ตอนที่แล้วสุดยอดอัศวิน บทที่ 38 : ทางสายเลือด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปสุดยอดอัศวิน บทที่ 40 : การโจมตีของหมาป่า

สุดยอดอัศวิน บทที่ 39 : โศกนาฏกรรม


สุดยอดอัศวิน บทที่ 39 : โศกนาฏกรรม

สุดท้ายการทดสอบนี้ก็จบลงอย่างฉุกละหุก

แม้จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของชายผู้มีแผลเป็น นักเรียนที่ยังไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบก็ถูกบังคับให้เข้าไปในกรงเหล็กทีละคน แต่พวกเขาหวาดกลัวและไม่สามารถออกแรงตามปกติได้เลย จึงมีเพียงไม่กี่คนที่ผ่านการทดสอบ

อาจารย์เชาเซอร์ทำอะไรไม่ถูกเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่คือห้องเรียนที่เขาดูแลนั้น มีจำนวนผู้ผ่านการทดสอบน้อยที่สุด แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย การเจอหุ่นเชิดศพที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือดนั้นทำให้ทุกคนตื่นตระหนกไม่น้อย เป็นธรรมดาที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้น

ฌอนทำตัวเหมือนคนอื่น ๆ และเดินออกจากเรือนจำหลังผ่านการทดสอบ แต่เขาได้ตัดสินใจแล้วที่จะสืบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ่นเชิดศพ

ไม่ว่าจะทำเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งพรสวรรค์ทางสายเลือด แต่สิ่งนี้ก๋จำเป็นมาก

ในเวลาเดียวกัน ฌอนก็ต้องหาโอกาสตามหาหุ่นเชิดศพที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือดด้วย แม้จะไม่แน่นอนว่าการสัมผัสหุ่นเชิดศพที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือดจะสามารถคัดลอกพรสวรรค์ออกมาได้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคุ้มค่าที่จะลอง

แม้จะมีผู้ที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือดในหมู่มนุษย์ แต่ก็น้อยเกินไป แถมยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าความน่าจะเป็นของสิ่งนี้มีน้อยจนน่าสมเพช

ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เมื่อใดก็ตามที่ฌอนมีเวลาว่าง เขามักจะไปที่ห้องสมุดของโรงเรียนอัศวินยุคใหม่เพื่อค้นหาหนังสือ

นี่คือห้องสมุดขนาดใหญ่มาก และครอบคลุมพื้นที่หลายพันตารางเมตร มีชั้นหนังสือมากมายและชั้นหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือปกหนัง แม้จะเทียบไม่ได้กับห้องสมุดขนาดใหญ่ในชาติที่แล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากระดับของอารยธรรม การมีห้องสมุดแบบนี้ก็ดีมากแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฌอนยังพบว่ามีคนน้อยมากที่ไปห้องสมุดแห่งนี้ ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาเห็นเพียงไม่กี่คนที่เข้ามาในห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ และในหมู่พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นนักเรียนหญิง ทุกครั้งเขาแทบจะเป็นผู้ชายคนเดียวที่เข้าไป

‘โรคระบาด’ เมื่อร้อยปีที่แล้วได้คร่าชีวิตประชากรไปกว่า 2 ใน 3 ของโลก และกลายเป็นศัตรูของมนุษย์ นั่นก็คือหุ่นเชิดศพ แถมพวกมันยังคอยมองหาพื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา

มาตรการรับมือของอัศวินระดับสูงของอาณาจักรคือการฝึกฝนอัศวินที่สามารถต่อกรกับหุ่นเชิดศพได้ แต่นักเรียนสมัยนี้ส่วนใหญ่กลับดูหมิ่นการสืบทอดวัฒนธรรมนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เห็นคุณค่าของอาณาจักร ในโณงเรียนนี้จึงมีน้อยคนนักที่จะมาค้นคว้าหาข้อมูล เว้นแต่เป็นเพราะความสนใจส่วนตัว

ตัวอย่างเช่น ฌอนคนเก่าซึ่งอยู่ในโรงเรียนอัศวินยุคใหม่มาสามปี แทบไม่เคยก้าวเข้ามาที่นี่เลย อาจกล่าวได้ว่าเขามุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนอย่างเดียว พอมีเวลาว่างจะมีใครที่ไหนไปห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือที่น่าเบื่อเหล่านี้?

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาของการสืบค้น ฌอนได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับหุ่นเชิดศพ แม้แต่โรคระบาดที่เคยถล่มโลกมนุษย์เมื่อร้อยปีก่อนก็เช่นกัน

ข้อแรก มันเกี่ยวกับครอบครัวพ่อมดที่แพร่โรคระบาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

พ่อมดเป็นเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างจากมนุษย์ พวกเขามีหูแหลม ใบหน้าเป็นรูปสามเหลี่ยม และดวงตาสีเขียว จากมุมมองสุนทรียศาสตร์ของมนุษย์ พวกเขาดูมีเสน่ห์อย่างยิ่ง

แต่นี่ก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังและน่ากลัวมาก ในแง่ของความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยแล้ว  กล่าวได้ว่าเหนือกว่ามนุษย์เอามาก

แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่มีคุณสมบัติของพ่อมด แต่ความน่าจะเป็นของคนที่มีคุณสมบัติพ่อมดนั้นสูงมาก เกินความเป็นไปได้ของมนุษย์ที่จะมีคุณสมบัติอัศวินซะอีก แต่โชคดีที่จำนวนของพวกเขาน้อยกว่ามนุษย์มาก ดังนั้นมนุษย์จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และฝ่ายพ่อมดก็พ่ายแพ้ในที่สุด

แต่โรคระบาดเมื่อร้อยปีที่แล้ว ได้รับการพัฒนาโดยแลงแมน ซาน ราฟาเอล หรือราชาพ่อมดผู้ทรงพลังอันดับต้น ๆ ของตระกูลพ่อมด ผู้ที่รู้สึกถึงจำนวนมนุษย์ที่มากเกินไป และต้องการขจัดช่องว่างของจำนวนมนุษย์ ด้วยเวทมนต์ที่สยองขวัญ

และเวทมนต์ชนิดนี้ก็ยังกวาดล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปสองในสามตามที่เขาคาดไว้ จึงมีเพียง ’มนุษย์’ เท่านั้นที่ถูกกำจัดกลายเป็นหุ่นเชิดศพและกลายเป็นศัตรูของมนุษย์

แม้ในที่สุดมนุษย์จะตอบโต้และขับไล่หุ่นเชิดศพเหล่านี้ออกไปได้ แต่อาณาเขตส่วนใหญ่ก็สูญเสียไปเพราะเหตุนี้ และอาณาเขตของมนุษย์ในปัจจุบันก็น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ดั้งเดิม

ในเวลาต่อมา มนุษย์เริ่มพยายามโต้กลับและยึดดินแดนที่หุ่นเชิดศพครองคืนกลับมา แต่พวกเขาค้นพบว่าความสยดสยองของพละกำลังของหุ่นเชิดศพเหล่านั้นไม่ปกติ เมื่อเวลาผ่านไป หุ่นเชิดศพบางตัวก็มีอำนาจมากขึ้นและปรากฏตัวออกมาท่ามกลางพวกเขา ด้วยการต่อสู้กับตระกูลพ่อมด แม้จะดำเนินไปร้อยกว่าปี แต่มนุษย์ก็ยังไม่สามารถยึดดินแดนที่สาบสูญกลับคืนมาได้ แต่กำลังตกอยู่ในอันตรายจากการถูกหุ่นเชิดศพที่ทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ กัดกินแทน

ตอนนี้ฌอนมีความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดคือพรสวรรค์ทางสายเลือด

พรสวรรค์ทางสายเลือด คือพลังลึกลับมหัศจรรย์ อาจมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตใด ๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ก็อาจมีพรสวรรค์ทางสายเลือดนั้น แต่พรสวรรค์ส่วนใหญ่ของแต่ละคนซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกาย ซึ่งมีความเป็นไปได้ด้วยว่า เกือบทุกคนก็ไม่มีใครได้รับพลังจนกระทั่งสิ้นชีวิต

เช่นเดียวกับมนุษย์ในยุคนี้ เมื่อมองไปยังกลุ่มอัศวินที่อัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุด ก็ควรมีคนไม่กี่คนที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือด แต่ความเป็นจริงกลับมีคนน้อยมากที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือด เหตุผลก็คือความน่าจะเป็นที่จะตื่นขึ้นนั้นต่ำเกินไป เป็นผลให้หลายคนที่พรสวรรค์ทางสายเลือดไม่เคยตื่นขึ้นเลยตลอดทั้งชีวิต

โอกาสที่หุ่นเชิดศพจะมีพรสวรรค์ทางสายเลือดนั้นสูงกว่ามนุษย์มาก อาณาจักรบางแห่งจึงคาดเดาว่าเป็นเพราะเวทมนต์ในตอนนั้น

เงื่อนไขสำคัญที่สุดสำหรับการตื่นของพรสวรรค์ทางสายเลือด การตื่นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้รับการกระตุ้นที่แรงพอ และการกระตุ้นนี้สามารถเป็นได้ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน

ตัวอย่างเช่น หุ่นเชิดศพที่ถูกกระตุ้นด้วยเวทมนต์ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดพรสวรรค์ทางสายเลือดนั้นสูงมาก เห็นได้ชัดว่า แม้พวกพ่อมดจะทำลายมนุษย์และเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีเพียงความกระหายเลือด แต่ก็สร้างแรงกระตุ้นที่รุนแรงมากพอแก่พวกเขา ซึ่งก็นำไปสู่การตื่นขึ้นของพรสวรรค์ทางสายเลือด

ในเวลาเดียวกัน ฌอนยังได้เรียนรู้ว่าพื้นฐานของพรสวรรค์ทางสายเลือดคือพื้นฐานพลังทางกายภาพของตัวเอง สรุปคือ พรสวรรค์ทางสายเลือดมีบทบาทบนพื้นฐานของร่างกายแต่ละคน

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าคนธรรมดามีพรสวรรค์ด้านความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งของเขาอาจถึงระดับที่เทียบได้กับฌอนในตอนนี้ และถ้าพรสวรรค์ด้านพลังนี้ได้รับการพัฒนาเหมือนกับฌอน คนคนนั้นก็อาจพึ่งพาพรสวรรค์ด้านพลังนี้ ปลดปล่อยความแข็งแกร่งจนไปถึงระดับของอัศวินฝึกหัดได้

เห็นได้ชัดว่าการเพิ่มความแข็งแกร่งของฌอนนั้นสูงกว่าคนธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด และเหตุผลก็คือความแข็งแกร่งบนพื้นฐานของฌอนนั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาก

ในเวลาต่อมา ฌอนก็ไม่ได้ไปห้องสมุดอีกเลย

ฌอนเข้าใจในสิ่งที่ควรรู้แล้ว สำหรับความลึกลับที่ลึกยิ่งกว่านั้น เขาไม่พบมันเลยในห้องสมุดของโรงเรียนอัศวินยุคใหม่ แปลว่าโรงเรียนหรือราชวงศ์อาจเก็บงำอะไรบางอย่างเอาไว้

ความจริงมักจะอยู่ในมือของคนหมู่น้อย ซึ่งข้อนี้ย่อมเป็นความจริงไม่ว่าในภพภูมิไหน ๆ ในชาติก่อนของฌอนเองก็มีเรื่องแบบนี้ และโลกนี้ก็อาจมีเรื่องอย่างว่าด้วย ด้านหนึ่งเป็นเรื่องของความรู้ และอีกด้านหนึ่งก็เป็นการปิดบังโดยเจตนาของชนชั้นปกครอง

ฌอนไม่สนใจสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว โลกนี้ตรงไปตรงมากว่าในชาติที่แล้วมาก ผู้แข็งแกร่งมีสิทธิ์ให้ชีวิตและให้ความตาย แถมพวกเขามีทุกสิ่งอยู่ในกำมือ ตราบใดที่มีความแข็งแกร่ง ความลับใด ๆ จะเปิดประตูให้ นี่คือเหตุผลที่บอกว่ามีพละกำลังอย่างเดียวคงไม่พอ

เช่นเดียวกับพรสวรรค์ทางสายเลือด คนธรรมดาไม่รู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่ในฐานะคนที่เดินบนเส้นทางแห่งอัศวิน ฌอนและนักเรียนคนอื่น ๆ มีสิทธิ์ที่จะรู้ เพราะพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป

สำหรับความสามารถในการคัดลอกพรสวรรค์ หลังจากพิจารณาอยู่นาน ฌอนตัดสินใจไม่ใช้มันในเร็ว ๆ นี้

แม้ฌอนจะต้องการคัดลอก แต่เขายังสามารถหาพรสวรรค์ที่ดีบางอย่างเพื่อคัดลอกไปก่อนได้เช่น นักดาบอัจฉริยะอย่างเบนจามิน เบเกอร์แห่งโรงเรียนอัศวินจื่ออวิ๋น นอกจากพรสวรรค์ด้านฝีมือดาบระดับสูงแล้ว อีกฝ่ายยังมีพรสวรรค์ระดับกลางที่ดีอีกหลายอย่าง

แต่ถึงจะถูกคัดลอกไปก็ช่วยอะไรฌอนไม่ได้มากในตอนนี้

การฝึกฝนความแข็งแกร่งของฌอนคือการใช้ดาบ และเขายังไม่เชี่ยวชาญในอาวุธประเภทอื่นเลย แม้จะเชี่ยวชาญอย่างเดียว แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเป็นยอดอัศวินได้ สุดท้ายมันจะกลายเป็นแค่ของตกแต่ง

จะดีกว่าไหมถ้าเก็บความสามารถในการคัดลอกพรสวรรค์ไว้เพื่อใช้ประโยชน์ ถ้าเผอิญพบคนที่มีความสามารถระดับสูงในภายภาคหน้า แต่ไม่มีความสามารถในการคัดลอก คงต้องเสียใจมากแน่นอน

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด