สุดยอดอัศวิน บทที่ 15 : ถูกโจมตี
สุดยอดอัศวิน บทที่ 15 : ถูกโจมตี
พอกลับมาที่ห้องพัก แล้วนอนอยู่บนเตียง ฌอนมักจะรู้สึกฟุ้งซ่านเล็กน้อย เขาหลับได้ง่าย แต่วันนี้เขาพลิกไปพลิกมา ยังไงก็หลับไม่ลง
เด็กชายที่จ้องมองเขาอย่างเย็นชาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเบนสันที่พ่ายแพ้ให้กับเขาเมื่อครึ่งเดือนก่อน
ตั้งแต่เบนสันพ่ายแพ้ เขาก็ยับยั้งตัวเองอย่างมากและไม่เคยยั่วยุเขาต่อหน้าใครเลย เมื่อใดก็ตามที่เห็นเขา เขามักจะซ่อนตัวให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
เดิมทีฌอนคิดว่าอีกฝ่ายยอมแพ้ที่จะจัดการกับเขา แต่จากวิธีที่อีกฝ่ายมองเขาในวันนี้ เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ แต่เพียงฝังความแค้นนี้ไว้ในใจ ราวกับงูพิษในมุมมืด
เมื่อเขาอยู่ที่ประตูโรงเรียน อีกฝ่ายจ้องมองพ่อบ้านพาวด์เป็นเวลานานด้วยเจตนาร้าย นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงกระวนกระวายใจอยู่เสมอ และรู้สึกอยู่เสมอว่าสิ่งเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น
“ไม่เอาน่า ต้องไปดูให้แน่ใจ!”
ในที่สุด ฌอนก็กระโดดขึ้นจากเตียงแล้ววิ่งตรงไปที่ด้านนอกโรงเรียน
เนื่องจากตอนบ่ายไม่มีเรียน เดิมทีเขาต้องไปฝึกฝนเพิ่ม แต่การจ้องมองของเบนสันทำให้เขาไม่สบายใจ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปที่โรงแรมที่คนจากตระกูลแคมป์เบลชอบไปพักระหว่างทาง
แม้ว่านี่จะทำให้เวลาในการฝึกฝนล่าช้าไปครึ่งวัน แต่เขาคิดว่ามันคุ้มค่า ถือเป็นวันหยุดครึ่งวันให้ตัวเองซะเลย
ห่างจากเมืองหลวงไปไม่กี่ไมล์ รถม้าแปดคันเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ล้อมรอบด้วยผู้ชายมากกว่า 20 คนที่แต่งตัวคล้ายทหาร
ข้างหน้าเป็นรถม้าสี่ล้อที่หุ้มด้วยผ้าใบจนมิด ส่วนข้างหลังเป็นเกวียนทั้งหมด
ในเวลานี้ ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคือพ่อบ้านพาวด์แห่งตระกูลแคมป์เบลล์
พอได้มาเจอฌอนครั้งนี้ก็รู้สึกว่าฌอนเปลี่ยนไปมาก แม้ว่าเขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่อารมณ์ที่แสดงออกกลับเปลี่ยนไป เป็นไปได้ไหมว่าฌอนโตขึ้นมากแล้ว? เขาจึงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์นี้
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกดีมากกับการเปลี่ยนแปลงนั้น และพอใจมาก ๆ ด้วย
ฌอนคนก่อนมักขาดความมั่นใจในตนเอง แต่ฌอนคนปัจจุบันมีความมั่นใจในตนเองอย่างมาก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฌอนคนปัจจุบันเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลแคมป์เบลล์ในอนาคตมาก ๆ และเขาก็พอใจมากในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขากังวลอย่างมาก เมื่อฌอนได้ยินความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างตระกูลแคมป์เบลและตระกูลอดัมส์ สีหน้าของเขาต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เขาจะมองไม่เห็นความรู้สึกของฌอนได้ยังไง
“หรือตระกูลดัมส์วางแผนจะทำอะไรกับท่านฌอนรึเปล่า?”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของชายชราก็ฉายแววเคร่งขรึม คงไม่เป็นไรหากไม่เกิดเรื่อง แต่ถ้าเกิดเรื่องนั้นขึ้น แม้ว่าเขาจะต้องถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ เขาก็จะไม่ปล่อยให้ตระกูลอดัมส์ทำตามอำเภอใจอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น รถม้าที่เขานั่งอยู่เกิดเบรกกะทันหัน ทำให้เขาเซไปข้างหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้การครุ่นคิดนี้ถูกขัดจังหวะ เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แล้วเปิดม่านถาม
“เกิดอะไรขึ้น?”
“พ่อบ้านพาวด์ มีคนขวางทางพวกเราครับ”
คนขับรถม้าเป็นชายหนุ่ม ใบหน้าซีดเซียว
“ขวางทางเหรอ?”
ชายชราเงยหน้าขึ้นและมองไปข้างหน้าด้วยความสงสัย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แล้วตะโกน
“ปกป้องสินค้าเอาไว้”
เบื้องหน้ามีชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธกว่าสี่สิบคนปรากฎตัวขึ้น
พวกเขาถืออาวุธต่าง ๆ รวมทั้งมีด ดาบ ขวาน หรือแม้กระทั่งค้อน มันดูค่อนข้างอันตราย แต่ชายชราก็ไม่กล้าที่จะประเมินค่าคนเหล่านี้ต่ำเกินไป เพราะเขารู้สึกถึงกลิ่นอายของจิตสังหารที่รุนแรงจากคนเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่ง่ายเลยที่จะเจรจากันได้
“ต้องการอะไร? มาขวางทางพวกเราทำไม?”
แถวหน้าของกลุ่มคนทั้งสี่สิบคนมีชายร่างสูงในชุดเกราะหนังสีเทา ถือดาบสองมือ
เมื่อเห็นชายคนนี้ ความกลัวในใจของชายชราก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับผู้ชายคนนั้น เขารู้สึกถึงกลิ่นอายของฆาตกรอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้เคยฆ่าคนไปแล้วมากมาย
“ขอดูเงินของพวกแกหน่อยสิ”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของชายชรา ชายร่างสูงก็มองดูชายชราอย่างสนุกสนานแล้วตอบกลับ
เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด หัวใจของชายชราก็จมดิ่งลง แต่เขาก็ยังพูดอย่างใจเย็น
“ล้อเล่นรึเปล่า พวกเราแค่ทำธุรกิจเล็ก ๆ จะมีเงินมากมายได้ยังไง? นี่เป็นทรัพย์สินทั้งหมดของเรา ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยพวกเราไปเถอะ”
ทันใดเขาก็หยิบถุงผ้าออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนให้ชายร่างสูง
ชายคนนั้นหยิบถุงผ้าออกมาเทใส่ฝ่ามือ เขาพบว่ามีเพียงเจ็ดเหรียญเงิน สีหน้าของชายร่างสูงก็เย็นชาทันที
“แค่นี้เองเหรอ?”
“ผมเป็นแค่คนขนของ จะเอาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน? นี่เป็นเงินทั้งหมดที่ผมมีจริง ๆ”
ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ จริงเหรอ? แต่ฉันได้ยินมาว่าพวกแกมีเงินติดตัวกันเยอะเลยนี่”
มุมปากของชายคนนั้นโค้งขึ้นและพูดอย่างเย็นชา
“ผมเป็นตาแก่ตัวเล็ก ทำธุรกิจเล็ก ๆ แถมมีเงินแค่เล็กน้อย จะมีมากกว่านี้ได้ยังไง? ผมเกรงว่าคนที่พูดคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว”
หัวใจของชายชราเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะเห็นท่าไม่ดี นี่ไม่ใช่การปล้นบนทางหลวงธรรมดา ๆ
“ไม่มีเงินเหลือแล้วเหรอ? คงต้องขอค้นกันหน่อย”
ขณะที่เขาพูด ชายคนนั้นก็นำคนมากกว่าสี่สิบคนเดินตามหลังและเข้ามาใกล้รถม้า
เมื่อเห็นคนเหล่านี้เข้ามาใกล้ ทหารของตระกูลแคมป์เบลล์ก็ก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากับพวกเขา แต่สุดท้ายเขาก็หวาดกลัวเพราะจำนวนของฝ่ายตรงข้ามจนสีหน้าเปลี่ยนไป อดไม่ได้ที่จะจับอาวุธให้แน่นขึ้น
“อะไรเนี่ย คิดจะสู้งั้นเหรอ?”
ชายร่างสูงมองอย่างเย็นชาไปที่ทหารของตระกูลแคมป์เบลซึ่งถืออาวุธอยู่
“ตกลงจะไม่ปล่อยพวกเราไปจริง ๆ ใช่ไหม?”
ชายชรากล่าวอย่างโกรธเคือง
เขาเห็นว่าแม้จะยื่นเงินทั้งหมดที่มีไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยไป เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจ้องเล่นงานตระกูลแคมป์เบลโดยตรง
“จัดการเลย”
ชายร่างสูงไม่สนใจและทำท่าทางออกคำสั่ง คนหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังก็รีบวิ่งออกไปราวกับฝูงหมาป่า กระโจนเข้าใส่ชายชราและกลุ่มทหารของตระกูลแคมป์เบลทั้งยี่สิบคน
เมื่อฌอนมาถึงโรงแรมที่ตระกูลแคมป์เบลแวะเวียนมาพัก เขาพบว่าพ่อบ้านพาวด์และคนอื่น ๆ ออกไปนานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพอกลับจากโรงเรียนอัศวินยุคใหม่ พ่อบ้านพาวด์และคนอื่น ๆ ก็ออกเดินทางไปแล้ว
ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจของเขาทวีมากขึ้น ฌอนขอเช่าม้าที่อยู่ใกล้เคียงทันที แล้วออกจากเมืองหลวง ควบม้าอย่างดุเดือดไปตามเส้นทางการค้าที่ไปยังเมืองเอซาย
หลังจากไล่ตามไปสองถึงสามไมล์ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงอาวุธปะทะกันและเสียงกรีดร้องมาจากด้านหน้า สีหน้าของฌอนเปลี่ยนไปทันที เขาหนีบท้องม้าอย่างแรงและควบม้าไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ควบม้า ฌอนแสดงสีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก
เพียงแค่ได้ยินเสียงอาวุธปะทะกันและเสียงกรีดร้องจากระยะไกล ใคร ๆ ก็สามารถเดาได้ว่าการต่อสู้ข้างหน้านั้นดุเดือดแค่ไหน
จากเส้นทางและเวลาโดยประมาณ เขาเกือบจะแน่ใจแล้วว่ากลุ่มคนที่กำลังต่อสู้อยู่ข้างหน้าคือคาราวานของตระกูลแคมป์เบลล์แน่นอน
แม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลแคมป์เบล แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจริง คือเขาไม่สามารถทิ้งครอบครัวนี้ได้ เหนือสิ่งอื่นใด ค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพต่อปีก็เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่เขาไม่สามารถหาได้ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ต้องการให้ธุรกิจแคมป์เบลต้องเสียหายไปมากกว่านี้