[ตอนฟรี] ตอนที่ 13 : แขกผู้มาเยือน
*** ขออนุญาตเปลี่ยนจากผู้ฝึกตนให้เป็นผู้บ่มเพาะแทน *** ขอบเขตวังศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนเป็น วิหารศักดิ์สิทธิ์ *** เทพโกลาหลบดขยี้วิญญาณ เปลี่ยนเป็น วิถีเทพเกลาวิญญาณ
ตระกูลจวิน ภายในพระราชวังเทียนตี้
ที่นั่น จวินเซียวเหยากำลังนั่งขัดขาอยู่ภายในห้องฝึกส่วนตัวห้องหนึ่ง
รอบตัวของเขารายล้อมไปด้วยศิลาปราณเทวะคุณภาพล้ำเลิศ พวกมันปลดปล่อยกลิ่นอายอันอุดมสมบูรณ์ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ในดินแดนอมตะ ผู้บ่มเพาะทั่วไปจะบ่มเพาะด้วยศิลาปราณธรรมดาเป็นหลัก
ส่วนผู้บ่มเพาะในนิกายหรือขุมกำลังชั้นยอดจะบ่มเพาะด้วยศิลาปราณที่ล้ำค่ายิ่งกว่า
มีเพียงขุมกำลังอย่างตระกูลโบราณ นิกายสูงสุด และราชวงศ์อมตะเท่านั้นที่สามารถแบกรับการบ่มเพาะด้วยศิลาปราณเทวะซึ่งล้ำค่ามากที่สุดไหว
แต่มีสิ่งที่เหนือยิ่งกว่าศิลาปราณเทวะขึ้นไปอีกระดับ นั่นคือศิลาปราณอมตะ ทว่ามันยากนักที่จะได้รับมา และตระกูลโบราณทั่วไปก็ไม่สามารถสกัดออกมาได้มากนัก
ศิลาปราณยังแบ่งระดับคุณภาพได้อีกสี่ขั้นได้แก่ ต่ำ กลาง สูง และดีเลิศ
สิ่งที่จวินเซียวเหยากำลังใช้ในการบ่มเพาะคือศิลาปราณเทวะซึ่งล้ำค่ามากที่สุดนอกจากศิลาปราณอมตะ
กล่าวได้ว่าหากจวินเซียวเหยาเผลอหยิบศิลาปราณเทวะคุณภาพระดับต้นๆ ออกไปสู่โลกภายนอก จะต้องมีกลุ่มพวกโลภมากจ้องจะแย่งชิงจากเขาอย่างแน่นอน
...
ในเวลานี้ จวินเซียวเหยากำลังนั่งขัดขาพร้อมดวงตาที่ปิดอยู่
ภายในความคิดของเขา ปรากฏวิหารอันสง่าสามส่องแสงเจิดจรัส
นี่คือวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ควบแน่นโดยพลังวิญญาณของเขา
ห้าระดับขั้นของการฝึกฝนร่างกายและห้าระดับขั้นของการฝึกฝนภายในคือการบ่มเพาะทางกายภาพจนถึงขีดสุด
เก้าสวรรค์ทะเลจิตวิญญาณเป็นขอบเขตแห่งการบ่มเพาะจุดตันเถียน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อปริมาณของพลังปราณ
และเก้าสวรรค์วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นขอบเขตที่จะเสริมพลังความแข็งแกร่งให้กับวิญญาณ
เหลือเพียงแค่รอเวลาที่จวินเซียวเหยาจะทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตแก่นแท้จิตวิญญาณ
ในเวลานั้น แก่นแท้จิตวิญญาณของเขาจะก่อกำเนิดขึ้นภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ยกระดับให้พลังวิญญาณพุ่งสูงไปสู่ขอบเขตอันลึกล้ำกว่าเก่า
ในอนาคต แก่นแท้จิตวิญญาณกระทั่งสามารถพัฒนาไปสู่สภาวะจิตบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถแยกจิตวิญญาณออกจากกายาและเดินทางไปได้ทั่วทุกมุมจักรวาล
“วิถีเทพเกลาวิญญาณนี้มันยอดเยี่ยมจริงๆ …” จวินเซียวเหยากล่าวกับตัวเอง
ภายในความคิดของเขา ราวกับว่าโลกที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายได้ถือกำเนิดขึ้น
ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายนั้น ปรากฏโม่บดแห่งเทพอันมหึมาไร้แววจุดสิ้นสุด กำลังหมุนวนไปอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังบดขยี้โลกให้เป็นผุยผง
โม่บดแห่งเทพนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบแห้งโลหิตของเหล่าเทพและปิศาจผสมปนเปกันไป
วิถีเทพเกลาวิญญาณนี้มีพื้นฐานการฝึกฝนโดยการทุบทำลายจิตสำนึกและวิญญาณของมนุษย์ จากนั้นสร้างจิตสำนึกและวิญญาณขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา
วิญญาณของจวินเซียวเหยาแข็งแกร่งขึ้นในทุกขณะ เมื่อจิตวิญญาณถูกบดทลายและสร้างขึ้นใหม่
“ถ้าคนทั่วไปฝึกฝนด้วยวิธีการนี้ ดูแล้วคงจะทรมานจนขาดใจตายก่อนจะฝึกสำเร็จ แต่สำหรับข้า มันไม่ได้รู้สึกยากเย็นมากนัก” จวินเซียวเหยาคิด
บางทีอาจเป็นเพราะจิตวิญญาณของเขาได้ก้าวผ่านมาเกิดในโลกใบใหม่ ดังนั้นพลังวิญญาณของเขาจึงเหนือกว่าคนทั่วไปอย่างมาก
โม่บดแห่งเทพนี้ช่วยเหลือเขาอย่างมหาศาลและไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บแม้แต่น้อย
“และยิ่งการบ่มเพาะของข้าก้าวหน้ามากขึ้นในอนาคต ข้าน่าจะควบคุมโม่บดแห่งเทพได้โดยตรงด้วยพลังวิญญาณของข้า มันต้องเป็นไพ่ลับในมืออีกใบที่ใช้ต่อสู้ได้ดีทีเดียว”
“ข้าทนไหวต่อความเจ็บปวดนี้ แต่คู่ต่อสู้ของข้าคงไม่” จวินเซียวเหยาถอนหายใจโล่งอก
ดูเหมือนว่าเขาจะมีไพ่ลับอันทรงพลังในมือเพิ่มขึ้นอีกใบ
...
ในเวลาเดียวกัน เหนือท้องฟ้าดินแดนหวงโจว
นกยูงอัคคีตัวหนึ่งกำลังลากจูงราชรถอันงดงาม สยายปีกกระพือผ่านท้องฟ้า เหลือเพียงภาพติดตาเป็นแสงเพลิงที่งดงาม
สิ่งนี้ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน
“เฮ้ ราชรถนั่นมีตราสัญลักษณ์จูเชวี่ย (หงส์เพลิง) ด้วย น่าจะเป็นราชรถจากดินแดนจูเชวี่ยโบราณหรือเปล่า?”
“จริงด้วย ลือกันว่าเหล่าราชวงศ์ของดินแดนจูเชวี่ยโบราณจะนั่งราชรถที่มีนกยูงอัคคีเป็นพาหนะ เป็นไปได้รึเปล่าว่านั่นคือเจ้าหญิงผู้งดงาม ไป่ยวี่เอ๋อ?”
“ดูจากทิศที่กำลังบินไปแล้ว จุดหมายนั่นคือเขตแดนของตระกูลจวิน!”
การมาถึงของราชรถนี้ทำให้หลายคนต้องหันมาสนทนาพูดคุย
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ราชรถก็ได้จอดลงก่อนถึงเขตแดนตระกูลจวิน
เหนือน่านฟ้าทั่วทั้งเขตแดนตระกูลจวินยกเว้นคนของตระกูลแล้ว ผู้คนจากขุมกำลังอื่นที่กล้าเดินทางตัดผ่านน่านฟ้าตระกูลจวินอย่างซี้ซั้วจะถูกนับว่าเป็นผู้บุกรุกและถูกสังหารในทันที
ประตูราชรถถูกเปิดออก ปรากฏสตรีผู้งดงามในชุดคลุมขนนกสีเพลิงก้าวออกมา นางคือไป่ยวี่เอ๋อ
นางมาเพียงผู้เดียวในคราวนี้โดยไม่มีผู้ติดตาม
ไป่ยวี่เอ๋อมองไปโดยรอบ ภายในเขตแดนตระกูลจวินนั้นมีเกาะเทพสวรรค์นับไม่ถ้วนกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ ถ้ำสรวงสวรรค์และสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์หลากหลายรูปแบบส่องประกายแสงระยิบระยับ
นี่ทำให้หัวใจของไป่ยวี่เอ๋อตกตะลึง
ถึงแม้ดินแดนจูเชวี่ยโบราณจะเป็นขุมกำลังชั้นยอดที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่มายาวนาน
แต่เมื่อเทียบกับตระกูลจวินอันเป็นตระกูลโบราณแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย ถึงกระนั้นไป่ยวี่เอ๋อกลับยิ้มมุมปากแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเองและมีร่องรอยของความเหยียดหยาม
ถึงแม้ตระกูลจวินจะยิ่งใหญ่มากแค่ไหน แล้วมันสำคัญยังไงล่ะ?
นายน้อยแห่งตระกูลจวินยังคงลุ่มหลงในร่างกายของนางและยอมมอบโอสถอมตะให้นางอยู่ดี
แต่ไป่ยวี่เอ๋อได้ตัดสินใจไว้แล้วว่านางจะไม่ยอมพลีกายให้นายน้อยแห่งตระกูลจวินง่ายๆ
ท้ายที่สุด นางก็มีพันธสัญญาการหมั้นหมายอยู่แล้ว
หากมีเหตุการณ์อย่างว่าเกิดขึ้นในเวลานั้น ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการสวมเขาให้กับองค์ชายใหญ่แห่งดินแดนชิงหลงโบราณหรอกหรือ?
หลังจากทบทวนทุกอย่างดีแล้ว ไป่ยวี่เอ๋อก็ก้าวไปด้านหน้า
ทางเข้าสู่ตระกูลจวินถูกพิทักษ์โดยองครักษ์ตระกูลจวินผู้สูงใหญ่ราวกับปราการเหล็กกล้าที่เต็มไปด้วยพละกำลังอันท่วมท้น
“ผู้มาเยือนจงหยุด และกล่าวชื่อของเจ้าออกมา”
องครักษ์กล่าวอย่างเฉยเมย
“ข้า เจ้าหญิงแห่งดินแดนจูเชวี่ยโบราณนามไป่ยวี่เอ๋อ และข้ามาที่นี่เพื่อแสดงความเคารพต่อจวินหลิงหลง” ไป่ยวี่เอ๋อกล่าวด้วยโทนเสียงราบเรียบ
“มาพบเทพธิดารึ? เจ้ามีเหรียญตราเข้าพบหรือไม่ หากไม่ จงไสหัวไปให้พ้นซะ” องครักษ์กล่าวอย่างเฉยเมยอีกครั้ง
ใบหน้าอันบอบบางของไป่ยวี่เอ๋อถึงกับแข็งค้าง
ท้ายที่สุด ข้าก็มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งดินแดนเชียวนะ นี่ขนาดองครักษ์ตระกูลจวินที่เฝ้าทางเข้ายังกล้าที่จะหยาบคายใส่ข้าเช่นนี้
แต่ครั้งนี้นางมาเพื่อร้องขอบางสิ่ง ดังนั้นนางจึงทำได้แค่อดทนเอาไว้และหยิบแผ่นหยกที่ใช้สื่อสารกับจวินหลิงหลงออกมามอบให้
“เข้าไปได้” องครักษ์โบกมือส่งสัญญาณอย่างเฉยเมยอีกเช่นเคย
ไป่ยวี่เอ๋ออดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากของนาง
...
ในอีกด้านหนึ่ง จวินหลิงหลงก็มาพบจวินเซียวเหยาเช่นกัน
“นายท่าน นางมาถึงแล้ว” จวินหลิงหลงกล่าว
“ไปกัน ไปต้อนรับเจ้าหญิงกันหน่อย”
จวินเซียวเหยาที่กำลังนั่งขัดขาลุกขึ้นยืน ชุดขาวที่สวมใส่เมื่อรวมกับใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาแล้วยิ่งทำให้หล่อเหลามากขึ้น ถึงแม้เขาจะเพิ่งแปดขวบ แต่รูปร่างก็สูงโปร่งราวกับเด็กหนุ่มแล้ว
ที่นั่น ไป่ยวี่เอ๋อได้เดินเข้ามาสู่ลานกว้างอันงดงาม ให้อารมณ์ราวกับกำลังเดินอยู่ในสรวงสวรรค์
จวินหลิงหลงได้นัดหมายกับนางไว้ที่นี่
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ไป่ยวี่เอ๋อที่ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันไปมอง
นางเห็นเพียงเด็กหนุ่มสูงโปร่งที่มีผิวขาวราวกับหยกสวรรค์กำลังก้าวมาอย่างช้าๆ
เด็กหนุ่มนั้นราวกับเทพบุตรผู้มีรูปลักษณ์อันสง่างามและใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่เปรียบ ทั่วทั้งร่างกายมีแสงประกายปกคลุมอยู่บางๆ
ไป่ยวี่เอ๋อถึงกับตกตะลึงไป
นางได้พบเจอเหล่าอัจฉริยะหรือดาวเด่นมามากมาย นับแล้วก็ไม่น้อยเลย อีกทั้งคนเหล่านั้นยังมีหน้าตาที่หล่อเหลาและมีเสน่ห์ล้นเหลือ
แต่หากเทียบกับเด็กหนุ่มข้างหน้านางแล้ว คนเหล่านั้นราวกับหิ่งห้อยที่ส่องแสงแข่งกับแสงจันทร์ ราวกับปลาดุกจะเทียบเคียงกับมังกรที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่นำมาเปรียบเทียบได้เลยแม้แต่น้อย
แม้แต่คู่หมั้นของนาง องค์ชายใหญ่แห่งดินแดนชิงหลงโบราณที่หล่อเหลาและมีพรสวรรค์สูงส่ง เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กหนุ่มข้างหน้านางแล้วก็ดูมืดมนลงไปเลยทีเดียว
ด้านข้างจวินเซียวเหยา จวินหลิงหลงในชุดคลุมหลวงกำลังเดินตามเขามาอย่างช้าๆ
ไป่ยวี่เอ๋อสูดลมหายใจลึกเมื่อนางเห็นรายละเอียดเล็กๆ นี้
จวินหลิงหลงคือธิดาสูงศักดิ์แห่งตระกูลจวิน นางคือคนที่จะต้องถูกประจบประแจงจากผู้อื่นไม่ใช่รึ แต่ทำไมตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนนางกลายเป็นสาวใช้ล่ะ?
“นายน้อยตระกูลจวินผู้นี้มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไรกันนะ? เป็นไปได้รึเปล่าว่าเขามีสถานะลำดับ?” หัวใจของไป่ยวี่เอ๋อถึงกับเต้นเร็วขึ้น
“เจ้าคือไป่ยวี่เอ๋อ?” จวินเซียวเหยาถามเสียงเบา
“เป็นข้าเอง” ไป่ยวี่เอ๋อคำนับเล็กน้อย แต่นางก็ค่อนข้างสงวนท่าทางตัวเองเช่นกัน
นางกลับมามีสติอีกครั้ง
ไม่สำคัญว่าเด็กหนุ่มข้างหน้าของนางจะยิ่งใหญ่แค่ไหน เขาต้องมีแผนการที่ไม่ดีต่อนางอยู่แน่นอน
ดังนั้นในกรณีนี้ ไม่มีความจำเป็นสำหรับนางที่จะต้องอ่อนน้อมจนต้องลดทอนคุณค่าของตัวนางเอง
“เจ้าต้องการโอสถอมตะเพื่อนำไปรักษาบิดาของเจ้าถูกต้องรึไม่?” จวินเซียวเหยาพูดต่อ
“ถูกต้อง ข้าหวังว่านายน้อยจะแสดงความเมตตาและหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับข้าได้” ไป่ยวี่เอ๋อกล่าวอย่างใจเย็นโดยไม่มีร่องรอยของความนอบน้อมแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเห็นบรรยากาศเป็นแบบนี้ จวินเซียวเหยาเลิ่กคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ข้าควรจะรู้สึกยังไงดีกับทัศนคติแบบนี้…
นี่มันไม่ถูกต้องนัก
มันดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มาเพื่อร้องขอโอสถอมตะเลยสักนิด แต่มาเพื่อขอราวกับมันเป็นเรื่องปกติ
“โอ้? แล้วเจ้าบอกเหตุผลที่ข้าต้องมอบให้เจ้าหน่อยได้รึเปล่าล่ะ ท้ายที่สุดแล้ว โอสถอมตะก็ไม่ได้ตกมาจากฟ้าหรอกนะ” จวินเซียวเหยากล่าวเบาๆ
ไป่ยวี่เอ๋อนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นนางจึงยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากด้วยความเยาะเย้ย
จริงอย่างที่คาดไว้ มีจุดประสงค์บางอย่างสินะ?
ยังไงก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้สำหรับไป่ยวี่เอ๋อที่จะขอโอสถอมตะมาด้วยเงื่อนไขของนางเอง
นางเอ่ยปากและกล่าว “นายน้อยคือตัวตนพิเศษ แน่นอนว่าท่านจะต้องมีสถานะที่ดีในตระกูลจวินและไม่ขาดแคลนโอสถอมตะ ท่านสามารถรักษาชีวิตผู้คนได้ด้วยการหยิบยื่นโอสถอมตะเพียงแค่หนึ่งต้น”
“ไม่เพียงแค่นั้น การช่วยเหลือบิดาข้าย่อมหมายถึงการช่วยชีวิตประชาชนนับร้อยล้านในดินแดนจูเชวี่ยโบราณด้วยเช่นกัน”
“สำหรับนายน้อยแล้ว นี่เป็นเพียงความพยายามที่เล็กน้อย แต่ท่านจะได้รับทั้งความดีความชอบและชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ เช่นนี้แล้วท่านจะไม่ต้องการหรือ?”
ไป่ยวี่เอ๋อเอ่ยปากออกมาราวกับว่านางคือจุดสูงสุดของคุณธรรมอันดีงาม
จวินเซียวเหยามีความสามารถที่จะช่วยได้ ทำไมจะไม่ช่วยล่ะ?
พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง ใช่รึเปล่า?
เมื่อได้ยินคำพูดคำจาที่คุ้นเคยแบบนี้ จวินเซียวเหยาอยากจะหัวเราะออกมาแทน
นี่ทำให้เขานึกถึงพวกเกรียนคีย์บอร์ดในชีวิตที่แล้วของเขาที่ใช้คีย์บอร์ดพิมพ์บังคับคนดังและคนรวยให้บริจาคเงินกัน
“แล้ว นี่ข้าถูกตีกรอบด้วยคำว่าคุณธรรมอันดีงามไปด้วยเช่นกันรึ?” จวินเซียวเหยาถึงกับพูดไม่ออก
(กำลังพยายามกลับมาแปลต่อ หากมีคำแนะนำหรือข้อติเตียน สามารถคอมเมนท์เพื่อบอกกล่าวได้นะครับ ^ ^ ขอบพระคุณมากครับที่สละเวลาอ่านจนจบ)