[ตอนฟรี] ตอนที่ 17 : ยังไงข้าก็ไม่ใช่ปิศาจร้าย
ณ ประตูทางเข้าพระราชวังเทียนตี้
ไป่ยวี่เอ๋อยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นและไม่ได้ลุกไปไหนทั้งตลอดปี
ตอนนี้ชุดคลุมขนนกสีเพลิงที่นางสวมใส่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นดิน
แก้มที่เคยขาวกระจ่างใสในยามนี้ไม่มีแม้แต่เส้นเลือดฝาดให้เห็น มีเพียงใบหน้าที่ซีดเผือดและอ่อนแอ
ถึงแม้ไป่ยวี่เอ๋อจะเป็นองค์หญิงผู้โปรดปรานของสวรรค์และมีเพลิงวิเศษจูเชวี่ยคอยคุ้มกายนาง แต่การนั่งคุกเข่าทั้งปีโดยไม่ได้ทานข้าวแม้แต่เม็ดเดียวก็ทำให้นางอ่อนแอลงมากอยู่ดี
ในหนึ่งปีที่ผ่านมา จวินเซียวเหยาได้เข้าและออกพระราชวังเทียนตี้หลายครั้ง แน่นอนว่าเขาไม่เคยชายตามองนางแม้แต่ครั้งเดียว
ดวงใจของนางจมลึกลงเรื่อยๆ ในขณะที่กาลเวลาหมุนไป
นางรู้สึกว่าจวินเซียวเหยาอาจไม่อภัยให้กับนาง
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้วที่นางจะได้รับโอสถอมตะจากจวินเซียวเหยา นับประสาอะไรกับช่วยบิดาของตัวเอง
ส่วนดินแดนจูเชวี่ยโบราณ เพราะคำสั่งของจวินหลิงหลง พวกเขาถูกกำชับไม่ให้แจ้งข่าวแก่ไป่ยวี่เอ๋อว่าราชาแห่งจูเชวี่ยได้รับโอสถอมตะเแล้ว
ไป่ยวี่เอ๋อยังคงไม่รู้ตัวและสิ้นหวังไปทุกขณะ
ราวกับกำลังจมลงสู่ก้นลึกมหาสมุทร ปอดสองข้างกำลังจะขาดลมหายใจ และในดวงตาแดงสดก็มีเพียงแค่ความสิ้นหวัง
แต่ตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าอันเบาบางก็ดังขึ้น
ไป่ยวี่เอ๋อเงยหน้าโดยไม่รู้ตัวและเกือบลืมหายใจไปชั่วขณะ
ร่างที่นางเฝ้าโหยหาตลอดคืนและวันกำลังเดินตรงมา
จวินเซียวเหยาในชุดคลุมสีขาวที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ บริสุทธิ์หมดจดไร้มลทิน และมีผิวพรรณอันเปล่งประกาย
หนึ่งปีผ่านไป จวินเซียวเหยาอายุครบเก้าขวบพอดี เขาสูงขึ้นมากกว่าเก่า ใบหน้าของเขาราวกับถูกขัดเกลาโดยปรมาจารย์ช่างฝีมือแห่งสวรรค์ผู้เก่งกาจ หล่อเหลาจนน่าสิ้นใจตาย
เขาเดินตรงไปหาไป่ยวี่เอ๋อด้วยท่าทางอันสงบ
จวินหลิงหลงติดตามมาด้านหลังของเขาด้วย
“ข้าน้อยทำความเคารพใต้เท้า!”
นางรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกดีใจด้วยเช่นกัน
หนึ่งปีผ่านไป วันที่นางเฝ้ารอก็มาถึง
จวินเซียวเหยามองไปที่ไป่ยวี่เอ๋อ นางผอมลงมากและมีท่าทีที่สำนึกต่อความผิดอย่างใจจริง
แต่จวินเซียวเหยาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่มองอยู่อย่างนั้น
เห็นเช่นนี้ ไป่ยวี่เอ๋อกัดฟันและก้มคำนับอีกสามครั้งแก่จวินเซียวเหยาและกล่าว “ใต้เท้า ยวี่เอ๋อได้รับรู้ถึงความผิดที่ตัวเองก่อแล้ว ได้โปรด... ได้โปรดเมตตาแก่ยวี่เอ๋อสักครั้งหนึ่ง”
จวินเซียวเหยาเอ่ยเบาๆ “เป็นเรื่องดีที่เจ้ารู้ความผิดของตัวเอง ลุกขึ้นเถอะ ยังไงข้าก็ไม่ใช่ปิศาจร้ายหรอกนะ”
เมื่อจวินหลิงหลงได้ยินคำพูดของเขา นางรู้สึกคันปากอยากจะเถียงเล็กน้อย
ถ้าท่านไม่ใช่ปิศาจ แล้วที่ท่านปล่อยให้นางคุกเข่าเป็นปีล่ะ?
แม้แต่โอสถอมตะก็นำไปให้บิดานางแล้ว แต่ไป่ยวี่เอ๋อยังต้องคุกเข่าต่อไปโดยไม่บอกความจริงแก่นาง
ท่านเป็นปิศาจเฒ่าชัดๆ
“ขอบคุณ ขอบคุณใต้เท้า” ไป่ยวี่เอ๋อพยายามลุกขึ้นยืน ขาของนางชาและสั่นอยู่ครู่หนึ่ง
เห็นแบบนี้ จวินเซียวเหยาจึงสะบัดนิ้วของเขา ส่งเม็ดโอสถชั้นยอดไปที่มือของนาง
ไป่ยวี่เอ๋อรู้สึกปลื้มปีติมากกว่าเดิม
เม็ดโอสถชั้นยอดซึ่งราคาแพงเสียดฟ้าหากนำไปขายที่โลกภายนอก แต่จวินเซียวเหยากลับมอบให้นางเฉกเช่นของขวัญชิ้นหนึ่ง
ชั่วขณะ ไม่เพียงนางจะไม่ตำหนิจวินเซียวเหยา แต่นางกลับมีความรู้สึกขอบคุณแทน
ไป่ยวี่เอ๋อกลืนเม็ดโอสถและเริ่มฟื้นฟูความแข็งแกร่งทันที
จวินเซียวเหยายิ้มมุมปากเยาะเย้ยเล็กน้อย
เขาคงเชี่ยวชาญเรื่องตบหัวแล้วลูบหลังมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ
ผลการฟื้นฟูของเม็ดโอสถช่างน่าทึ่ง ความอ่อนแอของไป่ยวี่เอ๋อถูกขจัดออกไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงอาการบาดเจ็บสาหัสของราชาแห่งจูเชวี่ยแล้ว ไป่ยวี่เอ๋อกำหมัดแน่นและรู้สึกว่ามันยากมากที่จะเอ่ยคำพูดออกมา
แค่นี้ก็คาดไม่ถึงแล้วว่านางจะได้รับอภัยจากจวินเซียวเหยา
แล้วจะไปกล้าขอโอสถอมตะจากจวินเซียวเหยาได้อย่างไร
คิดได้ดังนี้แล้ว ไป่ยวี่เอ๋อสูดลมหายใจลึก โค้งคำนับแก่จวินเซียวเหยาและกล่าว “ขอบคุณใต้เท้าสำหรับความเมตตาในครั้งนี้ ยวี่เอ๋อขอตัวลา”
ไป่ยวี่เอ๋อถอนหายใจลึกในใจ ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถนำโอสถอมตะกลับไปให้บิดาได้
แต่ทันใดนั้น จวินหลิงหลงก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและเอ่ย “ไป่ยวี่เอ๋อ เจ้าไมได้ต้องการโอสถอมตะแล้วหรือ?”
ไป่ยวี่เอ๋อที่ได้ยินคำถาม นางยิ้มอย่างขมขื่นและตอบ “ข้าโชคดีมากแล้วที่ได้รับความเมตตาจากใต้เท้า แล้วยวี่เอ๋อจะกล้าร้องขอมากกว่านี้ได้อย่างไร?”
“ถ้างั้น ทำไมเจ้าไม่ลองติดต่อไปที่บ้านเกิดเจ้าดูล่ะ?” ดวงตาของจวินหลิงหลงเป็นประกายและกล่าว
ไป่ยวี่เอ๋อผงะอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนำแผ่นหยกออกมาเพื่อส่งข้อความไปหาดินแดนจูเชวี่ยโบราณ
และดินแดนจูเชวี่ยโบราณก็ตอบกลับมาเช่นกัน
“ตระกูลจวินได้มอบโอสถอมตะมาให้เมื่อไม่นานมานี้ และทั้งหมดคือของขวัญจากใต้เท้าบุตรพระเจ้า”
“ท่านราชาไม่เพียงแต่ฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บเท่านั้น แต่ท่านราชากำลังจะทะลวงไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน”
“ทั้งหมดนี้คือความกรุณาอันยิ่งใหญ่ของใต้เท้าบุตรพระเจ้า”
ข่าวทั้งหมดทำให้สมองของไป่ยวี่เอ๋อถึงกับขาวโพลนไปชั่วขณะ
จากนั้นนางก็แสดงออกถึงความตื่นเต้นอันเหลือเชื่อ
“ใต้เท้า เป็นท่านเอง…”
ไป่ยวี่เอ๋อรู้สึกร้อนผ่าวที่ดวงตา นางจ้องมองไปที่จวินเซียวเหยาและสะอื้นไห้
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่ปิศาจ” จวินเซียวเหยายิ้มเล็กน้อย
ในตอนนี้ ตัวตนของจวินเซียวเหยาถูกสลักลึกลงไปในจิตใจของไป่ยวี่เอ๋อเรียบร้อยแล้ว
จากภายในถึงภายนอกร่างกาย มีแต่จวินเซียวเหยาผู้เดียว ราวกับว่านางคือตัวแทนของเขา
หัวใจของนางถูกจวินเซียวเหยาแทรกซึมลึกลงไปจนยากที่จะลบเลือนชั่วชีวิต
มันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่คนผู้หนึ่งกำลังจมลึกสู่ก้นบึ้งแห่งความสิ้นหวัง แต่แล้ว กลับมีคนมาช่วยดึงขึ้นมาให้พบเจอกับความหวังอันยิ่งใหญ่
และความหวังเหล่านั้นก็มาพร้อมกับชายคนนี้ จวินเซียวเหยา
“จากนี้ไป ยวี่เอ๋อจะขอรับใช้ใต้เท้าบุตรพระเจ้าไปตลอดชีวิตด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าจะในฐานะทาสหรือสาวใช้ ยวี่เอ๋อจะไม่มีวันขัดคำสั่งโดยเด็ดขาด หากผิดต่อคำสัตย์สาบานเหล่านี้ ขอฟ้าดินจงลงโทษด้วยทัณฑ์สวรรค์ในทันที!”
ไป่ยวี่เอ๋อคุกเข่าลงต่อหน้าจวินเซียวเหยาและสาบานด้วยความหนักแน่น
ก่อนหน้า นางคุกเข่าลงเพื่อขอความเมตตา แต่ในคราวนี้ นางคุกเข่าลงและยอมจำนนต่อจวินเซียวเหยาด้วยความเต็มใจ
จบคำสาบานไม่นาน เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธก็ดังมาจากด้านนอกตระกูลจวิน
“บุตรพระเจ้าแห่งตระกูลจวินอยู่ไหน? เจ้าใช้ทักษะลับอะไร ทำไมถึงกล้ารังแกหญิงสาวผู้อ่อนแอ? เจ้ากล้ามาเจอกับข้ารึเปล่า!”
เสียงนี้ดังราวกับท้องฟ้ากำลังคำรามสะเทือนโลก
สมาชิกตระกูลจวินหลายคนตื่นตระหนก
องครักษ์ผู้หนึ่งเข้ามาด้านข้างจวินเซียวเหยาและรายงาน
“ใต้เท้า มีชายหนุ่มอวดดีคนหนึ่งอยู่ด้านนอกประตู เขาน่าจะมาจากดินแดนชิงหลงโบราณ”
“หืม… ดูเหมือนว่าคู่หมั้นผู้นี้จะไม่รู้ขอบเขตของตัวเองสินะ…” จวินเซียวเหยาเย้ยหยันอยู่ในใจ
เขาเอ่ยเบาๆ “ปล่อยให้เข้ามา ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“ขอรับ” องครักษ์ถอยออกไป
ไป่ยวี่เอ๋อที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นหน้าซีดอีกครา
จวินเซียวเหยาเพิ่งจะให้อภัยนาง แต่ตอนนี้คู่หมั้นของนางกลับมายั่วยุเขา นี่ไม่ใช่การทำร้ายนางหรอกหรือ?
ในตอนนี้ ไป่ยวี่เอ๋อเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับเซียวเฉินผู้เป็นคู่หมั้นของนางเล็กน้อย
“ใต้เท้า ข้า…” นางหวาดกลัวและรีบร้อนที่จะแก้ต่างให้กับตัวเอง
“ไม่มีปัญหาหรอก” จวินเซียวเหยาโบกมือ
เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งในชุดคลุมมังกรครามก็มาถึง
เมื่อเขาเห็นไป่ยวี่เอ๋อกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าจวินเซียวเหยา ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงและปลดปล่อยจิตสังหารไปทั่วบริเวณในทันที
สำหรับผู้ชายแล้ว ย่อมรับไม่ได้ที่คู่หมั้นของตัวเองจะไปนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเพศตรงข้าม
“ยวี่เอ๋อ ลุกขึ้นซะ ชายคนนี้ช่างกล้าหาญนักที่ข่มเหงเจ้าแบบนี้!” เซียวเฉินตะโกนด้วยความโมโห
แต่..
“เซียวเฉิน เงียบซะ เจ้ากล้าดียังไงถึงทำตัวหยาบคายต่อท่านใต้เท้า!” ไปยวี่เอ๋อดุเขากลับทันที
เซียวเฉินตกใจและหันไปมองไป่ยวี่เอ๋อด้วยความไม่อยากจะเชื่อทันที
“ยวี่เอ๋อ ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้านะ ทำไมเจ้าถึงไปเข้าข้างมันล่ะ?” เซียวเฉินงงและงงยิ่งกว่าเดิม
“พอเท่านั้นแหละ ข้ายอมคุกเข่าด้วยความเต็มใจของข้าเองจนใต้เท้ายินยอมที่จะให้อภัยข้า แค่นี้ข้าก็พอใจมากแล้ว แล้วเจ้าจะมายุ่งเกี่ยวเพื่ออะไร?” ไป่ยวี่เอ๋อกล่าวอย่างเย็นชา
เดิมที นางก็พอจะชอบเซียวเฉินอยู่ไม่มากนัก
แต่ดินแดนชิงหลงโบราณกลับผิดคำสัญญาและปฏิเสธที่จะมอบโอสถอมตะให้กับดินแดนจูเชวี่ยโบราณ
นางกระทั่งพูดคุยกับเซียวเฉินก่อนหน้าและเขาก็รับปากกับนาง แต่จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของโอสถอมตะ
หากจวินเซียวเหยาไม่ได้มอบโอสถอมตะให้ บิดาของนางคงไม่รอดจากอาการบาดเจ็บเป็นแน่
ดังนั้นระหว่างจวินเซียวเหยากับเซียวเฉิน ใครกันที่เมตตาต่อนาง?
“ยวี่เอ๋อ ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนี้ล่ะ? เพราะมันบังคับให้เจ้าทำแบบนี้ใช่หรือเปล่า?”
เซียวเฉินกัดฟันแน่น ในใจของเขาเดือดดาลมากยิ่งกว่าเดิม
(หากมีคำแนะนำหรือข้อติเตียน สามารถคอมเมนท์เพื่อบอกกล่าวได้นะครับ ^ ^ ขอบพระคุณมากครับที่สละเวลาอ่านจนจบ)