอย่างลับๆ ในใจ
(หากมีคำแนะนำหรือข้อติเตียน สามารถคอมเมนท์เพื่อบอกกล่าวได้นะครับ ^ ^ ขอบพระคุณมากครับที่สละเวลาอ่านจนจบ)