ตอนที่ 397 แผนการของบิทินี่
ตอนที่ 397 แผนการของบิทินี่
“ฝ่าบาทถ้าเหตุการณ์ทั้งสามเกิดขึ้นจากคนคนเดียวกัน มันก็เห็นได้ชัดเลยว่าเป้าหมายของเขาคือคุณ!!” ทูดี้อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
เซิร์กเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชอบเก็บตัวอย่างลึกลับและไม่ค่อยสื่อสารกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในจักรวาล นอกจากนี้พวกเขายังไม่เคยค้าขายกับเผ่าพันธุ์เพื่อนบ้าน ทำให้เผ่าพันธุ์อื่นไม่ล่วงรู้ถึงข้อมูลภายในเผ่าพันธุ์นี้เลย
จู่ ๆ เผ่าพันธุ์ที่ชอบเก็บตัวเผ่าพันธุ์นี้ก็เริ่มติดต่อทำธุรกิจกับมนุษย์ แต่น่าเสียดายที่การติดต่อธุรกิจครั้งนั้นเป็นเพียงข้ออ้างในการทำสงครามกับมนุษย์
เห็นได้ชัดเลยว่าเซิร์กเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่เชื่อใจเผ่าพันธุ์ใดทั้งนั้นนอกเหนือจากเผ่าพันธุ์เดียวกับตัวเอง ดังนั้นหากพวกเขาเดินทางไปยังดินแดนของเผ่าพันธุ์อื่น พวกเขาก็จะเข้าไปรุกรานเพื่อยึดครองดินแดนของเผ่าพันธุ์นั้น ๆ มันจึงทำให้ตัวตนของเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ไม่ได้อยู่ในสายตาของเผ่าพันธุ์เซิร์กเลยสักนิด
แต่ถึงแม้ว่าอูดี้จะอยู่ในสังคมแบบปิดแต่เขาก็ยังสามารถเชื่อมโยงพฤติกรรมของมนุษย์อย่างเซี่ยเฟยได้อย่างง่ายดาย และนี่ก็คือความสามารถที่ทำให้เขาได้มายืนอยู่บนตำแหน่งของราชา
“ถึงแม้ว่ามันจะเดินทางมาเพียงแค่ลำพัง แต่ระดับการฝึกฝนของมันก็อยู่ในระดับที่สูงมาก นอกจากนี้มันยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างแยบยล จนทำให้กองยานลาดตระเวนของเราตรวจจับตัวตนของมันในก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย บางทียานอวกาศของมันอาจจะมีวิธีการพิเศษอะไรบางอย่างที่ช่วยหลีกเลี่ยงการตรวจจับของยานลาดตระเวนไปได้”
“ฉันได้ลองวิเคราะห์รายงานการตรวจสอบของสถานีเรดาร์ทั้งหมดในพื้นที่บริเวณนั้นหมดแล้ว และได้พบว่าในช่วงเกิดเหตุระบบเรดาร์ได้ตรวจพบความผันผวนของพลังงานที่แปลกประหลาด ซึ่งมันไม่เหมือนการผันผวนของพลังงานแบบการวาร์ปโดยทั่วไป พวกเขาจึงคิดว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์แปลก ๆ ในจักรวาลและไม่ได้รายงานเรื่องนี้เข้ามาที่เต็นท์ทองคำ”
“แต่หลังจากพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมดดูดี ๆ ความผันผวนของพลังงานพวกนี้ก็เกิดขึ้นใกล้ ๆ กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งสามเหตุการณ์ ฉันจึงมั่นใจมากกว่า 90% ว่าเหตุการณ์ทั้งสามเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากมนุษย์คนเดียวกัน” อูดี้วิเคราะห์สถานการณ์
ทูดี้อดที่จะรู้สึกชื่นชมการวิเคราะห์ของอูดี้ขึ้นมาไม่ได้ เพราะทั้งตัวเขาและอูดี้ต่างก็ได้รับรายงานเกือบจะพร้อม ๆ กัน แต่เขาทำการวิเคราะห์รายงานพวกนั้นแบบผ่าน ๆ ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างเด่นชัด
แต่อูดี้กลับวิเคราะห์รายงานทุกอย่างโดยละเอียด และสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการเชื่อมโยงในลักษณะนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้ง่าย ๆ
“ไม่ว่ามันจะเป็นใครหรือมีระดับพลังสูงแค่ไหน แต่มันก็มีแนวโน้มสูงมากที่เป้าหมายของเขาจะมุ่งเป้ามาที่เมืองหลวง การป้องกันที่ดีที่สุดไม่ใช่การรอความตายอยู่เฉย ๆ แต่เป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันสั่งให้ซิปปี้, ลารี่กับเกาตี้ออกไปจากเต็นท์ทองคำพร้อมกับนาย เพื่อจัดการมนุษย์คนนั้นก่อนที่เขาจะเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงได้สำเร็จ”
“แต่ในระหว่างการลงมือให้ท่องจำเอาไว้ว่าพยายามจับเป็นมันให้ได้ ท้ายที่สุดกรงเล็บภูติโลหิตก็ยังคงอยู่กับมัน ดังนั้นก่อนที่จะได้สมุนไพรต้นนั้นกลับคืนมาเราต้องห้ามสังหารมันก่อนเด็ดขาด” อูดี้กล่าว
ทูดี้ทำได้เพียงแต่พยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ และแอบคร่ำครวญอยู่ในใจว่าเขาไม่ควรเอาชนะโซอี้เพื่อได้รับมอบหมายงานที่ยากลำบากแบบนี้เลย
มนุษย์คนนี้มีระดับพลังที่สูงมากและการพยายามจับเป็นนักสู้ระดับสูงแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งถ้าหากว่าเขารู้ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นแบบนี้ เขาก็คงจะเลือกโยนงานทั้งหมดให้กับโซอี้ตั้งแต่แรกแล้ว
“ฉันได้วิเคราะห์เส้นทางของมนุษย์คนนั้นแล้ว และฉันยังได้มอบนักรบศักสิทธิ์ทั้งสามคนเดินทางไปพร้อมกับนายด้วย นอกจากนี้ฉันยังวิเคราะห์ถึงร่องรอยก่อนที่เขาจะปรากฎตัว ดังนั้นถ้าหากว่านายยังทำงานนี้ไม่สำเร็จก็อย่าหาว่าฉันเป็นคนใจร้ายก็แล้วกัน” อูดี้กล่าว
“ท่านราชาโปรดไว้วางใจ ผมจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี” ทูดี้กล่าวพร้อมกับยืดหน้าอกรับอย่างหนักแน่น
อูดี้พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
“ฝ่าบาทการที่คุณส่ง 7 นักรบศักดิ์สิทธิ์ออกไปจากเต็นท์ทองคำครึ่งหนึ่งแบบนี้ มันก็จะทำให้เต็นท์ทองคำขาดการคุ้มกันที่หนาแน่นไป ไม่ทราบว่าผมควรจะสั่งให้ 12 ตะไลมาคุ้มกันเต็นท์ทองคำในระหว่างนี้ดีหรือเปล่า?” ทูดี้ถาม
“12 ตะไลแข็งแกร่งมากก็จริง แต่ในครั้งนี้ฉันได้ขอให้ท่านนักพรตเลยูตี้กลับมายังเมืองหลวงแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นจะต้องกังวลเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยอีกต่อไป” อูดี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
‘ฉันว่าแล้วว่าทำไมราชาที่กลัวตายที่สุดในประวัติศาสตร์ ถึงกล้าส่งนักรบศักดิ์สิทธิ์ออกไปจากเต็นท์ทองคำเป็นจำนวนมาก ที่แท้เขาก็ได้ร้องขอท่านเลยูตี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้วนี่เอง’ ทูดี้คิดกับตัวเองภายในใจ
—
เต็นท์ทองคำตั้งอยู่ในดินแดนอันรกร้างท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมของบรรพบุรุษที่เริ่มพัฒนาขึ้นมาจากดวงดาวอันรกร้าง จนกลายมาเป็นดวงดาวที่เจริญรุ่งเรืองอย่างในปัจจุบัน อูดี้จึงพยายามประพฤติตัวเช่นเดียวกันกับบรรพบุรุษโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเอาชนะใจผู้คนภายในเผ่า
อย่างไรก็ตามบิทินี่ก็ไม่สามารถที่จะทนอยู่ในดินแดนรกร้างแบบนี้ได้ตลอดเวลา อูดี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องสร้างที่พักให้เธออยู่ใกล้ ๆ กับทะเลสาบทองคำที่อยู่ห่างจากเต็นท์ทองคำออกมามากพอสมควร
หลังจากออกมาจากเต็นท์ทองคำบิทินี่ก็ขึ้นยานอวกาศขนาดเล็ก เพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพัก ริมทะเลสาบทองคำที่อยู่ห่างออกมาจากเต็นท์ทองคำประมาณ 800 กิโลเมตร
ทะเลสาบทองคำได้รับการตั้งชื่อตามสายแร่ทองคำที่อยู่ใต้ทะเลสาบ และถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งทองคำจะเคยเป็นแร่ที่มีค่า แต่บนดาวเคราะห์ดวงนี้มีทองคำอยู่เต็มไปหมด มันจึงทำให้ทองคำได้กลายเป็นเพียงแค่ของตกแต่งที่แม้แต่คนธรรมดาก็มีเครื่องประดับที่ทำขึ้นมาจากทองอย่างมากมาย
บริเวณด้านข้างทะเลสาบเป็นสวนขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าหากมองเข้าไปใกล้ ๆ สถานที่แห่งนี้ก็มีการตกแต่งคล้ายกับสถาปัตยกรรมของมนุษย์ เพียงแต่มันได้มีหัวใจจักรวาลสีแดงเป็นจำนวนมากนำมาตกแต่งอาคารในสวนแห่งนี้เอาไว้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้ในดินแดนมนุษย์อย่างเด็ดขาด
เผ่าพันธุ์เซิร์กเป็นเผ่าพันธุ์ที่สามารถผลิตหัวใจจักรวาลออกมาได้เป็นจำนวนมาก และพวกเขาก็ชอบที่จะนำแร่ชนิดนี้ไปใช้ในการประดับตกแต่งที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการฝังพวกมันเอาไว้บนพื้นหรือการฝังพวกมันเอาไว้ตามผนัง
สิ่งที่แตกต่างจากอาคารเซิร์กโดยทั่วไปนั้นก็คือ อาคารข้างทะเลสาบถูกประดับไว้ด้วยหัวใจจักรวาลเป็นจำนวนมาก คล้ายกับว่าบิทินี่พยายามให้อัญมณีทุกชนิดเปล่งประกายดั่งเช่นตัวของเธอ
ยานลำเล็กค่อย ๆ ลงจอดอย่างช้า ๆ ก่อนที่บิทินี่และสาวใช้อีกหลายคนจะเดินเข้าไปในบ้านของเธอ
ในสวนหลังบ้านมีเต็นท์สีน้ำเงินขนาดเล็กกว่าเต็นท์ทองคำอยู่เล็กน้อย ซึ่งอูดี้ได้สร้างมันขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้คนว่าเขายังคงให้ราชินีอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่สะดวกสบาย แต่ในความเป็นจริงบิทินี่ไม่เคยอาศัยอยู่ในเต็นท์หลังนั้นแม้แต่วินาทีเดียว เพราะเธอชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่สะดวกสบายมากกว่า
ด้านในบ้านได้มีการตกแต่งคล้ายกับบ้านของมนุษย์มาก เนื่องจากบิทินี่ชอบชีวิตหรูหราตามตำนานของมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้ว และเธอก็ชอบทั้งดนตรี, บทกวี, ภาพยนตร์และสิ่งบันเทิงต่าง ๆ ตราบใดก็ตามที่มันยังคงเป็นสิ่งบันเทิงของมนุษย์
ท้ายที่สุดความบันเทิงของเซิร์กก็ป่าเถื่อนมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ห้ำหั่นกันหรือการล่าสัตว์เพื่อความสนุกสนานต่างก็ไม่เคยสร้างความบันเทิงให้เธอเลยแม้แต่นิดเดียว เธอจึงชอบชีวิตแบบการจัดงานปาร์ตี้ดื่มสังสรรค์และเริ่มเต้นรำเหมือนกับวัฒนธรรมของพวกมนุษย์
น่าเสียดายที่เธอเกิดมาในเผ่าพันธุ์เซิร์กและเธอยังได้แต่งงานกับอูดี้ มันจึงทำให้โลกแห่งความฝันในจินตนาการของเธอห่างไกลจากความเป็นจริงมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
สาเหตุเดียวที่เธอสามารถสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาได้ นั่นก็เพราะว่าเธอซื้อทาสมนุษย์เข้ามาเป็นจำนวนมากเพื่อพยายามสานฝันในวัยเด็กให้ได้มากที่สุด
แน่นอนว่าอูดี้ย่อมรู้เรื่องรสนิยมของราชินีเป็นอย่างดี เพียงแต่เขาแสร้งปิดตาข้างเดียวราวกับว่าเขาไม่รับรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย เพราะท้ายที่สุดบิทินี่ก็คอยเอาอกเอาใจเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงแค่นี้จึงไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับเขามากนัก
บิทินี่เดินเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับแขวนผ้าคลุมหนังจิ้งจอกเอาไว้บนไม้แขวนของมนุษย์โบราณ โดยเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งทั้งหมดในห้องนี้ก็เป็นของที่เธอนำเข้ามาจากดินแดนของมนุษย์เหมือนกัน ซึ่งเพียงแค่ค่าขนส่งเพียงอย่างเดียวก็เป็นราคาที่คนโดยทั่วไปไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงมันแล้ว
“คุณหนูบิทินี่ นายท่านชิววี่กำลังรอคุณหนูอยู่ที่ห้องสมุดค่ะ”
“บอกให้พ่อรอแป๊บหนึ่ง ขอฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วฉันจะรีบออกไป” บิทินี่กล่าว
ไม่กี่นาทีต่อมาบิทินี่ที่เปลี่ยนมาใส่ชุดสีขาวก็เดินเข้าไปในห้องสมุดที่มีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่
“ทำไมจู่ ๆ พ่อถึงมาที่นี่ได้คะ?” บิทินี่ถามด้วยรอยยิ้ม
“ช่วงนี้พ่อแค่ไม่มีอะไรทำเลยมาเยี่ยมลูกสาวสุดที่รักสักหน่อย” ชิววี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน
บิทินี่เดินไปชงชาให้พ่อของเธอด้วยตัวเอง และถึงแม้ว่าในตอนนี้สถานะของเธอจะเปลี่ยนไป แต่เธอก็ยังคงปฏิบัติตัวต่อบิดาผู้ให้กำเนิดเช่นเดิม
“พวกเธอออกไปก่อน ฉันอยากคุยกับพ่อตามลำพัง”
“ได้ค่ะ”
เมื่อได้รับคำสั่งกลุ่มสาวใช้ก็เดินออกจากห้องสมุดแห่งนี้ไป
“พ่อรู้ไหมคะว่าตอนนี้กรงเล็บภูติโลหิตถูกขโมยออกไปแล้ว” บิทินี่กล่าวขึ้นมาเบา ๆ หลังจากที่พวกสาวใช้ออกไปจากห้อง
“รู้สิ พ่อถึงรีบมาหาลูกนี่ไง พ่อก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครขโมยมันไป แต่มันดีแล้วที่สมุนไพรนี้ไม่ได้อยู่ในมือของอูดี้” ชิววี่กล่าวพร้อมกับพยักหน้า
คำพูดของชิววี่เต็มไปด้วยความโหดร้าย และถึงแม้ว่าอูดี้จะเป็นลูกเขยของเขาแต่เขากลับพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“สมุนไพรถูกขโมยไปแล้วก็จริง แต่น่าเสียดายที่พ่อยังต้องแกล้งทำเป็นป่วยต่อไปก่อน” บิทินี่กล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“อะไรกันพ่อแค่ต้องเปลี่ยนหัวใจใหม่ทุก ๆ 2 ปีแค่นี้เอง ตราบใดก็ตามที่พ่อสามารถดึงอูดี้ลงมาจากบัลลังก์ได้ แม้แต่ความตายก็ยังเป็นเรื่องที่คุ้มค่า” ชิววี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่มากเกินไปสำหรับพ่ออยู่ดี หนูได้ยินมาว่าทุก ๆ การปลูกถ่ายหัวใจจะทำให้อายุขัยของพ่อสั้นลง” บิทินี่กล่าวขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย
“ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก พ่อไม่ใช่คนกลัวความตาย พ่อแค่กลัวว่ามันจะไม่ร่วงหล่นลงมาจากบัลลังก์มากกว่า ว่าแต่พ่อได้ยินว่าเมนี่ถูกสังหารในระหว่างที่โจรมาปล้นกรงเล็บภูติโลหิตไปใช่ไหม?” ชิววี่กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ใช่ค่ะ วันนี้อูดี้โกรธมากที่ลูกพี่ลูกน้องของตัวเองตายและสมุนไพรยังโดนขโมยออกไปอีก นักรบคนนั้นแข็งแกร่งมาก หนูได้ยินมาว่าเขาสามารถจัดการกับเมนี่ได้ในเวลาเพียงแค่ไม่นานเท่านั้น นอกจากนี้เขายังได้ขโมยกรงเล็บภูติโลหิตไปอีก อูดี้จึงรีบหารือกับผู้นำของนักรบศักดิ์สิทธิ์เพื่อวางแผนจะจัดการกับมนุษย์คนนี้” บิทินี่กล่าว
“ลูกไม่ได้ฟังรายละเอียดของพวกเขามาเหรอ?” ชิววี่กล่าวถาม
“หนูก็อยากฟังเหมือนกันค่ะ แต่ถึงแม้อูดี้จะเอาใจหนูเป็นอย่างดีแต่เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้หนูคอยฟังเรื่องที่สำคัญ ๆ” บิทินี่บ่น
“เราจะต้องหาทางช่วยมนุษย์คนนั้นให้ได้ อย่าให้เขาโดนจับได้เป็นอันขาด” ชิววี่กล่าวพร้อมกับลูบคางอย่างใช้ความคิด
“เขาเป็นมนุษย์ไม่ใช่เหรอคะ? แล้วเรื่องของเขาเกี่ยวอะไรกับเราด้วย?” บิทินี่ถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ลูกพูดแบบนั้นได้ยังไง ศัตรูของอูดี้ก็คือมิตรของเรา ตราบใดก็ตามที่เขาสร้างปัญหาให้กับอูดี้ได้ แค่นั้นมันก็มากพอที่พวกเราจะยื่นมือเข้าไปช่วยเขาแล้ว” ชิววี่กล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
***************
มีคนวางแผนกบฏ!!