สุดยอดอัศวิน บทที่ 38 : ทางสายเลือด
สุดยอดอัศวิน บทที่ 38 : ทางสายเลือด
อ้าก!
เมื่อได้กลิ่นเลือดสด ๆ หุ่นเชิดศพที่กระแทกเด็กชายผมสีน้ำตาลปลิวไปก็คำรามและพุ่งเข้าไปหาเด็กชายผมสีน้ำตาลทันที
การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป กรงเล็บอันแหลมสีดำสนิท ราวกับตะขอเหล็กที่ทำจากเหล็กเนื้อดี ยื่นไปข้างหน้าพร้อมจับเด็กชายผมสีน้ำตาล
หากการคาดเดาเป็นเรื่องจริง เด็กชายผมสีน้ำตาลจะต้องถูกข่วน และด้วยพลังของหุ่นเชิดศพตัวนี้ เด็กชายผมสีน้ำตาลอาจถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ
เห็นได้ชัดว่าเด็กชายผมสีน้ำตาลรู้สึกถึงวิกฤตที่อยู่ตรงหน้าและถอยกลับไม่ได้ แต่ข้างหลังเขามีกรงเหล็กขนาดใหญ่ ซึ่งไม่มีทางหนีเลย
ไม่สามารถหลบได้แน่นอน เขาคิดจะยกดาบอัศวินในมือขึ้นเพื่อป้องกัน แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัส จึงไม่สามารถใช้พละกำลังได้ชั่วขณะ ดาบอัศวินซึ่งมีน้ำหนักน้อยกว่าสิบสลึง ก็เหมือนหนักเท่ากับหนึ่งพันสลึงทันที
ดวงตาของเด็กชายผมสีน้ำตาลเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เมื่อถูกหุ่นเชิดศพข่วน แทบไม่มีความเป็นไปได้อื่นนอกจากความตาย
ชัวะ!
แต่ในขณะที่กรงเล็บของหุ่นเชิดศพกำลังเข้ามาข่วนเด็กชายผมสีน้ำตาล ดาบเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
นี่คือดาบยาวประมาณห้าฟุต พื้นผิวของดาบเป็นสีแดงสด ราวกับชุ่มไปด้วยเลือด
หวืด!
ดาบสีแดงสดตัดเข้าที่เอวของหุ่นเชิดศพ ที่เข้าโจมตีมาจากด้านหนึ่งของหุ่นเชิดศพราวกับสายลม ทันใดนั้นหุ่นเชิดศพก็ถูกผ่าครึ่งด้วยการฟันดาบเพียงครั้งเดียว ต่อหน้าดาบนี้มันนุ่มเหมือนเต้าหู้
ชิ้ง!
ร่างกายส่วนบนของหุ่นเชิดศพไถลไปกับพื้น เลือดสีแดงเข้มก็ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับถังสีย้อมระเบิด
ถึงอย่งานั้นหุ่นเชิดศพก็ยังไม่ตายทันที มันกลับคลานไปบนพื้นด้วยกรงเล็บอันแหลมคมที่เหลืออีกสองข้าง และหันกลับมาโจมตีคนที่เหวี่ยงดาบใส่มัน
หวืด!
ดาบยาวสีแดงเลือดกวัดแกว่งอีกครั้ง และพุ่งตรงเข้ามา แทงเข้าที่หน้าอกของหุ่นเชิดศพ และปลายดาบยาวก็แทงทะลุไปถึงด้านหลัง
ชัวะ!
ดาบยาวสีแดงเลือดถูกชักออกมา ในที่สุดหุ่นเชิดศพก็ล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรงต่อหน้าเด็กชายผมสีน้ำตาล พร้อมรอยเลือดที่กระเด้นมาเปื้อนใบหน้าของเขา
“อา…”
ยังไม่ทันที่เด็กชายผมสีน้ำตาลจะรู้ตัว เขาก็กรีดร้องอย่างสุดเสียงทันทีพร้อมสีหน้าซีดเผือด เป็นผลมาจากบาดเจ็บสาหัส และตื่นตระหนกมากเกินไป แถมใบหน้ายังเปื้อนไปด้วยเลือดของหุ่นเชิดศพ ซึ่งเขากลัวว่าจะติดเชื้อ
“หุบปาก ถ้าไม่ถูกข่วนก็ไม่ติดเชื้อหรอก”
ชายผู้มีแผลเป็นปิดหู ก่อนเดินไปด้านข้างกรงอย่างสบาย ๆ แล้วสั่งให้เปิดประตูกรงเหล็กทันที แล้วเรียกอัศวินสองคนมาอุ้มเด็กชายผมสีน้ำตาลออกไป
เมื่อมองไปยังเด็กชายผมสีน้ำตาลที่ถูกอุ้มออกไป ชายผู้มีแผลเป็นก็ขมวดคิ้ว
“เจ้างั่งเอ้ย เอาคนโง่ที่ไหนมาเป็นอัศวินเนี่ย เปื้อนเลือดแค่นี้ก็ตกใจจนหน้าซีด”
เนื่องจากรูปลักษณ์ของหุ่นเชิดศพที่อยู่ตรงหน้าไม่ต่างจากหุ่นเชิดศพทั่วไป ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าหุ่นเชิดศพตัวนี้ผิดปกติ ซึ่งทำให้เด็กชายผมสีน้ำตาลบาดเจ็บหนักที่สุด
เห็นได้ชัดว่านี่คือความประมาทเลินเล่อของเขา เมื่อเห็นแบบนี้มันน่าตำหนิพ่อแม่เขาจริง ๆ หุ่นเชิดศพที่ทรงพลังแบบนี้ไม่น่าจับมาขังไว้ เห็นได้ชัดว่าคนที่จับหุ่นเชิดศพประมาทแค่ไหน
ในเวลาเดียวกัน ชายวัยกลางคนที่พเนจรอยู่คนเดียวในถิ่นทุรกันดารก็จามออกมา เขาเช็ดปากอย่างอธิบายไม่ได้และขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่เคยนึกถึงเหตุผล เพราะไม่สนใจอะไร จากนั้นเขาก็เดินต่อไป
เมื่อเห็นเด็กชายผมสีน้ำตาลถูกหามออกมา อาจารย์เชาเซอร์จึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขา หลังจากยืนยันว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ชีวิตก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปรักษา
อาจารย์เชาเซอร์มองไปยังหุ่นเชิดศพที่ถูกผ่าครึ่งในกรงเหล็กและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ในเวลานี้ กลุ่มนักเรียนเริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวาย
“เฮ้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมหุ่นเชิดศพตัวนี้ถึงแข็งแกร่งกว่าตัวอื่น ๆ?”
“อาจารย์เชาเซอร์ไม่ได้บอกว่าเราทุกคนแข็งแกร่งกว่าพวกมันหรอกเหรอ? แล้วทีนี้จะอธิบายความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดศพตัวนี้ยังไง?”
“ให้ตายเถอะ ฉันไม่ยอมสู้กับหุ่นเชิดศพบ้า ๆ แบบนี้หรอก”
“ฉัน ฉัน... ไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้ว…”
“เงียบ!”
เมื่อมองย้อนกลับไปยังนักเรียนที่โวยวาย อาจารย์เชาเซอร์ก็ตะโกนเสียงดัง ศักดิ์ศรีที่สั่งสมมาก็มีบทบาทสักที ทำให้พวกเขาต่างสงบสติลงได้ในที่สุด
“ไม่ต้องห่วง มันเป็นแค่อุบัติเหตุ และจะไม่มีเหตุแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
แม้จะได้รับการคุ้มครองจากอาจารย์เขาเซอร์ แต่นักเรียนที่เหลือซึ่งยังไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบก็กังวลอยู่ดี และหนึ่งในนั้นก็ถามด้วยความสยองขวัญ
“อาจารย์เชาเซอร์ หุ่นเชิดศพนั้นคืออะไรกันแน่? ทำไมมันถึงแข็งแกร่งกว่าตัวอื่น?”
เมื่อเผชิญกับคำถามของนักเรียนคนนี้ อาจารย์เชาเซอร์ลังเลเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็พูดออกไป
“นั่นคือหุ่นเชิดศพที่ถูกปลุกพรสวรรค์ทางสายเลือด เป็นการปลุกพลังด้วยพรสวรรค์ที่มีความแข็งแกร่ง นี่เป็นเหตุผลที่ว่ามันแข็งแกร่งกว่าตัวอื่น ๆ”
“ถูกปลุกพรสวรรค์ทางสายเลือดเหรอ?”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของอาจารย์เชาเซอร์ ฌอนซึ่งกำลังคิดถึงความแตกต่างระหว่างหุ่นเชิดศพตัวนี้กับตัวก่อนหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟัง พรสวรรค์ทางสายเลือด… นี่เป็นคำที่ฌอนไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าของร่างเดิมอีกด้วย เพราะอีกฝ่ายไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับ ‘สายเลือด’ เลย
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่ไม่รู้ว่าพรสวรรค์ทางสายเลือดคืออะไร แม้แต่นักเรียนยังถาม
“พรสวรรค์ทางสายเลือด? อาจารย์เชาเซอร์ครับ พรสวรรค์ทางสายเลือดคืออะไรกันแน่?”
“พรสวรรค์ทางสายเลือดคือพรสวรรค์ลึกลับที่มีอยู่ในสายเลือดของมนุษย์ เมื่อมันตื่นขึ้นแล้ว ก็จะแสดงคุณสมบัติทางเวทมนตร์ต่าง ๆ ออกมาเช่น พลังที่เพิ่มขึ้น ความเร็วที่เร็วขึ้น แม้แต่การควบคุมเปลวเพลิงหรือสายฟ้า
“อันที่จริง พรสวรรค์ประเภทนี้ไม่ได้มีแค่ในหุ่นเชิดศพหรอกนะ พวกเราเองก็มีเหมือนกัน แต่ความน่าจะเป็นที่จะตื่นขึ้นมานั้นต่ำมาก เมื่อเทียบกับหุ่นเชิดศพแล้ว ไม่แปลกหรอกที่พวกเธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของอาจารย์เชาเซอร์ นักเรียนหลายคนก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และในหมู่พวกเขา ฌอนรู้สึกประหลาดใจมากที่สุด สีหน้าที่มีความสุขเล็กน้อยในความประหลาดใจนั้นช่างแปลกพิลึก
ในชาติก่อนนั้น ฌอนได้เห็นพรสวรรค์มามาก แต่ไม่เคยเห็นพรสวรรค์ลึกลับอย่างพรสวรรค์ทางสายเลือดมาก่อน เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีแต่ในหนังหรือการ์ตูนของอเมริกาเท่านั้น และไม่มีจริงแน่นอน แต่ตอนนี้ คำพูดของอาจารย์เชาเซอร์ทำให้เขารู้ว่าเรื่องแบบนี้มีอยู่จริง
สำหรับคนอื่น เรื่องแบบนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายไปมาก แต่ความน่าจะเป็นของการปลุกพรสวรรค์ทางสายเลือดนั้นต่ำมาก แต่สำหรับฌอนกลับไม่เป็นเช่นนั้น
พรสวรรค์ทางสายเลือดแบบนี้ควรเป็นพรสวรรค์ชนิดหนึ่งในการคัดลอกขั้นสุดท้าย เนื่องจากเขามีพลังคัดลอกพรสวรรค์ ตราบใดที่พบคนมีพรสวรรค์นี้ ฌอนก็สามารถคัดลอกพรสวรรค์นี้ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เอามือไปแตะอีกฝ่าย
ฌอนอาจไม่จำเป็นต้องมองหาคนที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือดขั้นตื่อนแล้ว เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองร่างหุ่นเชิดทั้งสองซีกที่บรรจุอยู่ในถุงผ้าฝ้าย ความโหยหาฉายขึ้นในแววตาของฌอน แต่ไม่นานความตั้งใจก็หายไป เมื่อนึกถึงเงื่อนไขบางอย่าง
ฌอนไม่รู้ว่าพลังคัดลอกพรสวรรค์นั้นสามารถคัดลอกพรสวรรค์ทางสายเลือดได้หรือไม่
แต่หุ่นเชิดศพที่อยู่ตรงหน้าฌอนนั้นต่างออกไป แม้จะไม่ใช่มนุษย์แล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังมีรส่วนหนึ่งของเป็นมนุษย์ หุ่นเชิดศพนั้นก็น่าจะคัดลอกพรสวรรค์ได้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฌอนก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้นในแววตา
เป็นเรื่องยากที่จะหาคนที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือด อย่างไรก็ตาม ฌอนไม่เคยได้ยินว่าใครบ้างที่มีพรสวรรค์ทางสายเลือดในโรงเรียนอัศวินยุคใหม่ และเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่อาจมีพรสวรรค์ทางสายเลือดนั้น
แต่หุ่นเชิดศพที่อยู่ตรงหน้าฌอนนั้นต่างออกไป การได้รับพรสวรรค์ทางสายเลือดเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้
ในที่สุดฌอนก็ยอมแพ้และไม่ได้ทำสิ่งที่น่าทึ่งจากมุมมองนี้
ในแง่หนึ่ง แม้ฌอนจะได้รับพรสวรรค์ทางสายเลือดจากหุ่นเชิดศพ ก็ไม่กล้าใช้มันอย่างเปิดเผย เพราะจะทำให้คนอื่นสงสัย ท้ายที่สุด แค่เขา ‘สัมผัส’ หุ่นเชิดศพแล้วคัดลอกพรสวรรค์ดที่น่าดึงดูดใจ และได้รับพรสวรรค์ทางสายเลือดมา ถ้าใช้อย่างโจ่งแจ้งก็คงเป็นที่น่าสงสัย
ในทางกลับกัน แม้ฌอนจะสัมผัสร่างของศพนี้ ก็อาจเป็นเรื่องยากในการคัดลอกพรสวรรค์ เพราะร่างของศพที่อยู่ตรงหน้าฌอนนั้นขาดวิ่นเพราะถูกผ่าครึ่ง แปลว่าความสามารถพิเศษในร่างนี้มีโอกาสเสียหายได้เหมือนกัน
เหตุผลที่ฌอนคิดแบบนั้นเป็นเพราะในชาติก่อน เขาพยายามคัดลอกพรสวรรค์ของนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์คนหนึ่ง ท้ายที่สุด การจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์ก็ล้มเหลว ซึ่งเกิดขึ้นก่อนครั้งล่าสุดที่เขามีพรสวรรค์ระดับสูงด้านเคมีในสาขาหนึ่ง และพรสวรรค์ก่อนหน้านั้นมีระดับที่สูงกว่าอันล่าสุดด้วยซ้ำ
แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลว จนต่อมาฌอนก็ค้นพบว่า แม้การคัดลอกพรสวรรค์จะสามารถคัดลอกพรสวรรค์ของศพได้ แต่ก็มีความต้องการสูงในแง่ความสมบูรณ์ของศพ หากความสมบูรณ์ของศพน้อยกว่า 90% ก็มีโอกาสมากที่จะไม่ได้รับพรสวรรค์นั้น แม้แต่ข้อมูลของความสามารถก็จะไม่ปรากฏขึ้น