บทที่ 52
บทที่ 52
ระบบคือที่พึ่งเดียวในการเอาตัวรอดของฉินห่าวในโลกใบนี้ ดังนั้นเขาได้ศึกษามันอย่างลึกซึ้งแล้ว และยังจำได้ดี ว่าระบบเคยกล่าวว่าไม่ว่าจะเป็นค่ายกล ผนึก หรือกับดักใดๆ ก็ล้วนไม่อาจกักขังเขาเอาไว้ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ร่างอมตะของเขาไม่มีสิ่งใดกักขังหน่วงเหนี่ยวได้!
ตราบเท่าที่เขาต้องการจะออก ไม่มีค่ายกลหรือผนึกใดสามารถหยุดเขาได้ แม้จะแค่วินาทีเดียวก็ตาม
“เจ้า... เจ้าทำได้อย่างไร”
ผู้อาวุโสหลิวตกตะลึง เธอมั่นใจมาก ว่าต่อให้ศัตรูอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งก็ไม่มีทางออกมาได้ แต่ฉินห่าวอยู่แค่ขอบเขตแก่นทองคำช่วงต้น แล้วเขาออกมาได้ยังไง?
หรือเขาจะมีอาวุธวิเศษสำหรับทำลายผนึกโดยเฉพาะ? ไม่ใช่! เธอยังไม่เห็นเขาหยิบอะไรออกมาเลย!
“ลาก่อน!”
ฉินห่าวหันหลังกลับ มองซากปรักหักพังของนิกายเฉินเมิ่ง เขายิ้มและโบกมือ จากนั้นใช้สลายโลหิตแล้วจากไปอย่างมีความสุข
แม้ไม่เห็นเงาร่างของเขาแล้ว แต่หลายคนในที่นี้ยังไม่ตอบสนอง ในใจพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับคำถามที่ว่าฉินห่าวออกมาได้อย่างไร?
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่น่าสนใจ!”
ผู้อาวุโสหลิวสงบใจลงได้ เธอยิ้ม หันศีรษะกลับมาดูซากปรักหักพังของนิกายด้วยหัวใจสั่นสะท้าน อย่างไรก็ตาม สีหน้าเธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวว่า “ผู้อาวุโสเถียน ฝากท่านซ่อมแซมที่นี่ด้วย ส่วนข้าขอไปรายงานท่านประมุข”
ว่าจบ เธอก็ไม่รอช้า ทะยานหายไปทันที
เถียนเฉิงหยุน “…”
เขามองตึกรามนับไม่ถ้วนที่ไม่มีหลังไหนสภาพสมบูรณ์เลย ก็อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา … ข้าไม่น่าล่วงเกินผิดคนเลย!
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสหยินเผ่นไปนานแล้ว เพราะเขากลัว กลัวว่าฉินห่าวจะฉุกคิดถึงเขา แล้วใช้จมูกสุนัขไล่ตามมา
ผู้อาวุโสหยินสามารถตัดสินสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน จากการต่อสู้ครั้งนี้ เขากระจ่างแล้วว่าฉินห่าวคือปีศาจที่ไม่อาจล่วงเกิน มิใช่สิ่งที่สำนักเซี่ยเจี้ยนของพวกตนจะจ่ายไหว อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่สามารถจ่ายได้ ดังนั้นควรกลับนิกายไปเพื่อรายงาน
ต่อจากนั้น …. ก็ซ่อนตัวและเก็บตัวเงียบซักสองสามวัน
ด้านฉินห่าว เขาฆ่าสัตว์ร้ายระหว่างทางกลับนิกาย และตรวจสอบค่าความเกลียดชังที่มี ซึ่งพบว่ามันมีมากกว่าสามหมื่นแต้มแล้ว!
….
บริเวณหน้าประตูทางเข้านิกายเซียวเหยา
“ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ฉินจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาออกเดินทางได้สี่วันแล้ว อา สองวันมานี้ไม่สงบเลย ข้าได้ยินมาว่ามีสาวกหลายคนของพวกเราเจอกับพวกเซี่ยถู และยังได้ยินมาว่าพวกมันแฝงตัวเข้ามาในเมืองต่างๆในอาณาเขตของพวกเราแล้วด้วย”
หนึ่งในสองยามเฝ้าประตูเอ่ยอย่างไม่สบายใจ
“ทุกอย่างต้องไม่เป็นไร ศิษย์พี่ฉินแก่กล้ามาก และผู้อาวุโสเทียนจะเดินทางไปรับเขาในวันพรุ่งนี้ ด้วยพลังรบของผู้อาวุโสเทียน คงไปถึงที่นั่นในครึ่งวัน ฉะนั้นทางนิกายเฉินเมิ่งไม่น่ากล้าทำอะไรร้ายแรงจนเกินไป”
สาวกอีกคนกล่าวปลอบ “ส่วนเรื่องพวกเซี่ยถู นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะไปยุ่งได้ เชื่อเถอะว่าเหล่าผู้อาวุโสกำลังคิดหาทางแก้อยู่”
หวืออออ!
ขณะนั้นเอง กระแสแสงวาบผ่านผืนฟ้า
“เอ๊ะ? นั่นศิษย์พี่ฉินไม่ใช่หรอ?”
ทั้งสองเงยหน้าขึ้น อุทานอย่างประหลาดใจ “ศิษย์พี่กลับมาแล้ว!”
....
“อาจารย์ ศิษย์กลับมาแล้ว”
ฉินห่าวหยั่งเท้าลงในยอดเขาเทียนหยุน ตะโกนเสียงดัง
“ศิษย์ข้าเจ้ากลับมาแล้ว? พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยใช่หรือไม่?” เทียนหยุนจิบชาแล้วยิ้ม
“เหอ เหอ พวกเขากลัวชื่อเสียงของท่านอาจารย์ แล้วจะกล้าลงมือกับข้าได้ยังไง? ทุกคนเป็นมิตรดีมาก” ฉินห่าวนั่งลงและกินผลไม้
“งั้นก็ดี!” เทียนหยุนถอนหายใจโล่งอก กล่าวด้วยใบหน้ามีเลือดฝาด
“ยังไงก็ตาม ช่วงสองสามวันมานี้ ในอาณาเขตของนิกายเซียวเหยาค่อนข้างไม่มั่นคง บางเมืองก็เริ่มไม่สงบ ในฐานะสาวกชั้นหนึ่งของนิกาย เจ้าควรเป็นตัวอย่างที่ดี นำเหล่าศิษย์น้องออกไปลาดตระเวน”
เทียนหยุนครุ่นคิดแล้วพูด
“ไม่มั่นคง? เป็นฝีมือพวกเซี่ยถู? หรือสำนักเซี่ยเจี้ยน?” ฉินห่าวแหงนคอและนึกถึงสองกองกำลังนี้
“สมควรเป็นพวกเซี่ยถูมากกว่า นอกจากหัวนักบวชที่เจ้านำมาแล้ว พวกเราไม่เคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของพวกมันคนไหนอีกเลย แถมยังไม่เข้าใจวิชาฝึกของพวกมันด้วยซ้ำ ตอนนี้พอพวกมันถอดชุดคลุมดำออกและแทรกซึมเข้าเมือง ทางเจ้าเมืองและเหล่าสาวกเลยแยกความแตกต่างไม่ออก”
เทียนหยุนกล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าเขาเริ่มเคร่งขรึมเล็กน้อย