ตอนที่ 399 แต่งค่ะ!
ตอนที่ 399 แต่งค่ะ!
ณ ยานบัญชาการรุ่นโฮไรซอนของบริษัทสตาร์ยูไนเต็ด
เมื่อมีข่าวกองยานเซิร์กบุกจู่โจมนครหลวง แอวริลและครอบครัวก็อพยพลงทางใต้พร้อมกับกองยานของกองทัพ แต่เมื่อสงครามดำเนินต่อไปดินแดนของมนุษย์ก็ถูกเซิร์กเข้าครอบครองมากขึ้นเรื่อย ๆ กองยานนี้จึงเริ่มเคลื่อนที่หนีไปทางทิศตะวันตก
บริษัทสตาร์ยูไนเต็ดมีกองยานภายใต้คำสั่งอยู่ทั้งสิ้น 10 กองยาน โดย 9 กองยานเป็นกองยานพร้อมรบตามคำสั่งของกรมทหาร ขณะที่กองยานที่เหลืออีกหนึ่งกองยานเป็นกองยานคุ้มกันที่คอยปกป้องยานขนส่งของพลเรือนเป็นจำนวนมาก
ท้ายที่สุดเหตุการณ์นี้ก็คือสงครามที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเผ่าพันธุ์ ดังนั้นกองกำลังทั้งหมดจึงจำเป็นจะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของกองทัพ ซึ่งแม้กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่างสมาพันธ์จัสทิสและสมาพันธ์เฮอร์มิทต่างก็มอบอำนาจการบัญชาการกองยานให้กับทางกรมทหารเช่นเดียวกัน ซึ่งกองยานของบริษัทสตาร์ยูไนเต็ดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แม้ว่าจะตกอยู่ในช่วงเวลาอันยากลำบากแต่แอวริลก็ยังคงเปล่งประกายอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ตอนนี้ดวงตาที่ราวกับอัญมณีของเธอมีรอยคล้ำให้เห็นอยู่เล็กน้อย เนื่องมาจากเธอทำงานจนเหนื่อยมากเกินไป
ก่อนหน้านี้แอวริลได้ตัดสินใจอย่างแรงกล้าให้กองยานที่ 1 โล๊ะอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นทั้งหมดออกจากยานอวกาศ เพื่อให้ผู้ลี้ภัยขึ้นมาอาศัยบนยานเป็นจำนวนหลายล้านคน มันจึงทำให้ยานทุกลำในกองยานที่ 1 แออัดไปด้วยผู้คนที่อพยพหลบหนีออกมาจากพื้นที่ทั่วทั้งพันธมิตร
ท้ายที่สุดช่วงเวลานี้ก็คือช่วงเวลาสงครามอันน่าสลดใจ ประชาชนทุกคนจึงพยายามเอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อน ซึ่งพัสดุเล็ก ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่เสบียงยังชีพเพียงแค่เล็กน้อย ส่วนสินทรัพย์ที่พวกเขาได้สะสมมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่หายไปในพริบตา
แอวริลเดินผ่านฝูงชนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม หากเด็กคนไหนไม่ได้ห่มผ้าห่มเธอจะรีบนำผ้าห่มมาห่มให้กับเด็กคนนั้น และถ้าหากใครมีอาการไม่ดีเธอจะลงไปนั่งแปะหน้าผากเพื่อยืนยันว่าเขาคนนั้นเป็นไข้หรือไม่
ทุกคนที่เห็นแอวริลจะเรียกชื่อของเธออย่างดีใจ เพราะท้ายที่สุดสิ่งที่หญิงสาวทำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอห่วงใยผู้ลี้ภัยทุกคนจากใจจริง และไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะต่ำต้อยแค่ไหนแต่แอวริลก็ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจผู้ลี้ภัยเหล่านั้นเลย
ในตอนแรกแอวริลก็รู้สึกสับสนกับสถานการณ์เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะข่าวที่กองยานการค้าของเซี่ยเฟยได้ถูกทำลายทำให้เธอนอนร้องไห้เป็นเวลาหลายวันหลายคืน ไม่ว่าจะยังไงพวกเธอก็รู้จักกันเป็นเวลานานและเธอยังตัดสินใจที่จะแต่งงานกับเซี่ยเฟยแล้ว ข่าวร้ายนี้จึงเกือบจะทำให้เธอไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
ช่วงเวลานั้นหญิงสาวนั่งร้องไห้หลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดคล้ายกับลูกแมวที่ได้รับบาดเจ็บและพยายามนอนขดตัวเพื่อเลียบาดแผล
แต่ในเวลาเพียงแค่ไม่นานข่าวการรอดชีวิตของเซี่ยเฟยก็เดินทางมาถึง ซึ่งตอนนั้นผางชิงรีบมาเล่าข่าวดีให้แอวริลฟังอย่างตื่นเต้น และมันก็ทำให้หญิงสาวคนนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นคนละคน
หลังจากนั้นเธอก็เริ่มเชื่อว่าพระเจ้ายังคงรักเธอและเซี่ยเฟยอยู่ จึงทำให้พวกเธอสามารถผ่านวิกฤตต่าง ๆ มาได้อย่างปลอดภัย และถึงแม้ว่าพวกเธอจะอยู่ห่างกันคนละดินแดน แต่ตราบใดก็ตามที่พวกเธอยังมีชีวิตอยู่ทุกสิ่งก็ยังคงมีความหวัง ซึ่งเมื่อเทียบกับเหล่าบรรดาผู้ลี้ภัยที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาแล้ว ชีวิตของเธอก็ถือว่าโชคดีกว่าคนอื่นอีกหลายล้านคน
ท้ายที่สุดยานฉุกเฉินของพันธมิตรก็มีอยู่อย่างจำกัดทำให้มีประชาชนเพียงแค่ประมาณ 1 ใน 3 เท่านั้นที่สามารถอพยพหลบหนีออกจากเขตสงครามได้ มันจึงมีผู้คนอีกเป็นจำนวนมากทำได้เพียงแต่หลบซ่อนตัวอย่างสิ้นหวัง เพราะมันก็ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากดวงดาวของพวกเขาตกอยู่ภายใต้การยึดครองของเซิร์ก
หากโชคดีพวกเขาก็คงจะกลายเป็นทาสแต่พวกเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าหากพวกเขาโชคร้ายแอวริลก็ไม่กล้าที่จะจินตนาการว่าพวกเขาจะต้องพบเจออะไรหลังจากนั้น
ในความเป็นจริงสถานการณ์ในปัจจุบันก็ทำให้กองยานคุ้มกันตกอยู่ภายใต้คำสั่งของกองทัพ แต่แอวริลไม่สามารถที่จะทนเห็นพลเรือนเป็นจำนวนมากถูกทอดทิ้งได้จริง ๆ เธอจึงสั่งให้กองยานเปิดรับผู้ลี้ภัยให้ได้เป็นจำนวนมากที่สุดและขนส่งผู้ลี้ภัยทุกคนหนีไปยังฝั่งตะวันตก
ข่าวการกระทำของเธอแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามันมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบการตัดสินใจของเธอในครั้งนี้ เพราะเดิมทีกองยานส่วนตัวเป็นสิทธิพิเศษที่ควรสงวนไว้ใช้กับชนชั้นสูงเท่านั้น แต่หญิงสาวกลับเลือกให้ประชาชนคนทั่วไปมาอาศัยบนกองยานที่ 1 ของบริษัทสตาร์ยูไนเต็ด ด้วยเหตุนี้ชนชั้นสูงเป็นจำนวนมากจึงแอบเรียกแอวริลว่าคนโง่ เพราะเธอปล่อยให้คนยากจนขึ้นมาอยู่บนยานแทนที่เธอจะอาศัยอยู่อย่างสะดวกสบาย
อย่างไรก็ตามความเป็นจริงแล้วแอวริลก็ไม่เพียงแต่จะรับผู้อพยพมาเป็นจำนวนมากเท่านั้น แต่เธอยังใช้เวลาถึง 16 ชั่วโมงต่อวันในการเดินไปเดินมาท่ามกลางฝูงชน เพื่อดูว่าใครต้องการอาหารหรือใครต้องการที่จะได้รับการรักษาหรือเปล่า
หลังจากเดินผ่านทางเดินที่มีผู้คนพลุกพล่าน แอวริลก็เดินทางมาถึงโรงยิมที่มีผู้คนแน่นขนัดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแต่เดิมโรงยิมแห่งนี้มีเอาไว้ให้ลูกเรือออกกำลังกาย แต่ในปัจจุบันอุปกรณ์ออกกำลังกายทุกอย่างถูกโยนทิ้งลอยสู่อวกาศไปจนหมดแล้ว เพื่อนำพื้นที่ทั้งหมดมาใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้อพยพ
“พี่แอวริลมาแล้ว”
“สวัสดีครับพี่แอวริล”
“พี่แอวริลสวยมากเลย! ถ้าผมโตขึ้นผมจะยอมแต่งงานกับพี่”
เมื่อเกิดสถานการณ์อันวุ่นวายเด็กเหล่านี้ก็ถูกแยกออกจากพ่อแม่โดยไม่ทันตั้งตัว มันจึงทำให้พวกเขาถูกทิ้งให้รอคอยอยู่อย่างสิ้นหวัง และถึงแม้ว่าในปัจจุบันพวกเขาจะยังไม่ได้เป็นเด็กกำพร้า แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าอีกไม่นานพวกเขาจะกลายเป็นเด็กกำพร้าโดยสมบูรณ์
เด็ก ๆ รวมตัวกันกอดแอวริลเอาไว้ ซึ่งบางคนก็เผยรอยยิ้มอย่างสนุกสนาน บางคนก็เข้ามาขออาหาร ส่วนบางคนก็พยายามอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อขอให้ได้พบกับพ่อแม่ของตัวเองอีกครั้ง
“แม่หนูบอกว่ายานลำนี้บรรจุคนได้ไม่มาก แม่เลยสละที่นั่งให้กับพวกหนูก่อนแล้วแม่ค่อยขึ้นยานตามมาทีหลัง พี่แอวริลเรื่องที่แม่พูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ?” เด็กสาวคนหนึ่งกล่าวถาม
“จริงสิ อีกไม่นานหนูจะต้องได้พบกับแม่แน่นอน” แอวริลผูกผมหางม้าของเด็กสาวด้วยรอยยิ้มแต่ดวงตาของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอยู่เล็กน้อย จากนั้นไม่นานอารมณ์ความรู้สึกก็เริ่มเอ่อล้นขึ้นมาในใจของเธอจนทำให้เธอไม่สามารถที่จะหยุดน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป
“เธออย่าพูดกับพี่แอวริลแบบนี้สิ เห็นไหมพี่แอวริลร้องไห้แล้ว ถ้าเธอคิดถึงแม่ก็โทรหาแม่สิ”
เด็กสาวตาชั้นเดียวที่อยู่ข้าง ๆ เริ่มดุเพื่อนสาวเมื่อเธอเห็นแอวริลร้องไห้หลังจากถูกถามคำถาม
“ฉันโทรหาแม่ไม่ได้ แม่ไม่รับสายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” เด็กสาวตาโตก้มหน้าลงอย่างเสียใจ
เด็กสาวตาชั้นเดียวยังไม่ยอมแพ้ เธอจึงจับมือเด็กสาวตาโตพร้อมกับลุกขึ้นมาจากพื้น
“แม่ไม่โกหกพวกเราหรอก! เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปโทรหาแม่เอง บางทีแม่เธออาจจะกำลังซื้อของในตลาดเพื่อกลับไปทำอาหารอร่อย ๆ ให้กับเธออยู่ก็ได้”
“ฉันชอบกินข้าวผัดกุ้งมากที่สุดเลย ฉันหวังว่าแม่จะทำข้าวผัดกุ้งให้ฉันกินนะ” สาวตาโตกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างมีความสุข
เด็กสาวตาชั้นเดียวเลียริมฝีปากอย่างอยากอาหาร เพราะท้ายที่สุดด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันมันก็ทำให้ทุกคนกินอาหารได้เพียงแค่นิดเดียว และถึงแม้ว่าอาหารของเด็ก ๆ จะดีกว่าผู้ใหญ่ แต่มันก็ยังคงห่างไกลจากอาหารในบ้านของพวกเธออยู่ดี
“น่าอร่อยจัง ถ้าเธอเจอแม่แล้วฉันขอกินข้าวผัดกับเธอด้วยนะ”
“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะบอกแม่ว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของฉัน แม่ต้องแบ่งข้าวผัดให้เธอด้วยแน่นอน”
“ถ้างั้นเราไปโทรหาแม่ของเธอกัน พอเจอแม่เราจะได้กินข้าวผัดกุ้งด้วยกันไง”
บทสนทนาที่เรียบง่ายของเด็ก ๆ ทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนน้ำตาไหล โดยเฉพาะแอวริลที่เอามือปิดปากและไม่สามารถที่จะระงับอารมณ์ของตัวเองได้
ผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าพ่อแม่ของเด็กหญิงพวกนี้อาศัยอยู่บนดาวเกลฟิช ซึ่งมันมีข่าวประกาศออกมาตั้งแต่เมื่อวานว่าดาวดวงนี้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งดวงแล้ว
เมื่อมีคนพูดถึงแม่เด็กเป็นจำนวนมากก็เริ่มร้องไห้หาพ่อแม่ของพวกเขาเช่นเดียวกัน ผางชิงที่ร้องไห้อยู่ใกล้ ๆ จึงต้องรีบหยิบขนมมาแจกจ่ายให้กับเด็ก ๆ และพยายามปั้นหน้ายิ้มเพื่อให้เด็กเหล่านี้กลับมามีท่าทีร่าเริงอีกครั้ง
ขณะเดียวกันแอวริลก็หยิบผ้าเช็ดหน้าให้กับผางชิง ก่อนที่เธอจะถอยออกไปจากห้องนี้อย่างเงียบ ๆ
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนแอวริลยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวแก่นแก้วที่ฉีกตุ๊กตารอบตัวในเวลาที่เธอไม่พอใจ แต่เหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ผ่านมาได้เปลี่ยนให้เธอเติบโตขึ้นจนกลายเป็นคนละคน โดยเฉพาะสงครามในครั้งนี้ที่ทำให้แอวริลเติบโตอีกครั้งในชั่วข้ามคืน และมันก็ทำให้ผางชิงรู้สึกซึ้งใจที่เขาได้เห็นพัฒนาการของคุณหนูที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก
ปัจจุบันแอวริลยังมีอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ด้วยซ้ำ ซึ่งในสายตาของหลาย ๆ คนเธอเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันเธอคนนี้ต้องรับหน้าที่คอยดูแลผู้คนเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญการรับมือกับผู้ที่กำลังสูญเสียจากสงครามมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถรับมือได้ง่าย ๆ
เมื่อแอวริลกลับมาภายในห้องมันก็มีเด็กหลาย ๆ คนกำลังนั่งดูการ์ตูนด้วยกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งในความเป็นจริงใบหน้าของแอวริลก็ดูไม่ต่างไปจากเด็กสาวไร้เดียงสาพวกนี้มากนัก แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับมันจึงทำให้เธอต้องพยายามแสดงตัวออกมาเป็นผู้ใหญ่
แต่ในทันใดนั้นเองภาพในหน้าจอก็หยุดชะงักก่อนที่ภาพการ์ตูนจะถูกเปลี่ยนเป็นวิดีโอที่เซี่ยเฟยต่อสู้กับศัตรู ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เด็กหลาย ๆ คนส่งเสียงบ่นออกมาอย่างไม่พอใจ เพราะในมุมมองของพวกเขาสงครามเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพวกเด็ก ๆ
อย่างไรก็ตามดวงตาของแอวริลกำลังเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว และเธอก็ใช้มือข้างหนึ่งจับหัวใจของตัวเองเอาไว้ เพราะท้ายที่สุดการที่เซี่ยเฟยได้เผชิญหน้ากับศัตรูก็ทำให้เธอแอบรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ
เมื่อภาพได้ดำเนินมาจนถึงฉากที่กาแล็กซีถูกระเบิดแอวริลก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงรู้สึกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเซี่ยเฟยอยู่ดี
ในที่สุดภาพก็ตัดมาเป็นภาพของเซี่ยเฟยที่ยืนอยู่ในห้องบัญชาการ โดยดวงตาของเขายังคงเป็นดวงตาที่แน่วแน่เหมือนกับวีรบุรุษในตำนาน ส่วนเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็ยังคงเป็นชุดธรรมดาที่ไม่หรูหราเหมือนเมื่อก่อน แต่อารมณ์ความรู้สึกที่แผ่ออกมาจากชายคนนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาภายในใจ
นี่คืออารมณ์ของผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และถึงแม้ว่าเขาจะต้องอยู่ในดินแดนของศัตรูเพียงลำพัง แต่เขาก็ยังคงเคลื่อนไหวทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ลังเล
แม้แต่เด็ก ๆ ก็ยังสัมผัสได้ถึงอารมณ์แห่งความหวัง ซึ่งพวกเขาก็พยายามเอามือปิดปากของตัวเองเอาไว้จนทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด
“แอวริลฉันไม่รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ช่วยรอฉันด้วยฉันสัญญาว่าฉันจะกลับไปหาเธอให้ได้ แต่ถ้าเธอไปอยู่บนสวรรค์แล้วก็ช่วยรอฉันด้วยเหมือนกัน หลังจากที่ฉันทำทุกอย่างที่ควรจะทำเสร็จฉันจะตามไปหาเธอ”
นี่คือการประกาศความรักที่ลึกซึ้งมากที่สุด ซึ่งมันคือความรักจากใจจริงที่ชายหนุ่มคนหนึ่งได้พูดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
คำสารภาพนี้ทำให้แอวริลรู้สึกตกตะลึง เพราะเธอไม่เคยคิดว่าเซี่ยเฟยจะเปิดเผยความรู้สึกต่อหน้าประชาชนทั้งหมด แต่ประโยคนี้ก็ทำให้น้ำตาได้หลั่งไหลออกมาจากดวงตาของเธออีกครั้ง เพียงแต่ในครั้งนี้มันไม่ใช่แววตาแห่งความสิ้นหวังแต่เป็นน้ำตาที่เต็มไปด้วยความสุข
แอวริลรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในจักรวาล นับตั้งแต่ที่เซี่ยเฟยเข้ามาช่วยชีวิตเธอเอาไว้มาจนถึงตอนนี้ที่เขาได้ประกาศสารภาพรักกับเธอต่อหน้าประชาชนทั้งหมด ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถเลียนแบบได้ง่าย ๆ
“พี่แอวริลพี่ชายคนนั้นกำลังพูดถึงพี่อยู่หรือเปล่าครับ?”
“พี่ชายเป็นแฟนพี่สาวเหรอคะ?”
“พี่จะแต่งงานกับเขาไหมคะ?”
เด็ก ๆ เริ่มถามด้วยความอยากรู้และถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าความรักคืออะไร แต่พวกเขาก็พอจะรู้ว่าความรักจะนำไปซึ่งอะไรหลังจากที่พวกเขาได้ดูละครมาอย่างมากมาย
แอวริลเช็ดน้ำตาด้วยรอยยิ้มที่เขินอาย แต่เธอก็พูดคำตอบออกไปอย่างจริงจัง
“แต่งสิ พี่จะแต่งงานกับเขา!”
***************