สุดยอดอัศวิน บทที่ 3 : เลดี้สการ์เล็ต
สุดยอดอัศวิน บทที่ 3 : เลดี้สการ์เล็ต
เช้าวันต่อมา หนึ่งในหลาย ๆ สนามฝึกของโรงเรียนอัศวินยุคใหม่
เด็กวัยรุ่นทั้งชายหญิงมากกว่าสองร้อยคนสวมชุดเกราะหนังสำหรับนักเรียน รวมตัวอยู่ที่นี่โดยแบ่งเป็นกลุ่มสามถึงสี่คน พวกเขาเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉง ความอ่อนเยาว์ และมีความเย่อหยิ่งเล็กน้อย นอกจากนี้พวกเขายังเป็นนักเรียนชั้นเดียวกับฌอนอีกด้วย
“ฉันคิดว่านายจะฉวยโอกาสจากอาการบาดเจ็บแล้วขอลาป่วยไปแล้วซะอีก”
‘ฌอน’ ที่หัวของเขายังคงถูกพันด้วยผ้าก๊อซ ถูกเด็กชายรูปร่างผอมสูงเข้ามาขวางทันทีที่เห็นเขาเข้ามาในสนามฝึก
เมื่อเด็กหนุ่มเส้นผมสีน้ำตาลและมีกระบนใบหน้า เห็นฌอนที่ยังคงพันผ้าก๊อซบนหัวเดินเข้ามาในสนามฝึกก็แสดงท่าทีเยาะเย้ยทันที และก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางทางฌอน
“หลีกไป”
ความโกรธฉายขึ้นในแววตาของฌอน เขาพูดอย่างเย็นชา
คนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเบนสัน อดัมส์ หรือคนร้ายที่ทำให้ฌอนคนเก่าได้รับบาดเจ็บ เมื่อเห็นชายคนนี้ ฌอนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขยะแขยงอย่างมาก เพราะจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม คนคนนี้เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด
“ทำไมต้องหลีก ยังไงก็เถอะ นายจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนในอีกครึ่งเดือนอยู่แล้ว ทำไมไม่ใช้เวลาที่เหลือวางแผนชีวิตตัวเองหลังถูก ‘ไล่ออก’ ดูล่ะ”
มุมปากของเบนสันยกขึ้น เขากัดฟันแน่นเพื่อเน้นเสียงคำว่าไล่ออก ส่อความหมายของการเยาะเย้ยที่ชัดเจน
“เบนสัน นายพูดจาเกินไปหน่อยหรือเปล่า เราทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกัน แถมนายกับฌอนยังมาจากเมืองเดียวกันด้วย”
วัยรุ่นชายเส้นผมหยิกเป็นปุยเดินเข้ามา เด็กหนุ่มคนนี้ก็คือมัวร์ที่มา ‘เยี่ยม’ ฌอนเมื่อวานนี้
“มัวร์ นายปล่อยให้เราสองคนพูดคุยกันตามลำพังไม่ได้เหรอ?”
เมื่อเห็นคนที่ส่งเสียง สีหน้าของเบนสันก็มืดมนลง
มัวร์เดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ฌอน แล้วมองตรงไปยังเบนสันที่อยู่ตรงหน้า เขาแอบถอนหายใจในใจ และตอบกลับโดยไม่ลังเล
“ฌอนเป็นเพื่อนของฉัน นายจะให้ฉันปล่อยเขาไว้คนเดียวได้ยังไง?”
แม้ว่าในฐานะลูกพ่อค้า เขามักจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เป็นอันดับแรก แต่เขาก็ยึดมั่นในทางเลือกของตัวเองเหมือนกัน
ถ้าลงทุนพลาดมันก็ล้มเหลว แต่ในเมื่อเขาเลือกลงทุนไปแล้ว เขาก็จะลงทุนให้ถึงที่สุดและจะไม่ล้มเลิกกลางคัน เพราะการลงทุนอาจล้มเหลวได้
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ฌอน แต่ความสัมพันธ์ของเขากับเบนสันก็ไม่ได้ดีอะไรมากนัก เพราะด้วยจิตใจที่คับแคบของเบนสัน ไม่ช้าก็เร็ว เขาต้องถ่ายทอดความโกรธที่มีต่อฌอนลงกับร่างกายเพื่อนที่ดีของเขาแน่ ๆ
“นายอยากต่อต้านฉันหรือไง?”
เสียงของเบนสันเย็นชาเล็กน้อย
“ถ้าใช่แล้วยังไงล่ะ?”
มัวร์ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวโดยไม่ยอมอ่อนข้อ
แม้เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเบนสัน แต่ถ้าเขารวมพลังกับฌอนก็ใช่ว่าจะเอาชนะไม่ได้เลย ในเวลานี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำให้อีกฝ่ายสูญเสียโมเมนตัม
“นายคิดให้ดีว่ามันคุ้มที่จะต่อสู้กับฉันเพื่อเศษขยะชิ้นนั้นไหม”
เสียงของเบนสันยังคงเย็นชา สายตาของเขาที่จับจ้องไปทางมัวร์ก็เย็นชาไม่แพ้กัน
“จะคุ้มหรือไม่มันก็เรื่องของฉัน เบนสัน อย่าลืมว่าชั้นเรียนวันนี้จะมีแขกมาเข้าร่วม ถ้ามีอะไรผิดพลาด แม้แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ช่วยนายไม่ได้”
“นาย... ก็ดี มัวร์ ฉันจะจำไว้!”
คำพูดของมัวร์กระทบจุดอ่อนของเบนสันอย่างจัง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงกลับม่วง พอพ่นถ้อยคำที่รุนแรงออกมาแล้วก็หันหลังและจากไป
“สามคนนั้นเป็นใครกัน?”
นักเรียนหญิงหลายคนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างระหว่างฌอนและเบนสัน บางคนมองคนสามคนด้วยความสนใจและถามขึ้น
สาเหตุที่พวกเธอจำไม่ได้ เพราะถึงแม้พวกเขาจะอยู่ในชั้นปีเดียวกัน แต่ในหนึ่งชั้นปีก็มีนักเรียนมากกว่าสองร้อยคน เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะรู้จักกันทั้งหมด ถึงอย่างนั้นก็มีบางคนตอบคำถามพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“คนที่ผมสีบลอนด์ชื่อว่ามัวร์ เป็นคนดีที่ทุกคนรู้จัก เขาเข้ากับใครก็ได้ ส่วนคนที่ผมสีน้ำตาลชื่อว่าเบนสัน ฉันได้ยินมาว่าเขาคือผู้ติดตามคนใหม่ของวอลเลซ”
“ผู้ติดตามของวอลเลซเหรอ? โชคดีจริง ๆ ฉันเพิ่งนอนกับวอลเลซไปไม่นานนี้เอง แล้วอีกคนล่ะ?”
“อีกคนหนึ่ง? ฉันคิดว่าเธอไม่รู้จักเขาน่าจะดีกว่า เพราะเธอคงไม่ได้เห็นเขาอีกในเร็ว ๆ นี้”
“ไม่เห็นเหรอ? อ๋อ หรือว่าเขา…”
ฝ่ายหลังผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้างุนงง
นอกเหนือจากสิทธิพิเศษหลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอัศวินยุคใหม่แล้ว ที่นี่ยังมีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากสำหรับนักเรียน ในแต่ละปีจะมีการประเมินความแข็งแกร่งในช่วงกลางปีและปลายปี หากไม่ผ่านการประเมินสามครั้งติดต่อกัน จะต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ด้วยเหตุผลนี้ จึงมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งถูกไล่ออกจากโรงเรียนทุกปี โดยที่บางคนเป็นถึงลูกหลานของตระกูลผู้ดีด้วยซ้ำ
ถึงอย่างนั้นโรงเรียนอัศวินยุคใหม่ก็ยังคงยืนหยัดตามวิถีเดิมของตัวเองได้ ในแง่หนึ่งเป็นเพราะผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้มีภูมิหลังเป็นถึงราชวงศ์ จึงไม่เกรงกลัวตระกูลขุนนางใด ๆ เพราะตระกูลไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่าราชวงศ์อีก?
ในทางกลับกัน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถรับประกันคุณภาพของนักเรียนได้ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่สำเร็จการศึกษาทุกคนจากโรงเรียนแห่งนี้เป็นบุคลากรคุณภาพสูง ไม่สร้างความเสื่อมเสียให้กับทางโรงเรียน
“ขอบใจ”
ฌอนกล่าวขอบคุณมัวร์อย่างสุดซึ้ง
“พูดอะไรของนาย ไปกันเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว”
มัวร์ยิ้ม ก่อนตบไหล่ฌอน แล้วเดินไปที่ชั้นเรียนกับฌอน
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ และเมื่อถึงเวลาแปดนาฬิกา คนหกคนที่สวมชุดเกราะหนังสีแดงและรองเท้าบูตขี่ม้า ก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับออร่าที่แข็งแกร่ง พวกเขาคืออาจารย์ประจำชั้นเรียนทั้งหกของฌอน
ในฐานะอาจารย์พิเศษของโรงเรียนอัศวินยุคใหม่ พวกเขาแต่ละคนมีความแข็งแกร่งระดับอัศวินอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาทั้งหมดยังผ่านประสบการณ์การต่อสู้มามากมาย และเป็นคนที่เคยอยู่ในสนามรบจริง ๆ
ดังนั้นโรงเรียนแห่งนี้ที่มีทั้งความมั่งคั่งและทรงพลัง จึงมอบหมายให้อัศวินกลุ่มนี้เป็นอาจารย์สอนประจำแต่ละชั้นเรียนอย่างเป็นทางการ โดยที่โรงเรียนอัศวินอื่น ๆ หรือแม้แต่ชนชั้นสูงก็ไม่สามารถเชิญพวกเขาไปสอนได้
เหล่าอัศวินที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการทั้งหมด จะถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบารอน แม้ว่าจะเป็นขุนนางระดับต่ำสุด แต่พวกเขาก็ยังเป็นขุนนางอยู่ดี ถึงยังไงค่าจ้างก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ
ทั้งหกคนมาหยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มนักเรียน แต่ไม่ได้เริ่มทำการสอนทันที พวกเขาทั้งหมดกลับยืนนิ่งด้วยความตะลึง หันมองไปทางด้านข้างเล็กน้อย ในทิศทางนั้น หญิงสาวในชุดเกราะหนังสีแดงกำลังก้าวออกมาข้างหน้า
หญิงสาวคนนั้นมีผมยาวสีแดงเพลิงราวกับไฟลุกโชน เธอมีรูปร่างที่สมส่วน แต่ไม่บอบบางมาก ชุดเกราะหนังแสดงให้เห็นถึงสรีระโค้งเว้าสวยงาม เผยให้เห็นรูปร่างที่ดีของเธออย่างชัดเจน
เธอเดินตรงมาทีละก้าว รองเท้าหนังสัตว์สีแดงที่เธอสวมใส่อยู่กระทบลงบนพื้น ให้ความรู้สึกสงบแต่ทรงพลัง แถมยังปล่อยออร่าดุร้ายออกมาจากร่าง ในแง่ของออร่าดังกล่าวมีความแข็งแกร่งมากกว่าออร่าของอาจารย์ทั้งหกคนในตอนนี้รวมกันซะอีก
“เลดี้สการ์เล็ต เซร่า?!”
“เธอคือ... เลดี้สการ์เล็ต เซร่างั้นเหรอ?”
“แขกในครั้งนี้ก็คือเลดี้เซร่า!”
นักเรียนที่เป็นลูกหลานตระกูลผู้ดีหลายคนถึงกลับอุทานออกมา ขณะมองไปทางหญิงสาวผมสีแดงที่กำลังสืบเท้าเข้ามาใกล้ การแสดงออกของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ส่วนบางคนที่ไม่รู้จักเธอ เมื่อได้ยินคำพูดของคนรอบข้าง พวกเขาก็แสดงความคลั่งไคล้ออกมาทันที
“เป็นเธอจริง ๆ ด้วย!”
เมื่อได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนรอบตัว ฌอนก็แสดงความกริ่งเกรงออกมา
เลดี้สการ์เล็ต เซร่า หญิงสาวผู้มีตัวตนทรงพลังเทียบเท่ากับอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย เธอฝ่าฟันเข้าไปผจญกับสถานการณ์อันตรายตามลำพังอยู่หลายครั้ง สามารถสังหารหุ่นเชิดซากศพ สะสมและแสวงหาผลประโยชน์ทางทหารมากมาย แถมยังเคยสังหารพ่อมดต่างดาวที่น่าสะพรึงกลัว
ชื่อเสียงของเธอแพร่หลายไปทั่วทั้งอาณาจักรคาร์โล นักเขียนบางคนได้นำประสบการณ์ของเธอไปเขียนหนังสือขายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ จนยอดขายเป็นที่น่าประทับใจมาก แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของเธอน่าเกรงขามแค่ไหน
“เงียบ วันนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่เลดี้เซร่ามาเป็นแขกผู้มีเกียรติในชั้นเรียนของเรา ต่อไปนี้ ผมอยากขอให้เลดี้เซร่าพูดอะไรกับพวกเราสักเล็กน้อย”
ในบรรดาอาจารย์ทั้งหก คนที่มีอายุมากที่สุดเป็นชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าเรียบนิ่ง เขากระแอมไอเบา ๆ แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม
ชื่อของเขาคือฮัด เอลวิส เป็นอาจารย์ประจำชั้นเรียนหัวกะทิของไททัส เคิร์ก และยังเป็นผู้ดูแลชั้นเรียนของฌอนอีกด้วย เขามีความเป็นผู้นำมากกว่าอาจารย์อีกห้าคน รับผิดชอบดูแลนักเรียนทุกคนในชั้นเรียนของฌอนอย่างเต็มที่
นักเรียนในชั้นเรียนของฌอนต่างเกรงกลัวเขามาก เมื่อทุกคนได้ยินเขาส่งเสียง ทุกคนจะพร้อมใจกันเงียบ เพราะหวั่นเกรงในความสง่างามของเขา
“สวัสดี ฉันเซร่า…”
สายตาของเซร่ากวาดมองนักเรียนทุกคน และทุกคนที่เผลอสบประสานสายตาเธอเข้าก็พากันก้มหน้าลงโดยสัญชาตญาณ แม้แต่บางคนที่มีความเย่อหยิ่งพอ ๆ กับไททัส เคิร์ก ก็ยังไม่กล้าสบตาเธออยู่ดี
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนที่นี่
“พูดตามตรง ฉันถือเป็นรุ่นพี่ของพวกเธอ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ฉันก็เคยยืนอยู่ในที่ที่พวกเธอยืนอยู่ในวันนี้
“ดังนั้น เด็กหนุ่มและเด็กสาวทุกคน พยายามเข้า ฉันหวังว่าอีกสิบปีข้างหน้า พวกเธอจะมายืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับฉันได้”
แปะๆๆ!
เมื่อเซร่าพูดจบ เสียงปรบมือก็ดังกราวขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนรวมถึงฌอนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจในท่าทางของ ‘รุ่นพี่’ คนนี้
สาว ๆ หลายคนถึงกับอิจฉาเธอ ฌอนไม่รู้ว่าร่างกายมนุษย์ในโลกนี้มีสารทรานส์ซีเอตินรึเปล่า ถ้ามี แสดงว่าคนคนนี้ต้องมีศักยภาพสูงมากแน่ ๆ
อย่างไรก็ตาม เลดี้สการ์เล็ตคนนี้มีเสน่ห์ที่ไม่ธรรมดา เธอปริปากพูดแค่ไม่กี่คำ แต่กลับทำให้เลือดของนักเรียนเหล่านี้เดือดพล่านได้
ถึงตอนนี้แล้ว ใครยังคิดว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น? ใครบ้างไม่อยากไปยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับเซร่า?
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเซร่าสร้างความฮึกเหิมให้กับจิตใจของทุกคน