ตอนที่แล้วตอนที่ 391 พลังของขนอุย?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 393 7 นักรบศักดิ์สิทธิ์

ตอนที่ 392 โกดังเก็บอาวุธ


ตอนที่ 392 โกดังเก็บอาวุธ

ในที่สุดขนอุยก็แสดงพลังออกมาเป็นครั้งแรก โดยการพ่นลูกบอลแสงขนาดเล็กออกมาจากปากของมัน แต่ทันทีที่ลูกบอลแสงนั้นได้กระทบเข้ากับร่างของจิมมี่ นักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับ 4 ก็สลายหายไปกลายเป็นโมเลกุลพลังงานที่แตกกระจายในอากาศ

เมื่อร่างของจิมมี่หายไปเซี่ยเฟยก็กลับมาขยับแขนขาได้อีกครั้ง แล้วเขาก็ได้จ้องมองไปยังขนอุยด้วยแววตาที่ไม่อยากจะเชื่อ

ขนอุยยังคงส่งรอยยิ้มหวานพร้อมกับกระโดดลงจากไหล่ของชายหนุ่มเพื่ออ้าปากดูดซับโมเลกุลพลังงานเข้าไป ซึ่งหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปไม่นานท้องของมันก็นูนออกมาคล้ายกับลูกโป่งที่โดนสูบลม

หลังดูดกลืนโมเลกุลพลังงานในอากาศจนหมด ขนอุยก็เลียริมฝีปากด้วยความเอร็ดอร่อย จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเซี่ยเฟยอีกครั้ง และถูร่างกายที่มีขนปุกปุยของมันเข้ากับใบหน้าของชายหนุ่ม

ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะมองไม่เห็นโมเลกุลพลังงานที่กระจายอยู่ในอากาศ แต่การรับรู้อันเฉียบคมของเขาก็พอจะทำให้เขาสัมผัสถึงความผันผวนที่ผิดปกติของพลังงานในอากาศได้ แต่เมื่อเขาได้ยื่นมือขวาออกไปเพื่อสำรวจมันก็ต้องทำให้เขารู้สึกตกใจกับผลลัพธ์ที่เขาสัมผัส

“หมดแล้ว!” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง

“ใช่ ไม่เหลืออยู่เลย” อันธกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

นักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับ 4 มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักสู้มนุษย์ระดับสตาร์ริเวอร์ และพลังงานที่มีอยู่ในร่างของนักรบย่อมไม่ใช่พลังงานเพียงแค่เล็กน้อยอย่างแน่นอน

แต่ถึงกระนั้นขนอุยกลับดูดซับพลังงานทั้งหมดเข้าไปในคราวเดียว ซึ่งความต้องการอาหารของมันมากเกินกว่าจินตนาการของเขาจริง ๆ

แต่เมื่อชายหนุ่มนึกถึงตอนที่ขนอุยดูดซับพลังงานทั้งหมดในหัวใจจักรวาลสีม่วง 3 ก้อนติดต่อกันในคราวเดียว เขาก็เริ่มยอมรับสถานการณ์ในครั้งนี้ได้บ้าง ซึ่งข้อเท็จจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าขนอุยน่าจะเป็นอสูรที่ตะกละที่สุดในจักรวาล

คำถามก็คือมันใช้พลังงานทั้งหมดนั้นเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายเล็ก ๆ นี่จริง ๆ เหรอ?

หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอัตราการบริโภคพลังงานภายในร่างของมันก็รุนแรงมากเกินไป เพราะตั้งแต่เกิดเจ้าหนูนี่ดูดซับพลังงานมากพอที่จะทำให้ยานบัญชาการขนาดใหญ่เดินทางในทะเลดวงดาวได้เป็นเวลานานมากกว่า 1 ปี

แต่พลังงานจำนวนนี้กลับทำให้ร่างของมันขยายขึ้นมามีขนาดเท่ากับลูกบาสเก็ตบอล เซี่ยเฟยจึงนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าขนอุยจะต้องดูดซับพลังงานอีกมากแค่ไหน ร่างกายของมันจึงจะเจริญเติบโตขึ้นมาได้อย่างเต็มที่

“ดูเหมือนว่าขนอุยจะมีพลังในการเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นพลังงานที่เป็นอาหารของมันได้ พลังของมันจะน่ากลัวมากเกินไปแล้ว! ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนเลย” อันธใช้มือแตะคางพร้อมกับพยายามวิเคราะห์ความสามารถของขนอุย

เซี่ยเฟยใช้มือลูบขนอุยอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับคิดในใจว่าโชคดีแล้วที่เขาได้ทำพันธสัญญากับอสูรตัวนี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่อยากเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีพลังที่แก่กล้าแบบนี้เหมือนกัน

“ฉันลืมเรื่องที่นักรบเซิร์กก็มีผู้ใช้พลังพิเศษไปเลย หลังจากนี้ฉันควรจะต้องปรับเปลี่ยนแผนการรบของฉันใหม่” เซี่ยเฟยกล่าว

“เรื่องนี้จะโทษนายก็ไม่ถูก พันธมิตรกับเซิร์กตัดการเชื่อมต่อกันไปนานแล้ว และมันก็เป็นเรื่องปกติที่นายจะไม่รู้ว่าพวกเซิร์กมีผู้ใช้พลังพิเศษอยู่จริง ๆ หรือเปล่า เพราะตามบันทึกในประวัติศาสตร์มันก็ไม่มีใครเคยบันทึกเรื่องพวกนี้เอาไว้” อันธกล่าว

เซี่ยเฟยพยักหน้ารับพร้อมกับคิดตามว่าในสงครามครั้งแรกระหว่างมนุษย์กับเซิร์กมันไม่เคยมีข้อมูลเรื่องเซิร์กมีพลังพิเศษมาก่อน ซึ่งมันก็หมายความว่าเซิร์กน่าจะมีพลังพิเศษหลังจากสงครามครั้งนั้น มันจึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถประเมินพลังที่แท้จริงของเซิร์กในปัจจุบันได้

ด้วยเหตุนี้เซี่ยเฟยจึงตระหนักว่าการเคลื่อนไหวในดินแดนเซิร์กคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่คิด และเขาก็จำเป็นจะต้องวางแผนรับมือนักรบศักดิ์สิทธิ์อย่างรอบคอบมากกว่านี้

“ทำไมนายถึงไม่เจอข้อมูลพลังพิเศษของเซิร์กในเครือข่ายข้อมูลของพวกมันล่ะ?” อันธถาม

“บางทีฉันอาจจะอ่านข้อมูลไม่ละเอียดมากพอ หลังจากฉันกลับไปฉันจะเจาะเข้าไปในฐานข้อมูลที่อยู่ลึกกว่านี้ เอาล่ะตอนนี้พวกเราควรจะมุ่งความสนใจไปที่การค้นหากรงเล็บภูติโลหิตก่อน แล้วเราค่อยกลับไปหาข้อมูลเรื่องพลังพิเศษของเซิร์กกันทีหลัง” เซี่ยเฟยกล่าว

หลังจากทำการซ่อนศพเซี่ยเฟยก็ค่อย ๆ เดินลงบันไดโดยไม่ได้ปิดประตูด้านบนเอาไว้ เพราะเขาเก็บมันไว้เป็นเส้นทางหลบหนีของตัวเอง

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเช้าตรู่แล้ว แต่ด้านในค่ายฝึกก็ไม่มีใครปรากฏตัวขึ้นมาในเวลาเช้าเช่นนี้เลย มันจึงทำให้สภาพแวดล้อมตกอยู่ในความเงียบสนิท

หลังจากสำรวจไปสักพักชายหนุ่มก็ได้พบกับแผนผังของค่ายฝึก ซึ่งระบุว่าอาคารแต่ละหลังคืออาคารอะไรและเส้นทางหลักที่เอาไว้ใช้เดินทางไปยังอาคารเหล่านี้

จากการวิเคราะห์เซี่ยเฟยทำการตัดอาคารเรียน, สถานที่ฝึกอบรมและหอพักของนักเรียนออกไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่สมุนไพรวิเศษอย่างกรงเล็บภูติโลหิตจะถูกเก็บไว้ในสถานที่ที่มองเห็นได้อย่างโดดเด่นแบบนั้น เขาจึงพยายามมองหาอาคารที่ไม่เด่นสะดุดตา เพราะมันมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่าที่มันจะเป็นสถานที่ซ่อนของสมุนไพรเป้าหมายของเขาในครั้งนี้

“ฉันว่ามันอาจจะเป็นที่พักของโทนี่ก็ได้ ท้ายที่สุดเขาก็เป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับ 5 ที่มีพลังเทียบเท่ากับนักสู้มนุษย์ระดับลีเจนด์ และเขาก็ยังเป็นผู้อำนวยการของศูนย์ฝึกแห่งนี้ บางทีเขาอาจจะซ่อนกรงเล็บภูติโลหิตเอาไว้ในห้องนอนของตัวเอง” อันธกล่าวหลังจากครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้

“มันไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก อูดี้ได้มอบกรงเล็บภูติโลหิตเพื่อเป็นเกียรติแก่ศูนย์ฝึกอบรมแห่งนี้ที่ยอมอุทิศตนผลิตนักรบที่แข็งแกร่งให้กับเผ่าพันธุ์เซิร์กในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันจึงไม่ใช่สมบัติส่วนตัวที่เขาจะเอาไปเก็บไว้ในห้องนอนของตัวเองได้”

ท้ายที่สุดยิ่งเซิร์กพัฒนามากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งมีนิสัยเหมือนมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่โทนี่จะซ่อนกรงเล็บภูติโลหิตเอาไว้ในบ้านพักของตัวเอง เพราะมันจะทำให้เซิร์กคนอื่นในศูนย์ฝึกรู้สึกไม่พอใจ

“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปจับตัวโทนี่มาทรมานดีไหม? เราจะได้รู้ว่าเขาไปซ่อนกรงเล็บภูติโลหิตเอาไว้ที่ไหนกันแน่?” อันธกล่าว

“ถ้าฉันหาสมุนไพรไม่เจอจริง ๆ ฉันก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องจับเขามาทรมาน แต่ตอนนี้ฉันอยากลองหามันดูเองก่อน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

หลังจากพูดจบสายตาของเขาก็จับจ้องมองไปยังแผนผังตรงหน้าอีกครั้ง เพื่อพยายามพิจารณาอาคารแต่ละหลังอย่างถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ได้พบอาคารหลังหนึ่งที่ไม่ได้ระบุชื่ออาคารเอาไว้ ซึ่งมันเป็นอาคารธรรมดาที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ของค่ายฝึกใกล้ ๆ กับหน้าผาของภูเขา

แม้ว่าตึกนี้จะดูเรียบง่ายแต่พื้นที่ของมันก็ไม่เล็กเลย ประเด็นสำคัญคือทำไมตึกขนาดใหญ่แบบนี้ถึงไม่มีการระบุว่ามันคืออาคารอะไร?

คำถามนี้ได้ก่อให้เกิดความสงสัยขึ้นภายในใจ และชายหนุ่มก็คิดว่ามันอาจจะเป็นอาคารที่ซ่อนความลับอะไรบางอย่างเอาไว้ด้านในก็ได้

เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็เคลื่อนไหวด้วยความไวราวกับภูตผี โดยเขาเลือกที่จะเคลื่อนที่ไปตามซอกตึกเผื่อว่ามันจะมีใครบางคนแอบมาเห็นเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

อันธแอบพยักหน้าอย่างลับ ๆ กับการเคลื่อนไหวของเซี่ยเฟยที่ราบรื่นขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งในตอนนี้ความเชี่ยวชาญในการใช้เล่ห์กายาของชายหนุ่มเกินหน้ากว่าตัวเขาไปแล้ว และมันก็คงจะมีเพียงแต่เจ้าสำนักอย่างเงากระเรียนเท่านั้นที่จะสามารถใช้เล่ห์กายาได้เหนือล้ำกว่าเซี่ยเฟยในปัจจุบัน

การเพิ่มพลังความสามารถและการเพิ่มความเชี่ยวชาญเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งหลังจากที่ชายหนุ่มได้รับลูกแก้วดาวตกมา เขาก็สามารถฝึกฝนเล่ห์กายาได้อย่างเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้เขายังเริ่มทำการปรับเปลี่ยนเล่ห์กายาไปในรูปแบบเฉพาะของตัวเอง ซึ่งมันมีเพียงแต่ผู้ที่เชี่ยวชาญเล่ห์กายาในระดับสูงเท่านั้นถึงจะสามารถปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวในรูปแบบเฉพาะของตัวเองได้

อาคารเป้าหมายเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการป้องกัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอาคารอื่น ๆ ในบริเวณรอบ ๆ แล้ว อาคารแห่งนี้ก็ดูเหมือนจะมีการป้องกันที่หละหลวมมากจนเกินไป

สถานที่ไหนที่ให้ความรู้สึกแปลก ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่น่าสงสัยมากที่สุด เซี่ยเฟยจึงยังไม่เร่งรีบเข้าไปด้านในแต่คอยสังเกตรายละเอียดทุกอย่างของอาคารจากมุมมืดอย่างระมัดระวัง

แต่ในทันใดนั้นมันก็มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!

จู่ ๆ สนามหญ้าด้านหลังอาคารก็ยกตัวสูงขึ้นโดยที่เขาไม่ได้คาดคิด เผยให้เห็นทางลงสู่ด้านล่างที่ได้มีเครื่องบินขนาดเล็กลอยออกมาจากเส้นทางนั้นและมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ใจกลางของค่ายฝึก

การเดินทางในค่ายฝึกแห่งนี้คล้าย ๆ กับการเดินทางในค่ายฝึกจัสทิสลีก ซึ่งมันจำเป็นจะต้องใช้ยานพาหนะในระหว่างการเดินทาง ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้การเดินทางยากลำบากเกินไปสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีพลังในการเสริมความเร็ว

เครื่องบินลำเล็กบินผ่านจุดที่เซี่ยเฟยยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก ทำให้เขาสังเกตเห็นรายละเอียดของเครื่องยนต์ได้อย่างชัดเจน

เครื่องบินลำนี้ถูกประกอบขึ้นมาแบบหยาบมาก ๆ เหมือนกับการเอาเครื่องยนต์ไปติดอยู่บนม้านั่ง และมันก็ดูไม่ต่างไปจากเศษเหล็กในสายตาของชายหนุ่ม

ฟุบ!

ชายหนุ่มแอบเคลื่อนที่ไปในเส้นทางใต้ดินในชั่วพริบตา และเขาก็ได้พบว่าเส้นทางนี้ทำมุม 45 องศาทอดยาวออกไปไกลนับ 10 กิโลเมตร

ทั้งสองฝั่งของถนนเต็มไปด้วยระบบตรวจสอบ ซึ่งชายหนุ่มก็ได้ใช้จุดบอดของระบบตรวจสอบในการเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ และตราบใดก็ตามที่เส้นทางนี้ไม่มีระบบตรวจจับอากาศ การพยายามหลบระบบตรวจจับเหล่านี้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเซี่ยเฟยเลย

ระบบตรวจจับอากาศเป็นระบบตรวจจับเพียงอย่างเดียวที่สามารถตรวจจับผู้ใช้พลังความเร็วได้ เพราะท้ายที่สุดไม่ว่าผู้ใช้ความเร็วจะเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วแค่ไหน แต่มันย่อมก่อให้เกิดกระแสอากาศที่ผันผวนขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เองมันจึงกลายเป็นระบบตรวจจับที่เซี่ยเฟยหลีกเลี่ยงได้อย่างยากลำบากมากที่สุด

หลังจากที่ชายหนุ่มสังเกตพื้นที่บริเวณรอบด้านอย่างระมัดระวัง เขาก็ได้พบว่าสถานที่แห่งนี้คือคลังอาวุธของค่ายฝึก

ด้านในมีประตู 4 บานถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา และบนประตูแต่ละบานก็มีตัวอักษรเขียนประเภทของอาวุธด้านในเอาไว้ ท้ายที่สุดสถานที่แห่งนี้ก็คือศูนย์ฝึกอบรมของนักรบศักดิ์สิทธิ์ และมันก็เป็นเรื่องปกติที่มันจำเป็นจะต้องมีอาวุธเก็บเอาไว้ภายในค่ายเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตามประตูที่อยู่ด้านในสุดก็สามารถดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี เพราะมันระบุเอาไว้ว่าด้านหลังประตูนี้คือห้องสำหรับการเก็บอาหาร

ประเด็นสำคัญคือใครจะเอาอาหารมาเก็บไว้รวมกับอาวุธ เว้นแต่ว่ามันจะมีพวกแมลงบางประเภทที่กินอาวุธเข้าไปเป็นอาหารด้วย

ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือมันไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในอาคารแห่งนี้เลย และระดับการป้องกันของที่นี่ก็ดูหละหลวมมากจนเกินไป

เซี่ยเฟยกัดฟันเดินเข้าไปใกล้โกดังเก็บอาหารและตั้งใจที่จะลองเปิดดูด้านใน แต่ทันใดนั้นมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เพราะมันได้มีลมกรรโชกปะทะเข้ากับศีรษะของเขาโดยตรง

***************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด