ตอนที่แล้ว[ตอนฟรี] ตอนที่ 12 : เจ้าหญิงแดนโบราณร้องขอโอสถ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[ตอนฟรี] ตอนที่ 14 : ความอวดดีที่ไม่สมควร

[ตอนฟรี] ตอนที่ 13 : แขกผู้มาเยือน


*** ขออนุญาตเปลี่ยนจากผู้ฝึกตนให้เป็นผู้บ่มเพาะแทน *** ขอบเขตวังศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนเป็น วิหารศักดิ์สิทธิ์ *** เทพโกลาหลบดขยี้วิญญาณ เปลี่ยนเป็น วิถีเทพเกลาวิญญาณ

ตระกูลจวิน ภายในพระราชวังเทียนตี้

ที่นั่น จวินเซียวเหยากำลังนั่งขัดขาอยู่ภายในห้องฝึกส่วนตัวห้องหนึ่ง

รอบตัวของเขารายล้อมไปด้วยศิลาปราณเทวะคุณภาพล้ำเลิศ พวกมันปลดปล่อยกลิ่นอายอันอุดมสมบูรณ์ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

ในดินแดนอมตะ ผู้บ่มเพาะทั่วไปจะบ่มเพาะด้วยศิลาปราณธรรมดาเป็นหลัก

ส่วนผู้บ่มเพาะในนิกายหรือขุมกำลังชั้นยอดจะบ่มเพาะด้วยศิลาปราณที่ล้ำค่ายิ่งกว่า

มีเพียงขุมกำลังอย่างตระกูลโบราณ นิกายสูงสุด และราชวงศ์อมตะเท่านั้นที่สามารถแบกรับการบ่มเพาะด้วยศิลาปราณเทวะซึ่งล้ำค่ามากที่สุดไหว

แต่มีสิ่งที่เหนือยิ่งกว่าศิลาปราณเทวะขึ้นไปอีกระดับ นั่นคือศิลาปราณอมตะ ทว่ามันยากนักที่จะได้รับมา และตระกูลโบราณทั่วไปก็ไม่สามารถสกัดออกมาได้มากนัก

ศิลาปราณยังแบ่งระดับคุณภาพได้อีกสี่ขั้นได้แก่ ต่ำ กลาง สูง และดีเลิศ

สิ่งที่จวินเซียวเหยากำลังใช้ในการบ่มเพาะคือศิลาปราณเทวะซึ่งล้ำค่ามากที่สุดนอกจากศิลาปราณอมตะ

กล่าวได้ว่าหากจวินเซียวเหยาเผลอหยิบศิลาปราณเทวะคุณภาพระดับต้นๆ ออกไปสู่โลกภายนอก จะต้องมีกลุ่มพวกโลภมากจ้องจะแย่งชิงจากเขาอย่างแน่นอน

...

ในเวลานี้ จวินเซียวเหยากำลังนั่งขัดขาพร้อมดวงตาที่ปิดอยู่

ภายในความคิดของเขา ปรากฏวิหารอันสง่าสามส่องแสงเจิดจรัส

นี่คือวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ควบแน่นโดยพลังวิญญาณของเขา

ห้าระดับขั้นของการฝึกฝนร่างกายและห้าระดับขั้นของการฝึกฝนภายในคือการบ่มเพาะทางกายภาพจนถึงขีดสุด

เก้าสวรรค์ทะเลจิตวิญญาณเป็นขอบเขตแห่งการบ่มเพาะจุดตันเถียน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อปริมาณของพลังปราณ

และเก้าสวรรค์วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นขอบเขตที่จะเสริมพลังความแข็งแกร่งให้กับวิญญาณ

เหลือเพียงแค่รอเวลาที่จวินเซียวเหยาจะทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตแก่นแท้จิตวิญญาณ

ในเวลานั้น แก่นแท้จิตวิญญาณของเขาจะก่อกำเนิดขึ้นภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ยกระดับให้พลังวิญญาณพุ่งสูงไปสู่ขอบเขตอันลึกล้ำกว่าเก่า

ในอนาคต แก่นแท้จิตวิญญาณกระทั่งสามารถพัฒนาไปสู่สภาวะจิตบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถแยกจิตวิญญาณออกจากกายาและเดินทางไปได้ทั่วทุกมุมจักรวาล

“วิถีเทพเกลาวิญญาณนี้มันยอดเยี่ยมจริงๆ …” จวินเซียวเหยากล่าวกับตัวเอง

ภายในความคิดของเขา ราวกับว่าโลกที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายได้ถือกำเนิดขึ้น

ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายนั้น ปรากฏโม่บดแห่งเทพอันมหึมาไร้แววจุดสิ้นสุด กำลังหมุนวนไปอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังบดขยี้โลกให้เป็นผุยผง

โม่บดแห่งเทพนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบแห้งโลหิตของเหล่าเทพและปิศาจผสมปนเปกันไป

วิถีเทพเกลาวิญญาณนี้มีพื้นฐานการฝึกฝนโดยการทุบทำลายจิตสำนึกและวิญญาณของมนุษย์ จากนั้นสร้างจิตสำนึกและวิญญาณขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา

วิญญาณของจวินเซียวเหยาแข็งแกร่งขึ้นในทุกขณะ เมื่อจิตวิญญาณถูกบดทลายและสร้างขึ้นใหม่

“ถ้าคนทั่วไปฝึกฝนด้วยวิธีการนี้ ดูแล้วคงจะทรมานจนขาดใจตายก่อนจะฝึกสำเร็จ แต่สำหรับข้า มันไม่ได้รู้สึกยากเย็นมากนัก” จวินเซียวเหยาคิด

บางทีอาจเป็นเพราะจิตวิญญาณของเขาได้ก้าวผ่านมาเกิดในโลกใบใหม่ ดังนั้นพลังวิญญาณของเขาจึงเหนือกว่าคนทั่วไปอย่างมาก

โม่บดแห่งเทพนี้ช่วยเหลือเขาอย่างมหาศาลและไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บแม้แต่น้อย

“และยิ่งการบ่มเพาะของข้าก้าวหน้ามากขึ้นในอนาคต ข้าน่าจะควบคุมโม่บดแห่งเทพได้โดยตรงด้วยพลังวิญญาณของข้า มันต้องเป็นไพ่ลับในมืออีกใบที่ใช้ต่อสู้ได้ดีทีเดียว”

“ข้าทนไหวต่อความเจ็บปวดนี้ แต่คู่ต่อสู้ของข้าคงไม่” จวินเซียวเหยาถอนหายใจโล่งอก

ดูเหมือนว่าเขาจะมีไพ่ลับอันทรงพลังในมือเพิ่มขึ้นอีกใบ

...

ในเวลาเดียวกัน เหนือท้องฟ้าดินแดนหวงโจว

นกยูงอัคคีตัวหนึ่งกำลังลากจูงราชรถอันงดงาม สยายปีกกระพือผ่านท้องฟ้า เหลือเพียงภาพติดตาเป็นแสงเพลิงที่งดงาม

สิ่งนี้ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน

“เฮ้ ราชรถนั่นมีตราสัญลักษณ์จูเชวี่ย (หงส์เพลิง) ด้วย น่าจะเป็นราชรถจากดินแดนจูเชวี่ยโบราณหรือเปล่า?”

“จริงด้วย ลือกันว่าเหล่าราชวงศ์ของดินแดนจูเชวี่ยโบราณจะนั่งราชรถที่มีนกยูงอัคคีเป็นพาหนะ เป็นไปได้รึเปล่าว่านั่นคือเจ้าหญิงผู้งดงาม ไป่ยวี่เอ๋อ?”

“ดูจากทิศที่กำลังบินไปแล้ว จุดหมายนั่นคือเขตแดนของตระกูลจวิน!”

การมาถึงของราชรถนี้ทำให้หลายคนต้องหันมาสนทนาพูดคุย

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ราชรถก็ได้จอดลงก่อนถึงเขตแดนตระกูลจวิน

เหนือน่านฟ้าทั่วทั้งเขตแดนตระกูลจวินยกเว้นคนของตระกูลแล้ว ผู้คนจากขุมกำลังอื่นที่กล้าเดินทางตัดผ่านน่านฟ้าตระกูลจวินอย่างซี้ซั้วจะถูกนับว่าเป็นผู้บุกรุกและถูกสังหารในทันที

ประตูราชรถถูกเปิดออก ปรากฏสตรีผู้งดงามในชุดคลุมขนนกสีเพลิงก้าวออกมา นางคือไป่ยวี่เอ๋อ

นางมาเพียงผู้เดียวในคราวนี้โดยไม่มีผู้ติดตาม

ไป่ยวี่เอ๋อมองไปโดยรอบ ภายในเขตแดนตระกูลจวินนั้นมีเกาะเทพสวรรค์นับไม่ถ้วนกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ ถ้ำสรวงสวรรค์และสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์หลากหลายรูปแบบส่องประกายแสงระยิบระยับ

นี่ทำให้หัวใจของไป่ยวี่เอ๋อตกตะลึง

ถึงแม้ดินแดนจูเชวี่ยโบราณจะเป็นขุมกำลังชั้นยอดที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่มายาวนาน

แต่เมื่อเทียบกับตระกูลจวินอันเป็นตระกูลโบราณแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย ถึงกระนั้นไป่ยวี่เอ๋อกลับยิ้มมุมปากแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเองและมีร่องรอยของความเหยียดหยาม

ถึงแม้ตระกูลจวินจะยิ่งใหญ่มากแค่ไหน แล้วมันสำคัญยังไงล่ะ?

นายน้อยแห่งตระกูลจวินยังคงลุ่มหลงในร่างกายของนางและยอมมอบโอสถอมตะให้นางอยู่ดี

แต่ไป่ยวี่เอ๋อได้ตัดสินใจไว้แล้วว่านางจะไม่ยอมพลีกายให้นายน้อยแห่งตระกูลจวินง่ายๆ

ท้ายที่สุด นางก็มีพันธสัญญาการหมั้นหมายอยู่แล้ว

หากมีเหตุการณ์อย่างว่าเกิดขึ้นในเวลานั้น ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการสวมเขาให้กับองค์ชายใหญ่แห่งดินแดนชิงหลงโบราณหรอกหรือ?

หลังจากทบทวนทุกอย่างดีแล้ว ไป่ยวี่เอ๋อก็ก้าวไปด้านหน้า

ทางเข้าสู่ตระกูลจวินถูกพิทักษ์โดยองครักษ์ตระกูลจวินผู้สูงใหญ่ราวกับปราการเหล็กกล้าที่เต็มไปด้วยพละกำลังอันท่วมท้น

“ผู้มาเยือนจงหยุด และกล่าวชื่อของเจ้าออกมา”

องครักษ์กล่าวอย่างเฉยเมย

“ข้า เจ้าหญิงแห่งดินแดนจูเชวี่ยโบราณนามไป่ยวี่เอ๋อ และข้ามาที่นี่เพื่อแสดงความเคารพต่อจวินหลิงหลง” ไป่ยวี่เอ๋อกล่าวด้วยโทนเสียงราบเรียบ

“มาพบเทพธิดารึ? เจ้ามีเหรียญตราเข้าพบหรือไม่ หากไม่ จงไสหัวไปให้พ้นซะ” องครักษ์กล่าวอย่างเฉยเมยอีกครั้ง

ใบหน้าอันบอบบางของไป่ยวี่เอ๋อถึงกับแข็งค้าง

ท้ายที่สุด ข้าก็มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งดินแดนเชียวนะ นี่ขนาดองครักษ์ตระกูลจวินที่เฝ้าทางเข้ายังกล้าที่จะหยาบคายใส่ข้าเช่นนี้

แต่ครั้งนี้นางมาเพื่อร้องขอบางสิ่ง ดังนั้นนางจึงทำได้แค่อดทนเอาไว้และหยิบแผ่นหยกที่ใช้สื่อสารกับจวินหลิงหลงออกมามอบให้

“เข้าไปได้” องครักษ์โบกมือส่งสัญญาณอย่างเฉยเมยอีกเช่นเคย

ไป่ยวี่เอ๋ออดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากของนาง

...

ในอีกด้านหนึ่ง จวินหลิงหลงก็มาพบจวินเซียวเหยาเช่นกัน

“นายท่าน นางมาถึงแล้ว” จวินหลิงหลงกล่าว

“ไปกัน ไปต้อนรับเจ้าหญิงกันหน่อย”

จวินเซียวเหยาที่กำลังนั่งขัดขาลุกขึ้นยืน ชุดขาวที่สวมใส่เมื่อรวมกับใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาแล้วยิ่งทำให้หล่อเหลามากขึ้น ถึงแม้เขาจะเพิ่งแปดขวบ แต่รูปร่างก็สูงโปร่งราวกับเด็กหนุ่มแล้ว

ที่นั่น ไป่ยวี่เอ๋อได้เดินเข้ามาสู่ลานกว้างอันงดงาม ให้อารมณ์ราวกับกำลังเดินอยู่ในสรวงสวรรค์

จวินหลิงหลงได้นัดหมายกับนางไว้ที่นี่

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ไป่ยวี่เอ๋อที่ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันไปมอง

นางเห็นเพียงเด็กหนุ่มสูงโปร่งที่มีผิวขาวราวกับหยกสวรรค์กำลังก้าวมาอย่างช้าๆ

เด็กหนุ่มนั้นราวกับเทพบุตรผู้มีรูปลักษณ์อันสง่างามและใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่เปรียบ ทั่วทั้งร่างกายมีแสงประกายปกคลุมอยู่บางๆ

ไป่ยวี่เอ๋อถึงกับตกตะลึงไป

นางได้พบเจอเหล่าอัจฉริยะหรือดาวเด่นมามากมาย นับแล้วก็ไม่น้อยเลย อีกทั้งคนเหล่านั้นยังมีหน้าตาที่หล่อเหลาและมีเสน่ห์ล้นเหลือ

แต่หากเทียบกับเด็กหนุ่มข้างหน้านางแล้ว คนเหล่านั้นราวกับหิ่งห้อยที่ส่องแสงแข่งกับแสงจันทร์ ราวกับปลาดุกจะเทียบเคียงกับมังกรที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่นำมาเปรียบเทียบได้เลยแม้แต่น้อย

แม้แต่คู่หมั้นของนาง องค์ชายใหญ่แห่งดินแดนชิงหลงโบราณที่หล่อเหลาและมีพรสวรรค์สูงส่ง เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กหนุ่มข้างหน้านางแล้วก็ดูมืดมนลงไปเลยทีเดียว

ด้านข้างจวินเซียวเหยา จวินหลิงหลงในชุดคลุมหลวงกำลังเดินตามเขามาอย่างช้าๆ

ไป่ยวี่เอ๋อสูดลมหายใจลึกเมื่อนางเห็นรายละเอียดเล็กๆ นี้

จวินหลิงหลงคือธิดาสูงศักดิ์แห่งตระกูลจวิน นางคือคนที่จะต้องถูกประจบประแจงจากผู้อื่นไม่ใช่รึ แต่ทำไมตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนนางกลายเป็นสาวใช้ล่ะ?

“นายน้อยตระกูลจวินผู้นี้มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไรกันนะ? เป็นไปได้รึเปล่าว่าเขามีสถานะลำดับ?” หัวใจของไป่ยวี่เอ๋อถึงกับเต้นเร็วขึ้น

“เจ้าคือไป่ยวี่เอ๋อ?” จวินเซียวเหยาถามเสียงเบา

“เป็นข้าเอง” ไป่ยวี่เอ๋อคำนับเล็กน้อย แต่นางก็ค่อนข้างสงวนท่าทางตัวเองเช่นกัน

นางกลับมามีสติอีกครั้ง

ไม่สำคัญว่าเด็กหนุ่มข้างหน้าของนางจะยิ่งใหญ่แค่ไหน เขาต้องมีแผนการที่ไม่ดีต่อนางอยู่แน่นอน

ดังนั้นในกรณีนี้ ไม่มีความจำเป็นสำหรับนางที่จะต้องอ่อนน้อมจนต้องลดทอนคุณค่าของตัวนางเอง

“เจ้าต้องการโอสถอมตะเพื่อนำไปรักษาบิดาของเจ้าถูกต้องรึไม่?” จวินเซียวเหยาพูดต่อ

“ถูกต้อง ข้าหวังว่านายน้อยจะแสดงความเมตตาและหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับข้าได้” ไป่ยวี่เอ๋อกล่าวอย่างใจเย็นโดยไม่มีร่องรอยของความนอบน้อมแม้แต่นิดเดียว

เมื่อเห็นบรรยากาศเป็นแบบนี้ จวินเซียวเหยาเลิ่กคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ข้าควรจะรู้สึกยังไงดีกับทัศนคติแบบนี้…

นี่มันไม่ถูกต้องนัก

มันดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มาเพื่อร้องขอโอสถอมตะเลยสักนิด แต่มาเพื่อขอราวกับมันเป็นเรื่องปกติ

“โอ้? แล้วเจ้าบอกเหตุผลที่ข้าต้องมอบให้เจ้าหน่อยได้รึเปล่าล่ะ ท้ายที่สุดแล้ว โอสถอมตะก็ไม่ได้ตกมาจากฟ้าหรอกนะ” จวินเซียวเหยากล่าวเบาๆ

ไป่ยวี่เอ๋อนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นนางจึงยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากด้วยความเยาะเย้ย

จริงอย่างที่คาดไว้ มีจุดประสงค์บางอย่างสินะ?

ยังไงก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้สำหรับไป่ยวี่เอ๋อที่จะขอโอสถอมตะมาด้วยเงื่อนไขของนางเอง

นางเอ่ยปากและกล่าว “นายน้อยคือตัวตนพิเศษ แน่นอนว่าท่านจะต้องมีสถานะที่ดีในตระกูลจวินและไม่ขาดแคลนโอสถอมตะ ท่านสามารถรักษาชีวิตผู้คนได้ด้วยการหยิบยื่นโอสถอมตะเพียงแค่หนึ่งต้น”

“ไม่เพียงแค่นั้น การช่วยเหลือบิดาข้าย่อมหมายถึงการช่วยชีวิตประชาชนนับร้อยล้านในดินแดนจูเชวี่ยโบราณด้วยเช่นกัน”

“สำหรับนายน้อยแล้ว นี่เป็นเพียงความพยายามที่เล็กน้อย แต่ท่านจะได้รับทั้งความดีความชอบและชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ เช่นนี้แล้วท่านจะไม่ต้องการหรือ?”

ไป่ยวี่เอ๋อเอ่ยปากออกมาราวกับว่านางคือจุดสูงสุดของคุณธรรมอันดีงาม

จวินเซียวเหยามีความสามารถที่จะช่วยได้ ทำไมจะไม่ช่วยล่ะ?

พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง ใช่รึเปล่า?

เมื่อได้ยินคำพูดคำจาที่คุ้นเคยแบบนี้ จวินเซียวเหยาอยากจะหัวเราะออกมาแทน

นี่ทำให้เขานึกถึงพวกเกรียนคีย์บอร์ดในชีวิตที่แล้วของเขาที่ใช้คีย์บอร์ดพิมพ์บังคับคนดังและคนรวยให้บริจาคเงินกัน

“แล้ว นี่ข้าถูกตีกรอบด้วยคำว่าคุณธรรมอันดีงามไปด้วยเช่นกันรึ?” จวินเซียวเหยาถึงกับพูดไม่ออก

(กำลังพยายามกลับมาแปลต่อ หากมีคำแนะนำหรือข้อติเตียน สามารถคอมเมนท์เพื่อบอกกล่าวได้นะครับ ^ ^ ขอบพระคุณมากครับที่สละเวลาอ่านจนจบ)

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด