[ตอนฟรี] ตอนที่ 11 : จวินจ้างเทียนกระอักเลือด
สีหน้าของจวินจ้างเจี้ยนทั้งเขียวทั้งแดง
ข้าเพิ่งจะบอกกับตัวเองว่าข้าจะไม่ใส่แรงมากเกินไป คงไม่ดีแน่หากทำให้จวินเซียวเหยาบาดเจ็บ
แต่กลับกลายเป็นข้าเองที่ลงไปคลุกกับฝุ่น แถมได้บาดแผลมาเต็มตัว
“น้องชายเซียวเหยาอย่างกับเทพเจ้าจุติในร่างมนุษย์จริงๆ พี่ชายคนนี้ขอชื่นชม….” จวินจ้างเจี้ยนลุกขึ้นยืนและฝืนยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
วันนี้เขาเสียหน้าอย่างหนัก
ทันทีที่จวินเซียวเหยาเริ่มสู้ การโจมตีของเขามันทรงพลังเกินไปจนไม่มีเวลาให้จวินจ้างเจี้ยนกระตุ้นกายากระบี่คงกระพันด้วยซ้ำ
แต่แม้ว่าเขาจะสามารถใช้กายากระบี่คงกระพันได้ทัน จวินจ้างเจี้ยนเองก็ไม่มั่นใจนักว่าเขาสามารถต้านทานจวินเซียวเหยาได้
เพราะเมื่อจวินเซียวเหยาถือกำเนิด เขาได้กระตุ้นให้เหล่าเทพเซียนนับหมื่นหันมาหมอบคารวะ หากนิมิตของกายาเทพบรรพกาลตื่นขึ้น ใครจะกล้าเป็นศัตรูกับเขา?
“สัตว์ประหลาดชัดๆ ….” จวินจ้างเจี้ยนคิดพลางถอนหายใจ
อายุเพียงสามขวบแต่กลับทรงพลังได้ขนาดนี้ ภายในไม่กี่ปีคงทวีคูณยิ่งขึ้น ข้าเกรงว่าคงจะสามารถท้าทายห้าอันดับแรกแห่งลำดับได้
ผู้ชมโดยรอบต่างก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมากเช่นกันและคงจะไม่นานนักที่ข่าวการต่อสู้ครั้งนี้จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งตระกูลจวิน
จวินเซียวเหยาเพิ่งจะทำลายขีดจำกัดอันเป็นนิรันดร์ที่ศิลาจารึกโบราณไท่เยว่ไป ตอนนี้เขาก็เอาชนะจวินจ้างเจี้ยนได้อีก
สมาชิกตระกูลบางคนที่เคยแคลงใจในตัวของจวินเซียวเหยาก่อนหน้านี้เริ่มที่จะยอมรับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“น้องชายเซียวเหยาเป็นคนที่มีอนาคตอันสดใสจริงๆ เมื่อถึงเวลาอายุครบสิบปี เจ้าจะต้องกลายเป็นหนึ่งในลำดับได้อย่างแน่นอน กระทั่งเหนือยิ่งกว่าข้า” จวินจ้างเจี้ยนกล่าว
ตามกฎของตระกูลจวินแล้ว รุ่นเยาว์จะมีสิทธิ์ในการเข้าร่วมการแข่งขันสถานะลำดับได้ก็ต่อเมื่อมีอายุครบสิบปี
จวินเซียวเหยายักไหล่
เขามีสถานะลำดับศูนย์ที่บรรพชนที่สิบแปดมอบให้อยู่แล้ว
สถานะกระทั่งเหนือกว่าลำดับแรก
เพียงแต่ยังไม่ประกาศต่อสาธารณชน
แน่นอนว่ามันจะถูกประกาศในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดสิบปี
ถ้าหากจวินจ้างเจี้ยนรู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าเขาจะทำหน้าตายังไง
“เช่นนั้นข้าขอตัวลาน้องชายเซียวเหยา” จวินจ้างเจี้ยนในตอนนี้มีเพียงความต้องการที่จะปิดด่านฝึกตน
จวินเซียวเหยากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยังไงก็ตามพี่ชายจ้างเจี้ยน ในฐานะของลำดับแล้ว ข้าคิดว่าท่านไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้หมาแมวที่ไหนมาติดตามท่านก็ได้หรอกนะ มันจะเป็นการดูหมิ่นตัวท่านเอง”
จวินจ้างเจี้ยนที่ได้ยินก็มีประกายแสงวาบผ่และตอบ “ข้าเข้าใจแล้ว”
แต่เมื่อหลานชิงหย่าได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าของนางแดงก่ำไปด้วยความอับอาย ในใจของนางมีแต่ความอัปยศอดสูอย่างมหาศาล
มันชัดเจนอยู่แล้วว่าหมาแมวที่จวินเซียวเหยาเอ่ยถึงนั้นมันหมายถึงนาง
หลังจากนั้น จวินจ้างเจี้ยนและหลานชิงหย่าก็จากไป
“เฮ้อ ไพ่ในมือของข้ายังไม่เพียงพอสินะ…” ดวงตาของจวินเซียวเหยาเผยถึงความครุ่นคิด
แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในช่วงของการวางรากฐานให้กับตัวเอง มันก็ถึงเวลาที่จะต้องฝึกฝนทักษะที่ทรงพลังบ้างแล้ว
ไม่เช่นนั้นทักษะที่ใช้งานได้คงมีน้อยเกินไป
ในฐานะของตระกูลโบราณแล้ว ตระกูลจวินมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นทุกรูปแบบอยู่แล้ว
“ลองถามท่านปู่ดูดีกว่า” จวินเซียวเหยาคิดในใจ
ในอีกด้านหนึ่ง จวินจ้างเจี้ยนที่ไปได้ไม่ไกลก็หยุดเดิน
“ดูเหมือนว่านับจากนี้ไป เจ้าควรจะไสหัวออกไปจากตระกูลจวินซะ” จวินจ้างเจี้ยนกล่าวสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่นะนายน้อยจ้างเจี้ยน อย่าขับไล่ชิงหย่าเลย!” การแสดงของหลานชิงหย่าเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าของนางซีดเผือด
ในตระกูลจวินนี้ เพียงแค่ชี้นิ้วนางก็จะได้รับทรัพยากรในการบ่มเพาะตามที่ต้องการ และสถานะของนางยังเหนือกว่าคนอื่นๆ อีกด้วย
หากนางต้องออกไปจากตระกูลจวิน นางคงไม่ต่างจากผู้บ่มเพาะหญิงทั่วไปที่ต้องดิ้นรนด้วยตัวเองจากจุดต่ำสุด
“ไปให้พ้น หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะเจอกับปัญหาเช่นนี้แถมเสียหน้าอย่างหนักได้ยังไง!”
ด้วยการสะบัดแขน จวินจ้างเจี้ยนส่งหลานชิงหย่าลอยกระแทกไปในอากาศ ทำให้นางกระอักเลือดคำโต
เมื่อเห็นแผ่นหลังของจวินจ้างเจี้ยนเดินจากไปอย่างไม่แยแส ใบหน้าที่แสดงความเจ็บปวดของหลานชิงหย่าแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังอันฝังลึก
“จวินเซียวเหยา มันเป็นเพราะเจ้า เจ้ามันก็ใช้สถานะข่มเหงคนอื่น…”
“กายาเทพบรรพกาล มันคือกายาเทพบรรพกาลอันเป็นอิสระจากโซ่ตรวนรึไม่? หากข้านำข่าวนี้ไปกระจายให้ศัตรูของตระกูลจวิน หรือตระกูลโบราณตระกูลอื่นรับรู้…”
ใบหน้าของหลานชิงหย่าเปลี่ยนไปพร้อมกับวางแผนคำนวณสิ่งต่างๆ ในใจ
ด้วยความด้อยปัญญาของนาง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะจินตนาการถึงว่าจวินเซียวเหยาคือผู้ครอบครองกายาเทพบรรพกาลอันเป็นอิสระจากโซ่ตรวนทั้งสิบ
ในความเห็นของนาง กายาเทพบรรพกาลที่ทะลวงผ่านโซ่ตรวนจนเป็นอิสระนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
“ยังไงก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจวินเซียวเหยานั่นวางแผนจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดสิบปีในอนาคต เมื่อถึงเวลานั้นแล้วหากศัตรูได้รับเชิญมางานเลี้ยงด้วยละก็…”
หลานชิงหย่ารู้ตัวดีว่าลำพังแค่นางตัวคนเดียว นางจะไม่มีวันแก้แค้นจวินเซียวเหยาได้เลย ไม่ใช่แค่ในชีวิตนี้ ต่อให้มีชาติหน้าก็คงไม่มีวันทำได้
ทางออกเดียวคือการหยิบยืมมือคนอื่นมาจัดการพวกมัน
“รอก่อนเถอะ เจ้าจวินเซียวเหยาและนังจวินหลิงหลง พวกเจ้าจะต้องจ่ายหนี้แค้นข้าอย่างสาสม!”
ในท้ายที่สุด องครักษ์ตระกูลจวินก็ลากตัวหลานชิงหย่าที่ผมกระเซอะกระเซิงและใบหน้าบวมเป่งอันน่าเวทนาไปและจัดการโยนออกไปจากเขตแดนของตระกูลจวิน
ในทางกลับกัน จวินเซียวเหยาไม่ได้แยแสหลานชิงหย่าแม้แต่น้อย
ในสายตาของจวินเซียวเหยา นางคนนั้นไร้ค่าซะยิ่งกว่ามดปลวกซะอีก
เหตุผลที่เขาเตือนจวินจ้างเจี้ยนเช่นนั้นมันเป็นเพราะเขาไม่อยากเห็นอะไรที่มันอุจาดตาเช่นนี้อีกในอนาคต
ในขณะนี้ จวินเซียวเหยากำลังขอคำชี้แนะจากจวินจ้านเทียน
“ว่าไงนะ เจ้าอยากจะเรียนรู้ทักษะและเคล็ดวิชาที่ทรงพลังงั้นรึ นี่มันเกินไป เจ้าทะเยอทะยานเกินไปแล้ว…” จวินจ้านเทียนถึงกับขมวดคิ้วอันขาวโพลน
ในความเห็นของเขา จวินเซียวเหยารีบร้อนเกินไป
เขาเพิ่งจะสามขวบเอง มันยังอยู่ในช่วงที่สมควรจะวางรากฐานการบ่มเพาะให้แข็งแรง ก่อนที่จะเรียนรู้ฝึกฝนทักษะและเคล็ดวิชาต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้น การฝึกฝนทักษะและเคล็ดวิชาอันทรงพลังจะต้องมีพรสวรรค์ที่สูงและความเข้าใจอันรวดเร็ว แถมมันยังต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกยาวนาน
“ให้ข้าได้ลองหน่อยนะท่านปู่ ถ้าหากมันใช้เวลานานเกินไป ข้าสัญญาเลยว่าจะไม่แตะมันอีก” จวินเซียวเหยากล่าว
สุดท้ายจวินจ้านเทียนก็ทนลูกอ้อนไม่ไหว ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เห็นด้วยและปล่อยให้จวินเซียวเหยาได้ลองฝึกฝนทักษะและเคล็ดวิชาบางอันก่อน
หลังจากนั้น จวินจ้านเทียนได้ครุ่นคิดอย่างรอบคอบระมัดระวัง เขาตัดสินใจเลือกทักษะระดับสูงที่ทรงพลังแต่ก็เต็มไปด้วยกระบวนท่าการโจมตีอันสลับซับซ้อนอย่างมหาศาลมาจากตระกูลจวิน
“ทักษะนี้นามว่าทักษะศาสตราวุธสงคราม หลังจากการฝึกฝนมันจนชำนาญแล้ว เจ้าจะสามารถควบแน่นพลังปราณและแปรเปลี่ยนเป็นศาสตราวุธต่างๆ เช่น มีด, หอก, กระบี่, ง้าว, ขวาน, ขวานศึก, ตะขอ, สามง่าม และศาสตราศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน เมื่อศาสตราวุธทั้งหมดถูกปลดปล่อย เหล่านักรบศักดิ์สิทธิ์นับพันจะถูกป่นจนแหลกละเอียด ท้องนภาจะถูกตัดผ่านและทลายลง แม้แต่ผืนปฐพีอันยิ่งใหญ่ยังแตกเป็นเสี่ยงๆ” จวินจ้านเทียนอธิบาย
“สุดยอดไปเลยท่านปู่ ข้าอยากจะฝึกฝนทักษะศาสตราวุธสงครามนี้” ความตื่นเต้นได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของจวินเซียวเหยา
จวินจ้านเทียนแอบขำเบาๆ และรู้สีกอิ่มเอิบอยู่ภายในใจ “หลานรักเอ๋ย มันยังเร็วเกินไปที่จะมาลองดีกับท่านปู่ ทักษะบ้านี่ปู่ยังต้องใช้เวลาตั้งหนึ่งปีเต็มๆ ถึงจะเริ่มต้นจุดแรกของทักษะได้…”
ตามการคาดการณ์ของจวินจ้านเทียน จวินเซียวเหยาน่าจะต้องโบกธงขาวยอมแพ้หลังจากฝึกฝนไปไม่กี่วัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่กี่วัน
ภายในพระราชวังเทียนตี้ เกิดเสียงดังคำรามขึ้นและปรากฏแสงสีทองไร้ที่สิ้นสุดระเบิดไปทั่วท้องนภา
ปราณทองคำกวาดผ่านไปทั่วท้องฟ้า จากนั้นควบแน่นเป็นกระบี่, หอก, ง้าว และศาสตราศักดิ์สิทธิ์อื่นอีกเป็นจำนวนมหาศาลจนแม้แต่ท้องนภายังถูกผ่าเป็นสองส่วน ผืนปฐพีแตกเป็นเสี่ยง
“ท่านปู่ ข้าต้องใช้เวลาหลายวันเลยกว่าข้าจะเริ่มฝึกฝนจุดแรกได้ การฝึกฝนทักษะโจมตีมันช่างซับซ้อนจริงๆ” จวินเซียวเหยาเดินออกมาจากห้องฝึกและส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมกับการแสดงออกถึงความผิดหวังบนใบหน้า
“แค่ก…” จวินจ้านเทียนเกือบกระอักเลือดคนแก่ออกมา
“ท่านปู่?” จวินเซียวเหยางุนงง
“ไม่… ไม่มีอะไร ปู่สบายดี ถ้าหากหลานอยากจะเรียนรู้ทักษะอื่นอีกในอนาคต หลานไปที่ศาลายุทธภพด้วยตัวเองได้เลยเพราะปู่กำลังวางแผนจะปิดด่านฝึกตนสักระยะหนึ่ง”
จวินจ้านเทียนหันหลังกลับและจากไป เขาไม่อยากจะอยู่ใกล้เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยนี่นานนัก
เพราะหากเขาอยู่ใกล้นานกว่านี้ จวินจ้านเทียนเกรงว่าหัวใจแห่งเต๋าของเขาจะพังทลายเอา แถมเขาเริ่มสงสัยในตัวเองแล้วว่าเขาใช้ชีวิตยังกับสุนัขมานานหลายปีแล้วรึเปล่า!
จวินเซียวเหยายิ่งงงขึ้นไปอีก
...
ต่อมา พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกห้าปี ในปีนี้จวินเซียวเหยาก็มีอายุครบแปดขวบพอดิบพอดี
ในยามที่ยังเยาว์วัย เขาเติบโตมาพร้อมกับหน้าตาอันหล่อเหลาราวกับประติมากรรมที่ปั้นโดยช่างสวรรค์
บางครั้งบางคราว จวินหลิงหลงยังสามารถจ้องมองใบหน้าอันน่าทึ่งของจวินเซียวเหยาได้แบบนั้นทั้งวันโดยไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่นิดเดียว
สำหรับผู้หญิงแล้ว การที่ได้มองเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาแบบนี้ในทุกๆ วัน ย่อมเป็นพรที่ต่อให้บ่มเพาะไปอีกสามชาติก็ทำไม่ได้
ตัวจวินเซียวเหยาเองก็จดจ่อตั้งมั่นในการบ่มเพาะอย่างไม่ลดละแม้แต่น้อย
เคล็ดบ่มเพาะของเขาคือเคล็ดบ่มเพาะสูงสุดของตระกูลจวิน เคล็ดวิชาไท่เสวียน
เคล็ดฝึกฝนร่างกายของเขาคือพลังเทพคชสารทลายโลกันตร์
เคล็ดฝึกฝนวิญญาณของเขาคือวิถีเทพเกลาวิญญาณ
ในทำนองเดียวกัน เขายังฝึกฝนทักษะบางอย่างของตระกูลจวินควบไปด้วย นั่นรวมไปถึงทักษะศาสตราวุธสงคราม ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่ามันเริ่มเข้ามือจวินเซียวเหยาในระดับที่เชี่ยวชาญแล้วก็ว่าได้
ขอบเขตการบ่มเพาะของจวินเซียวเหยายังทะลวงผ่านเก้าสวรรค์ทะเลจิตวิญญาณโดยตรงด้วยเช่นกันและก้าวผ่านไปสู่ขอบเขตวิหารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นขอบเขตเดียวกันกับจวินจ้างเจี้ยนในครานั้น
และด้วยกายาเทพบรรพกาลเป็นปัจจัยหลัก ทำให้ทะเลจิตวิญญาณในจุดตันเถียนของจวินเซียวเหยาเป็นทะเลจิตวิญญาณทองคำอันไร้ขอบเขต
กล่าวได้ว่าในทุกสรรพสิ่ง ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวในขอบเขตเดียวกันที่จะสามารถเทียบเคียงกับความยิ่งใหญ่ของทะเลจิตวิญญาณทองคำอันไร้ที่สิ้นสุดของเขาได้
“อีกเพียงสองปีก็จะถึงวันงานเลี้ยงฉลองวันเกิดสิบปี หลังจากงานเลี้ยงฉลองวันเกิดสิบปีจบลง ต่อไปจะเป็นคิวของข้าที่จะออกไปท่องเที่ยวในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่ยังไงก็ตาม ข้าก็ต้องตามหาคลังสมบัติลับจ้าวเทวะหยวนเทียนด้วยเช่นกัน” จวินเซียวเหยาพึมพำคนเดียว
เขาไม่มีวันลืมจุดลงชื่อทั้งสองแห่งอย่างแน่นอน
เพราะในท้ายที่สุด เขานั้นได้ลงชื่อและรับรางวัลสุดเทพเป็นกายาเทพบรรพกาลและพลังเทพคชสารทลายโลกันตร์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาก็ยิ่งรู้สึกสนอกสนใจรางวัลที่จะได้รับจากการลงชื่อครั้งต่อไปยิ่งขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง จวินหลิงหลงก็กำลังฝึกฝนอยู่ในโถงด้านข้างของพระราชวังเทียนตี้ นางได้แปรเปลี่ยนมาเป็นสาวรับใช้ผู้ภักดีต่อจวินเซียวเหยาทั้งใจแล้วเช่นกัน
ในขณะนั้น จวินหลิงหลงมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจของนาง นางจึงนำแผ่นหยกอันหนึ่งออกมาซึ่งภายในบรรจุข่าวเอาไว้
“เป็นนาง?” จวินหลิงหลงหรี่ดวงตาอันงดงามของนาง
(แผ่นหยกคล้ายไอแพดรึเปล่า )
(หากมีคำแนะนำหรือข้อติเตียน สามารถคอมเมนท์เพื่อบอกกล่าวได้นะครับ ^ ^ ขอบพระคุณมากครับที่สละเวลาอ่านจนจบ)