บทที่ 328 – สถานการณ์ในปัจจุบัน
เสียงของไห่เย่วดังขึ้นมาอีก คราวนี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ไม่มีทาง! ฉันไม่มีทางรออยู่ที่นี่อย่างเด็ดขาด อย่างน้อยฉันก็เป็นอาจารย์เวทย์คนหนึ่ง มีความสามารถมากพอที่จะให้ความช่วยเหลือได้ จะไม่ยอมปล่อยให้นายออกไปเผชิญหน้ากับอันตรายตามลำพัง แล้วนั่งรออย่างเป็นห่วงอยู่ในวังหลวงนี่คนเดียวเป็นอันขาด”
หม่าเคอกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “ไห่เย่ว เธออย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้เลย แค่นี้ฉันก็มีเรื่องต้องคิดมากอยู่ไม่น้อยแล้วนะ ถ้าเธอเดินทางพร้อมกัน ฉันไม่มีทางมีสมาธิในการทำสงครามได้อย่างเต็มที่แน่ คงต้องเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของเธออยู่ตลอดเวลา แล้วถ้ามันเกิดอะไรที่ไม่ดีขึ้น จะให้ฉันทำอย่างไร? เชื่อที่ฉันบอกนะ รออยู่ที่เมืองหลวงนี่เถอะ ไม่ต้องเดินทางไปด้วยหรอก”
ไห่เย่วยังคงไม่ยอมง่าย ๆ “ก็เพราะว่ามันไม่ปลอดภัยอย่างไรล่ะ ฉันถึงจะไม่ปล่อยให้นายไปตามลำพังเด็ดขาด ถ้านายไม่พาฉันไปด้วยดี ๆ อย่างมากฉันก็แอบตามออกไปทีหลังเองก็ได้ นายคิดเอาเอง ว่าอยากจะให้เป็นแบบไหน?”
“นี่....ฉันว่า...ก็ได้” หม่าเคอถึงกับพูดออกมาไม่ถูกเลย
ผมที่ยังแอบอยู่บนหลังคา ได้แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ ต่อให้เป็นราชาของอาณาจักรแล้ว หม่าเคอก็ยังถูกไห่เย่วจัดการได้อย่างง่าย ๆ เหมือนเดิม ก่อนจะส่งสายตาบอกไปที่เจี้ยนซาน ว่าให้ลงไปที่ด้านล่างกันได้แล้ว
“ใครอยู่ตรงนั้น!!” เสียงตะโกนดังลั่นมา ตอนที่พวกเราลงมาถึงพื้นหน้าท้องพระโรง พร้อมกับมีคนพุ่งเข้าใส่มาในทันทีเหมือนกัน ไม่มีอะไรเกินความคาดหมาย ผู้นำของอาณาจักรยังอยู่ที่นี่ การป้องกันรักษาความปลอดภัยควรจะเข้มงวดอย่างนี้อยู่แล้ว เมื่อพวกเราปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน และไม่มีที่มาที่ไป การจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่แทรกซึมเข้ามา หรือมือสังหาร เป็นเรื่องที่ยอมรับได้
ผมไม่ได้ต้องการจะเสียเวลาอธิบาย หรือต่อสู้กับพวกเขาเลย จึงได้ร่ายเวทย์ออกมาเป็นม่านพลังป้องกันเอาไว้รอบตัว แต่แค่นั้นก็กระแทกส่งพวกเขากระเด็นออกไปอย่างแรงแล้ว ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะไม่ได้คิดที่จะทำอันตรายให้มีใครได้รับบาดเจ็บขึ้นมาเลย เมื่อเห็นไม่ได้มีใครเป็นอะไรมาก ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเข้าถึงตัวได้ ทหารองค์รักษ์เหล่านั้นเปลี่ยนเป็นล้อมกรอบพวกผมทั้ง 2 คนเอาไว้อย่างแน่นหนาแทน และเหล่านักเวทย์ก็เริ่มกวัดแกว่งคทาเวทย์เพื่อเตรียมโจมตีด้วยเวทย์มนต์
ผมรีบตวาดออกไปด้วยเสียงอันดัง “หยุดโจมตีก่อน! หม่าเคอ มาสั่งให้คนของนายหยุดโจมตีได้แล้ว หรือว่าพอได้เป็นราชา ก็ลืมพี่ใหญ่คนนี้ไปแล้ว?”
“หยุดมือก่อน!!” เสียงหม่าเคอตะโกนสั่งการเหล่านักเวทย์ที่กำลังกล่าวคำร่ายให้หยุดลง เดินลงมาจากที่นั่งประจำของตัวเองพร้อมกับไห่เย่ว จ้องมาที่ผมอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเองมากนัก และมองที่หน้ากากบนใบหน้าอย่างสังเกตเป็นเวลานาน แล้วในที่สุด หม่าเคอก็กล่าวออกมาด้วยเสียงสั่น ๆ เล็กน้อย “เจ้า..ท่าน..คือ?”
ผมพยักหน้า ก่อนจะกล่าวออกมาเรียบ ๆ “ใช่! ฉันเอง ฉันกลับมาแล้ว”
“พี่ใหญ่!” หม่าเคอตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมกับวิ่งเข้ามาหาผมอย่างตื่นเต้น เมื่อคืนผมมีประสบการณ์จากตอนที่เจี้ยนซานวิ่งเข้าใส่ครั้งหนึ่งแล้ว ในครั้งนี้จึงตรวจสอบเป็นอย่างดีว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองไม่ได้รั่วไหลออกไปสร้างเป็นกำแพงป้องกันไว้เองอีก ปล่อยให้หม่าเคอสามารถวิ่งเข้าถึงตัวผมได้อย่างสะดวก
“พี่ใหญ่ ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว พี่รู้ตัวบ้างหรือไม่ ว่าหายไปนานแค่ไหน ทำไมถึงปล่อยให้ผมต้องรอนานขนานนั้นด้วย?”
“เฮ้อ! ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้เวลานานถึงขนาดนี้ แล้วก็หยุดเขย่าได้แล้ว จะฆ่าฉันหรือยังไงกัน?”
หม่าเคอรีบปล่อยมือออกจากหัวไหล่ของผมทันที แต่ตาของเขาแดง ๆ เหมือนจะมีน้ำตาไหลออกมาแล้ว “พี่ใหญ่ เยี่ยมไปเลยที่พี่กลับมาได้เสียที ตอนนี้โลกเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว”
ผมพยักหน้าให้เขา “ฉันได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาบ้างแล้ว เผ่ามารเริ่มโจมตีอย่างนักแล้วใช่หรือไม่? แล้วตอนนี้มู่จือ กับคนอื่น ๆ ไปอยู่ที่ไหนกันหมด”
หม่าเคอกระแอมออกมา “พี่ใหญ่ ทำไมพี่ถึงได้เป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ เพิ่งได้เจอหน้าน้องชายตัวเองแท้ ๆ ก็ถามหาคนอื่นแล้ว จะถามว่าผมเป็นอย่างไรบ้างสักคำก็ยังไม่มี เฮ้อ!”
ผมยื่นมือออกไปตบไหล่เขาอย่างแรง “นายอยากจะโดนฉันอัดจริง ๆ ใช่มั้ย เดี๋ยวนี้กล้าสอนฉันแล้วเหรอว่าควรจะถามอะไรก่อน? นายอยู่ตรงหน้านี่เอง สภาพเป็นยังไงก็เห็น ๆ กันอยู่ จะต้องถามอะไรให้มันมากมายนัก ต้องถามหาคนที่ยังไม่เจอนะถูกแล้ว อย่างชักช้า รีบบอกมาว่าพวกมู่จืออยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้น...” ผมรวมมือทั้ง 2 ข้างของตัวเองเข้าด้วยกัน ขยับไปมาเพื่อขู่ขวัญ ทำให้หม่าเคอนั้นมีสีหน้าที่เจื่อน ๆ ไปเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงทหารองครักษ์ที่ยังยืนอยู่รอบ ๆ เลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดกำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นอย่างมาก
“เฮ้! จางกง! จะรังแกหม่าเคอตั้งแต่กลับมาเจอหน้ากันเลยหรือยังไง? ถามฉันแล้วหรือยัง ว่าจะยอมหรือเปล่า?” ไห่เย่วต้องออกหน้าแทนแล้ว เธอเดินออกมาคล้องแขนปกป้องหม่าเคอเอาไว้อย่างเต็มที่
นั่นทำให้หม่าเคอต้องกล่าวออกมาอย่างลืมตัว “ยังไงเสีย ภรรยาตัวเองก็ดีที่สุดแล้ว”
ผมยิ้มออกมา แล้วรีบกล่าวเป็นเชิงขอโทษทันที “เห็นแก่ไห่เย่วก็แล้วกัน คราวนี้ฉันจะยกโทษให้นายก่อน แต่รีบบอกฉันมาเร็ว ๆ ว่าพวกนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแน่ เวลามีไม่มากนักหรอก เผ่ามารอาจจะเริ่มลงมือได้ทุกเมื่อ ฉันต้องได้เจอกับทุกคนโดยเร็ว จะได้วางแผนรับมือได้อย่างทันท่วงที”
เมื่อผมเอ่ยถึงเผ่ามารออกมา สีหน้าของหม่าเคอก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที ก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยปากออกมา “พี่ใหญ่ คิดเหมือนกันกับผมเลย เผ่ามารสงบนิ่งเกินไป ถ้าพวกนั้นลงมืออีกครั้ง ต้องเป็นการโจมตีครั้งใหญ่แน่ ๆ และเมื่อ 5 วันก่อนหน้านี้ มีรายงานเข้ามาว่าที่ป้อมปราการเต๋อหลุน มีร่องรอยของเผ่ามารอยู่บริเวณในเหวลึกที่พี่สร้างเอาไว้นั้น เท่าที่รายงานบอกไว้ จำนวนของพวกมันใช่น้อย ๆ เลยด้วย พวกมันยังไม่ได้เปิดการโจมตีอะไรมากมายนัก แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเตรียมการยังไม่เรียบร้อยมากว่า ตอนนี้มู่จือกับพวกพี่น้องจากดินแดนของผู้พิทักษ์แห่งเทพได้มุ่งหน้าไปที่ป้อมปราการก่อนแล้ว ถ้ามีโอกาส จะทำการกำจัดพวกมันลงอย่างสิ้นซากในคราวเดียว แต่มันคงจะไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่ ๆ ตรงนั้นเป็นชัยภูมิที่ไม่เหมาะสมสำหรับพวกมันเลยแม้แต่น้อย พวกเราทั้ง 3 เผ่าพันธุ์ล้อมอยู่อย่างแน่นหนา แล้วยังมีความช่วยเหลือจากเผ่ามังกร และเผ่าเอลฟ์ธรรมชาติอีก แต่พวกมันกลับปรากฏตัวขึ้นมาที่นั่น คงจะต้องวางแผนร้ายอะไรเอาไว้อย่างแน่นอน”
ผมถอนหายใจยาวออกมา “บางทีนี่พวกมันอาจจะต้องการทำศึกตัดสินเลยก็ได้ ราชามารน่าจะปรากฏตัวออกมาในอีกไม่นานแล้ว” ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่รุนแรงของเผ่ามาร ตั้งแต่ออกมาจากหุบเขาแบ่งฟ้า พวกมันเริ่มจะลงมือครั้งใหญ่แล้วจริง ๆ
หม่าเคอกับไห่เย่วหันไปมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย “พี่ใหญ่ พี่คิดว่าคราวนี้ราชามารจะมาด้วยตัวเองเลยอย่างนั้นหรือ?”
ผมตอบกลับ “อืม! เป็นไปได้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว หม่าเคอ! ในช่วงเวลา 2 ปีมานี้ พวกนายได้ปะทะกับ 3 มหามารบ้างหรือไม่?”
เขาพยักหน้า “เคยครั้งหนึ่ง แต่ราชามังกรขับไล่มันหนีไปได้ และหลังจากนั้น พวกมันก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย”