ตอนที่ 395 พลังของดาวพิฆาต
ตอนที่ 395 พลังของดาวพิฆาต
หลังจากเคลื่อนที่เข้ามาในห้องเก็บอาหาร เซี่ยเฟยก็ได้พบกรงเล็บภูติโลหิตที่เขาตามหา โดยมันได้ถูกวางเอาไว้ในตู้แก้วใสขนาดประมาณ 1 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งตู้แก้วนี้ได้สร้างสภาพแวดล้อมเลียนแบบธรรมชาติ เพื่อให้กรงเล็บภูติโลหิตสามารถเติบโตต่อไปได้แม้ว่ามันจะถูกเก็บซ่อนไว้ที่ชั้นใต้ดินก็ตาม
ในความเป็นจริงถึงแม้ว่ากรงเล็บภูติโลหิตจะเป็นสมุนไพรวิเศษ แต่มันก็ไม่ใช่พืชที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีความพิเศษมากนัก ดังนั้นตราบใดก็ตามที่มีน้ำและแสงแดดให้มันอย่างเพียงพอ มันก็เป็นพืชที่สามารถเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ
“ในที่สุดฉันก็เจอมันแล้ว!” เซี่ยเฟยเดินไปทางตู้เพาะพันธุ์พืชด้วยความตื่นเต้น
รูปร่างของพืชชนิดนี้คล้ายกับมือของปีศาจจริง ๆ แต่พืชตรงหน้าไม่ได้มีสีเทาอมแดงเหมือนกับที่เขาได้เห็นในภาพ แต่มันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอมแดงซึ่งแสดงว่ามันใกล้จะได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว
“ฉันว่าอีกไม่นานนายก็คงจะได้ซ่อมแซมพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของนายแล้วล่ะ” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างดีใจ เพราะเขาก็อยากจะเติบโตโดยวิธีการฝึกฝนตามปกติด้วยเช่นกัน
กรงเล็บภูติโลหิตตรงหน้าของเซี่ยเฟยได้เปลี่ยนเป็นสีทองอมแดงแล้ว และตราบใดก็ตามที่เขาเลี้ยงดูมันไปอีกประมาณ 1-2 ปี เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้น้ำยาเพื่อเพิ่มระดับความสามารถของตัวเองอีกต่อไป
ขณะเดียวกันขนอุยที่อยู่บนไหล่ของเซี่ยเฟยก็กำลังจ้องมองไปยังพืชตรงหน้าด้วยแววตาอันเปล่งประกาย และมันก็เริ่มมีหยดน้ำลายไหลออกมาจากมุมปากเล็ก ๆ ของมัน
“ฉันขอเตือนเอาไว้ตรงนี้เลยว่าถ้านายกล้าแตะต้องมันแม้แต่นิดเดียว ฉันจะถอนขนบนตัวของนายออกให้หมด!!” เซี่ยเฟยขู่ขนอุยอย่างจริงจังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะท้ายที่สุดนี่ก็คือสมุนไพรวิเศษที่มีความสามารถซ่อมแซมพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาได้ และถ้าหากว่ามันเกิดความเสียหายขึ้นมาแม้แต่เพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มก็คงจะรู้สึกเสียใจไปอีกนาน
เมื่อขนอุยถูกเจ้านายขู่มันก็ทำได้เพียงแต่ถอนหายใจออกมาด้วยความหมดหวัง จากนั้นใบหน้าของมันก็เริ่มเปลี่ยนกลับไปเป็นประจบประแจง ก่อนที่มันจะเลียแก้มชายหนุ่มราวกับว่าเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับมันเลย
“เซี่ยเฟยฉันว่านายควรจะต้องจับตาดูมันเอาไว้ดี ๆ ขนอุยไม่น่าจะยอมปล่อยพืชชนิดนี้ไปง่าย ๆ” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ
เซี่ยเฟยรู้จักนิสัยขนอุยเป็นอย่างดีและถึงแม้ภายนอกเจ้าหนูนี่จะดูเป็นอสูรที่ดูเชื่อง ๆ และน่ารัก แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นสัตว์อสูรที่เจ้าเล่ห์และร้ายกาจ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะเก็บซ่อนกรงเล็บภูติโลหิตเอาไว้อย่างมิดชิดเพื่อไม่ให้ขนอุยมาแตะต้องสมุนไพรวิเศษชนิดนี้ได้
หลังจากเก็บตู้เพาะพันธุ์พืชลงในแหวนมิติเซี่ยเฟยก็หันหลังและเตรียมตัวที่จะออกไป ซึ่งอันที่จริงเขาได้นำตู้เพาะพันธุ์พืชติดตัวมาด้วย เพียงแต่มันมีขนาดเล็กและมีเทคโนโลยีด้อยกว่าตู้เพาะพันธุ์พืชตู้นี้ เขาจึงเก็บตู้เพาะพันธุ์พืชที่บรรจุกรงเล็บภูติโลหิตเข้าไปในแหวนทั้งตู้ เพราะการย้ายเปลี่ยนตู้ก็อาจจะทำให้สมุนไพรได้รับความเสียหายในระหว่างนั้นได้
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็สังเกตุเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือของศพตรงบริเวณมุมห้อง เขาจึงรีบย่อตัวลงไปเพื่อตรวจสอบมันทันที และทันใดนั้นเขาก็มองเห็นเครื่องส่งสัญญาณอยู่ในอ้อมแขนของไรฝุ่นตัวหนึ่ง ที่สำคัญคือไฟแสดงสถานะสีแดงของมันกำลังกระพริบอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันก็แสดงว่าไรฝุ่นตัวนี้ได้ทำการส่งสัญญาณไปหาใครบางคนก่อนที่มันจะตาย
“มันอาจจะเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือก็ได้” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
เซี่ยเฟยไม่มีเวลาให้พิจารณาเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะเขาไม่สามารถสู้กับคนทั้งศูนย์ฝึกได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้เขายังได้กรงเล็บภูติโลหิตมาแล้วเขาจึงหวังที่จะออกไปจากดาวดวงนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
พริบตาต่อมาชายหนุ่มก็หยิบดาวพิฆาตออกมาจากแหวนมิติและโยนมันทิ้งเอาไว้ในห้อง ก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
ตูม!
ประตูด้านนอกไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากนัก เซี่ยเฟยจึงสามารถใช้เซเลสเชียลมูนในการทำลายประตูออกมาด้านนอกได้โดยตรง
หวอออออ!
บริเวณด้านนอกมีไฟสัญญาณฉุกเฉินหลายสิบตัวส่องแสงสว่างพร้อมกับส่งเสียงร้องเตือนไปทั่วทั้งบริเวณ ขณะเดียวกันนักเรียนและอาจารย์ในค่ายฝึกก็ได้มารวมตัวกันเพื่อหวังจะหยุดเซี่ยเฟยเอาไว้
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปากก่อนที่เขาจะพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า ซึ่งความเร็วนับ 10,000 เมตรต่อวินาทีเป็นความเร็วที่สูงมาก และทำให้ทหารติดอาวุธหลายคนไม่กล้าที่จะลงมือเพราะกลัวที่จะเผลอไปทำร้ายพวกเดียวกันเอง
“ใครขวางตาย!!” เซี่ยเฟยส่งเสียงร้องคำรามพร้อมกับปล่อยใบมีดเซเลสเชียลมูนออกไปทำการสังหารทุกคนที่กล้ามาขวางเส้นทางของเขา
กลุ่มนักเรียนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในค่ายฝึกยังไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงมาก่อน ส่วนทหารและอาจารย์หลาย ๆ คนก็มีประสบการณ์ไม่มากนัก พวกเขาจึงไม่กล้าลงมือทำอะไรที่ผลีผลาม เซี่ยเฟยจึงได้ใช้โอกาสนี้หลบหนีออกไปจากฝูงชน
ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังไล่ตามเซี่ยเฟยไป โทนี่กลับรีบนำกองกำลังกว่า 10 คนเข้าไปยังคลังอาวุธอย่างกระวนกระวาย
ถ้าหากว่าเซี่ยเฟยสามารถหลบหนีไปได้มันก็ถือว่าเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าหากกรงเล็บภูติโลหิตหายไปนั่นมันจึงจะเป็นเรื่องใหญ่ถึงชีวิต เพราะนี่คือของรักของหวงของราชาอูดี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะมีชีวิตนับร้อยชีวิต แต่มันก็ไม่พอที่จะชดใช้ความผิดในกรณีที่เขาทำกรงเล็บภูติโลหิตสูญหายไปได้
ขณะเดียวกันโทนี่ก็ไม่คิดว่าเซี่ยเฟยจะสามารถขโมยกรงเล็บภูติโลหิตออกไปได้ เพราะเขาได้ยินว่าเมนี่ 1 ใน 7 นักรบศักดิ์สิทธิ์ได้เดินทางมาตรวจสอบกรงเล็บภูติโลหิตวันนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่เซี่ยเฟยจะขโมยสมุนไพรไปต่อหน้านักรบศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน
แต่เพื่อที่จะให้เขารู้สึกสบายใจโทนี่กับคนสนิทจึงรีบมุ่งหน้าเข้าไปในห้องเก็บสมุนไพรโดยไม่สนใจคำสั่งห้ามของอูดี้ แต่ทันทีที่เขาเปิดประตูมันก็ทำให้โทนี่เกือบจะเป็นลมล้มพับไป
“ผอ. คุณโอเคหรือเปล่า?”
“ผอ. เป็นอะไรไป?”
คนสนิทรีบวิ่งเข้ามาพยุงโทนี่ทีละคน เนื่องมาจากชายชราคนนี้กำลังตัวสั่นขาอ่อนล้มพับกับพื้นลงไปแล้ว
“เร็ว ๆ เข้า! รีบเข้าไปข้างในแล้วดูว่ากรงเล็บภูติโลหิตยังอยู่ไหม?” โทนี่กล่าวอย่างตะกุกตะกักหลังจากที่ได้เห็นภาพศพที่อยู่ตรงประตู
“ผอ. แย่แล้ว! ดูนั่นท่านเมนี่ตายแล้ว!!” อาจารย์คนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างอึกอักขณะเห็นศพที่อยู่ริมกำแพง
ไม่มีใครคาดคิดว่า 1 ใน 7 นักรบศักดิ์สิทธิ์แห่งเต็นท์ทองคำจะถูกสังหารโดยศัตรูที่บุกเข้ามาภายในค่ายเพียงแค่ลำพัง
ใบหน้าของโทนี่ซีดขาวลงมากกว่าเดิมและหัวใจของเขาก็กำลังจะหยุดเต้น เขาจึงรีบคลานเข้าไปหาศพของเมนี่ด้วยท่าทางราวกับคนไม่มีแรง
“ท่านเมนี่ตายได้ยังไง?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จากการตรวจสอบลำคอของเขาค่อนข้างเย็นและกระดูกบริเวณด้านหลังก็ถูกกระแทกจนแตกละเอียด”
“เขาถูกฆ่าโดยชายชุดดำคนเมื่อกี้นี้เหรอ?”
“ไม่มีทาง! ท่านเมนี่อยู่ระดับไหน นักรบศักดิ์สิทธิ์ผู้สง่างามจะถูกสังหารง่ายดายแบบนั้นได้ยังไง”
“มันจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ ฉันคิดว่าชายคนนั้นน่าจะอยู่ในระดับ 5 เป็นอย่างต่ำและความเร็วที่เขาใช้ก็น่าจะเกือบ ๆ 10,000 เมตรต่อวินาที”
“โชคดีแล้วที่เราไม่ตามเขาไป ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะตกเป็นหนึ่งในเหยื่อที่เขาสังหาร”
ในระหว่างที่ทุกคนพูดเรื่องนี้บทสนทนาก็ไม่เข้าหูโทนี่เลยแม้แต่นิดเดียว
เมนี่คือลูกพี่ลูกน้องของราชาอูดี้และเขายังเป็นหนึ่งในคนที่อูดี้ให้ความไว้วางใจมากที่สุด แต่ในตอนนี้เมนี่ได้เสียชีวิตในศูนย์ฝึกที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา และเมื่อไหร่ที่อูดี้รู้เรื่องนี้เขาก็เกรงว่าครอบครัวของเขาคงจะถูกสั่งประหารทั้งตระกูล
ตอนนี้ความหวังเดียวอยู่ที่กรงเล็บภูติโลหิตแล้ว เพราะตราบใดที่กรงเล็บภูติโลหิตยังอยู่มันก็อาจจะพอช่วยชดเชยความผิดในครั้งนี้ของเขาได้บ้าง
หลังจากคิดพิจารณาสถานการณ์โทนี่ก็รีบวิ่งเข้าไปภายในห้องพร้อมกับสวดภาวนาภายในใจขอให้สมุนไพรอย่าถูกขโมยออกไปโดยโจรคนนั้นเลย
น่าเสียดายที่หลังจากเขาได้เข้ามาเขาก็รู้สึกผิดหวังในไม่ช้า เพราะตู้เก็บกรงเล็บภูติโลหิตหายไปจากตำแหน่งที่มันควรจะอยู่
อันที่จริงโทนี่ก็ไม่เคยเข้ามายังห้องนี้เหมือนกัน เขาจึงไม่มั่นใจว่าสมุนไพรวิเศษถูกขโมยไปแล้วจริง ๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามค้นหาทุกซอกทุกมุมภายในห้องอย่างลนลาน แม้กระทั่งมุมบางมุมที่ไม่น่าจะมีกรงเล็บภูติโลหิตเก็บอยู่เขาก็ยังพยายามเข้าไปหาด้วยความหวังอันน้อยนิด
เหล่าบรรดาอาจารย์และทหารที่มาพร้อมกับโทนี่ต่างก็ยืนเงียบไว้อาลัยให้กับชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งมันก็มีเพียงโทนี่คนเดียวเพียงเท่านั้นที่ปฏิเสธไม่ยอมเชื่อว่ากรงเล็บภูติโลหิตได้ถูกขโมยออกไปแล้วจริง ๆ
“ห๊ะ! นี่มันอะไร?” อาจารย์ตาดีคนหนึ่งเดินไปหยิบดาวพิฆาตที่เซี่ยเฟยทิ้งไว้ขึ้นมาอย่างพิจารณา
“ไหนเอามาดูสิ!”
พริบตาต่อมามันก็มีแสงสว่างวาบราวกับแสงสุดท้ายของดาวฤกษ์ที่กำลังจะดับสูญระเบิดออกมา พร้อมกับเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำแพรวพราวราวกับดวงอาทิตย์ที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้น เพราะแม้แต่ดาวเคราะห์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ได้รับผลกระทบจากเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นมาเช่นเดียวกัน ซึ่งในเวลาเพียงแค่ 10 นาทีพื้นที่ครึ่งกาแล็กซีก็จมลงภายใต้กองเพลิงที่ลุกโชน
เซี่ยเฟยยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดที่หน้าต่างของเบโอเนทด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากเขาได้มีโอกาสแก้แค้นแทนพันธมิตรได้บางส่วนแล้ว
“ไม่พอ แค่นี้มันยังไม่พอ…” เซี่ยเฟยพึมพำออกมาเบา ๆ ขณะมองดูดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ที่ปะทุขึ้นในอวกาศ
“กาแล็กซีครึ่งกาแล็กซีถูกกลืนหายไปแล้วนายยังไม่พอใจอีกเหรอ? แต่ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าพวกมนุษย์โบราณคิดค้นระเบิดแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง? พลังทำลายของมันจะน่ากลัวมากจนเกินไปแล้ว” อันธกล่าวพร้อมกับเม้มริมฝีปาก
“ฉันไม่ได้พูดถึงพลังทำลายของดาวพิฆาต แต่ฉันกำลังจะบอกว่าชีวิตของเซิร์กเพียงแค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะชดใช้ให้กับชีวิตของแอวริลได้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“แอวริลอาจจะมีชีวิตอยู่ก็ได้ ทำไมนายถึงต้องคิดร้ายไปก่อนแบบนั้นด้วย” อันธพยายามกล่าวปลอบใจ
“ฉันเคยสัญญาว่าฉันจะไม่ปล่อยให้แอวริลตกอยู่ในอันตรายและฉันจะต้องทำให้ได้ ในเมื่อพวกมันกล้ามาแตะต้องผู้หญิงของฉัน ฉันก็จะกวาดล้างเผ่าพันธุ์ของพวกมันให้ได้มากที่สุด” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับแววตาที่ลุกโชนไปด้วยไฟแค้น
คำตอบนี้ทำให้อันธรู้สึกตกตะลึงและมันก็ดูเหมือนกับว่าเซี่ยเฟยจะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันยังมีโอกาสที่หญิงสาวจะรอดชีวิตจากการบุกโจมตี เพราะท้ายที่สุดเธอก็เป็นถึงทายาทของตระกูลเจี่ยน ดังนั้นเธอจึงมีช่องทางหลบหนีมากกว่าคนโดยทั่วไป และมันก็ดูเหมือนกับว่าเหตุผลจริง ๆ ที่ชายหนุ่มลงมือทำแบบนี้นั่นก็เพราะพวกเซิร์กกล้าที่จะมาทำร้ายแอวริล!
“มันช่างเป็นการแก้แค้นที่ดื้อรั้นและบ้าคลั่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลย” อันธอุทานกับตัวเองภายในใจ
หลังจากนั้นเบโอเนทก็พุ่งตรงไปยังเป้าหมายลำดับถัดไป ซึ่งเซี่ยเฟยก็ไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขาในดินแดนเซิร์กได้ก่อให้เกิดพายุลูกใหม่ในดินแดนของพันธมิตร
***************