ตอนที่แล้วสุดยอดอัศวิน บทที่ 1 : ข้ามเวลา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปสุดยอดอัศวิน บทที่ 3 : เลดี้สการ์เล็ต

สุดยอดอัศวิน บทที่ 2 : ถูกไล่ออก


สุดยอดอัศวิน บทที่ 2 : ถูกไล่ออก

“เดี๋ยวสิ มัน… มันหมายความว่ายังไง?”

เมื่อเห็นข้อความสามแถวที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนจอประสาทตา ฌอนไม่แปลกใจ แต่คิ้วของเขากลับขมวดเล็กน้อย

แอนดิสันเคยกล่าวไว้ว่า : อัจฉริยะใช้แรงบันดาลใจแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ บวกกับหยาดเหงื่ออีก 99 เปอร์เซ็นต์

ประโยคนี้ทำให้ใครหลายคนฮือฮากันมาก แต่มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่ายังมีคำพูดต่อจากประโยคข้างต้นอีก : แต่แรงบันดาลใจ 1 เปอร์เซ็นต์นั้นสำคัญที่สุด สำคัญกว่าหยาดเหงื่อ 99 เปอร์เซ็นต์เสียอีก

ก่อนเกิดใหม่เขาเป็นชายวัยยี่สิบสาม ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีระดับสูงสุดของโลก ดังนั้นเขาจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไรกัน?

จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์พิเศษในหมู่มนุษย์ทั่วไป แต่ไม่เหมือนความสามารถยอดนิยมที่พบเห็นได้บ่อยครั้งในการ์ตูนอเมริกัน อย่างเช่น การควบคุมสายฟ้า หรือการเคลื่อนที่ในอวกาศ ความสามารถของเขาคือ ‘โครงข่ายพรสวรรค์’ เอาพรสวรรค์ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง

พูดง่าย ๆ ก็คือเขาคัดลอกพรสวรรค์ของคนอื่นผ่านการสัมผัสทางกาย แล้วเปลี่ยนให้มันกลายเป็นพรสวรรค์ของตัวเอง

เห็นได้ชัดว่า ‘พรสวรรค์’ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความสามารถเหนือมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมสายฟ้าหรือการเคลื่อนที่ในอวกาศ ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบนโลกมีพรสวรรค์เกินจริง อย่างการควบคุมสายฟ้าและการเคลื่อนที่ในอวกาศจริงหรือเปล่า เพราะเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน พรสวรรค์ที่เขาเห็นเป็นรูปธรรมที่สุดคือความสามารถพิเศษทางวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี หรือสาขาวิชาอื่น ๆ

ในชีวิตที่แล้วของเขา เขาแอบคัดลอกพรสวรรค์ของคนที่มีความสามารถพิเศษในระดับสูงของสาขาวิชาต่าง ๆ มากเกินไป ทำให้ระดับความสามารถของเขาเกินจริงไปหลายสิบเท่า พรสวรรค์ของผู้มีความสามารถระดับสูงเหล่านี้ ผลักดันให้เขากลายเป็นอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของโลกตั้งแต่อายุยี่สิบสาม แถมยังได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีอีกด้วย

น่าเสียดาย เนื่องจากเขาข้ามเวลามาเกิดใหม่ ความสามารถทั้งหมดของเขาจึงสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ต่างจากไฟล์เกมที่ถูกลบทิ้ง

เมื่อลองคิดดูแล้ว พรสวรรค์ของคนอื่น ๆ เริ่มพัฒนาความแข็งแกร่งเมื่อเขาอยู่ในร่างดั้งเดิม พอร่างเดิมหายไป พรสวรรค์เหล่านั้นก็พลอยหายไปโดยธรรมชาติ แต่โครงข่ายพรสวรรค์ควรเป็นความสามารถที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณ โชคดีที่มันยังไม่ได้หายไปพร้อมกัน

“ช่างมันเถอะ”

ฌอนสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดเรื่องนี้ ถึงจะรู้สึกเสียดายที่พรสวรรค์เหล่านั้นหายไป แต่ตราบใดที่ ‘โครงข่ายพรสวรรค์’ ยังอยู่ เขาก็พอมีต้นทุนชีวิตในการพัฒนาตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงละความสนใจไปจดจ่ออยู่กับพรสวรรค์ทั้งสองอย่างของร่างกายนี้แทน

พรสวรรค์ด้านฝีมือดาบ แม้ว่าพรสวรรค์นี้จะหายาก แต่เขาเคยเห็นมาก่อนในชีวิตที่แล้ว ซึ่งก็คือนักบวชเต๋าบู๊ตึ๊งผู้ลึกลับ อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ครอบครองมัน แต่ยังฝึกฝนไปจนถึงระดับกลางด้วย เป็นระดับที่สูงมาก

อย่าประเมินความแตกต่างทางระดับต่ำเกินไป ช่องว่างระหว่างชนชั้นสูงกับสามัญชนคนมักจะอยู่ในระดับดังกล่าว พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าคนที่มีพรสวรรค์ด้านฝีมือดาบเบื้องต้นสามารถกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสามได้ คนที่มีพรสวรรค์ด้านฝีมือดาบระดับกลางก็สามารถกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสามได้เช่นกัน นำไปสู่ผู้เล่นชั้นนำ

แต่พรสวรรค์อัศวินกลับทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกาย

ชาติที่แล้ว เขาไม่เคยเห็นพรสวรรค์ประเภทนี้มาก่อน เมื่อพิจารณาถึงวิธีการทดสอบที่แปลกประหลาดของพรสวรรค์ประเภทดังกล่าว เห็นได้ชัดว่ามันควรมีเฉพาะในโลกนี้

“ระดับปานกลาง?”

แต่เมื่อเขาเห็นผลประเมินระดับ ‘ปานกลาง’ ที่ต่อท้ายพรสวรรค์อัศวิน ฌอนขมวดคิ้วอีกครั้ง และในที่สุดก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไมฌอนคนเก่าถึงรู้สึกอับอายจนเกือบถูกไล่ออกจากโรงเรียน

ต่ำกว่ามาตรฐาน พูดตรง ๆ ก็ไม่ต่างจากสินค้ามีตำหนิ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนมีความสามารถประเภทนี้จะประสบความสำเร็จในแวดวงดังกล่าว เขาใช้เวลาตลอดทั้งชีวิตยังไม่สามารถไปถึงระดับของเกณฑ์เริ่มต้นได้ เป็นไปได้ยากที่จะไปต่อ

เห็นได้ชัดว่าด้วยพรสวรรค์ของฌอน แคมป์เบลล์คนเก่า เขาแทบไม่มีความหวังที่จะก้าวไปสู่เส้นทางแห่งอัศวิน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ผ่านการประเมินสองครั้งติดต่อกัน แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักก็ตาม

“น่าหงุดหงิดจริง ๆ เลย”

ฌอนขมวดคิ้วเล็กน้อย

สถาบันที่เขาเรียนอยู่ในปัจจุบันมีชื่อว่า โรงเรียนอัศวินยุคใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนอัศวินชั้นนำในอาณาจักรคาร์โล หรือที่เรียกกันว่า ‘แหล่งกำเนิดอัศวิน’ ใครก็ตามที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนี้จะมีอนาคตที่สดใส แต่มีเงื่อนไขว่าต้องสามารถสำเร็จการศึกษาจากสถาบันนี้ให้ได้ก่อน

เพื่อให้สอดคล้องกับผลตอบแทนจำนวนมหาศาลหลังจากสำเร็จการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ ที่นี่ยังมีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากสำหรับนักเรียนอีกด้วย มีการประเมินกลางปี ​​1 ครั้ง และปลายปีอีก 1 ครั้ง ถ้าไม่ผ่านการประเมินสามครั้งติดต่อกัน จะถูกไล่ออกจากโรงเรียนทันที

น่าเสียดายที่อีกครึ่งเดือนต่อมาจะถึงช่วงการประเมินแล้ว และนี่จะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของฌอนด้วย เพราะฌอนคนเดิมไม่ผ่านการประเมินถึงสองครั้งติดต่อกัน หมายความว่าต้องออกจากโรงเรียนเท่านั้น

“เราต้องหาทางที่จะอยู่รอดในโรงเรียนแห่งนี้ให้ได้…”

ไม่ว่าจะเป็นเพราะอยากทำความเข้าใจโลกให้มากขึ้น หรือเพื่อวางแผนสำหรับอนาคตในระยะยาว การอยู่ที่โรงเรียนอัศวินยุคใหม่ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่แล้วความยากลำบากที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า : เขาจะผ่านการประเมินได้ยังไงภายในครึ่งเดือน?

เห็นได้ชัดว่าต่อให้ฝึกฝนอย่างหนักก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเจ้าของร่างเดิมไม่เคยฝึกฝนร่างกายเลย ถ้าเป็นเขา ชีวิตในโรงเรียนของฌอนคงใช้เวลาไปกับการฝึกฝน เรียกว่าเป็นคนคลั่งซ้อมก็ไม่นับว่าเกินจริง

น่าเสียดายที่ทักษะของเขายังล้าหลังอยู่ นอกจากเขาจะตามคนอื่นแทบไม่ได้ในปีแรกแล้ว ในปีที่สอง เขายังสอบไม่ผ่านการประเมินถึงสองครั้งตลอดทั้งปี จนต้องเผชิญกับวิกฤตการถูกบีบให้ออกกลางคัน

“ดูเหมือนว่าเราจะต้องคัดลอกพรสวรรค์อัศวินระดับสูงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่งั้นก็คงถูกไล่ออกสถานเดียว”

เมื่อนึกถึงคนที่มีพรสวรรค์ด้านอัศวินเป็นเลิศ ชื่อของคนคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของฌอนทันที

ไททัส เคิร์ก นักเรียนชั้นปีเดียวกับฌอน แคมป์เบลล์ แต่แตกต่างจากฌอน แคมป์เบลตรงที่ฌอนมีคุณสมบัติย่ำแย่ ส่วนเขาเป็นคนที่น่าจับตามองที่สุดของชั้น ไม่มีใครเทียบได้

เขาเกิดในตระกูลเอิร์ล พรสวรรค์ของเขาน่ากลัวมาก เขาได้อันดับหนึ่งของชั้นปีเสมอ แม้แต่นักเรียนอาวุโสหลายคนก็สู้เขาไม่ได้ ลือกันว่าตอนนี้เขากลายเป็นอัศวินฝึกหัดแล้ว

อัศวินฝึกหัด คือเกณฑ์เริ่มแรกสำหรับอัศวิน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงอัศวินระดับต่ำสุด ยังไม่ใช่อัศวินอย่างเป็นทางการ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ใครหลายคนประหลาดใจ เพราะหลังจากก้าวเข้าสู่ระดับนี้ พวกเขาก็จะได้รับตำแหน่งดี ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย อยู่สบายไปจนถึงชาติหน้า

แน่นอนว่าบุตรชายแห่งตระกูลเอิร์ลอย่างไททัส เคิร์กก็อยู่ในจุดนั้นเช่นเดียวกัน

“แต่ฉันจะไปคัดลอกพรสวรรค์อัศวินจากไอ้หมอนั่นได้ยังไงล่ะ”

ฌอนขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

นอกเหนือจากเขาจะมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นแล้ว ไททัส เคิร์กยังเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความเย่อหยิ่ง จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะเข้าหาคนประเภทนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการยากที่จะลอกเลียนแบบพรสวรรค์อัศวินจากไททัส เคิร์ก

จากความทรงจำเดิมของฌอน วัฒนธรรมการจับมือยังไม่เป็นที่นิยมในโลกนี้ ดังนั้น ‘การจับมือ’ ที่เขามักจะใช้เพื่อผูกมิตรกับคนอื่นในชาติที่แล้วจึงไร้ประโยชน์

ยิ่งไปกว่านั้น เขาลองประเมินนิสัยที่หยิ่งยโสของไททัส เคิร์กดู ถึงแม้การจับมือจะใช้ได้ผลในโลกนี้ แต่ไททัส เคิร์กอาจไม่อยากจับมือกับเขาเลยก็ได้ นักเรียนที่ไร้ศักยภาพเช่นเขา ย่อมไม่อยู่ในขอบเขตที่ไททัส เคิร์กจะผูกมิตรภาพด้วย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

ขณะที่เขากำลังระดมสมองเพื่อหาวิธีคัดลอกพรสวรรค์อัศวินจากไททัส เคิร์ก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“ใคร…?”

ฌอนตื่นตัวทันที หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามด้วยภาษาสากลที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย เขาเพิ่งครอบครองร่างของเด็กหนุ่มเคราะห์ร้ายคนนี้ และเพิ่งจะมาเยือนโลกใบใหม่ เวลานี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่ปลอดภัยที่สุดในชีวิต

“ฌอน ตื่นแล้วเหรอ ฉันเอง มัวร์”

เสียงของเด็กหนุ่มอีกคนดังขึ้นจากนอกประตู เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฌอนก็จำได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

มัวร์ ลีโอนาร์ด นักเรียนที่อยู่ชั้นปีเดียวกับฌอนคนเก่า และได้รับมอบหมายให้คอยดูแลฌอนคนเก่าเป็นอย่างดี เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนของฌอนคนเก่าในโรงเรียนแห่งนี้

“เข้ามาสิ”

เขาหวนนึกถึงความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับมัวร์ ลีโอนาร์ดอย่างรวดเร็ว ฌอนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำตัวให้เหมือนฌอนคนเก่ามากที่สุด จากนั้นก็ตอบกลับ

เอี๊ยด!

ประตูถูกผลักเปิดออก เด็กชายวัยรุ่นผมหยิกฟูก็เดินเข้ามา

เขาสวมชุดเกราะหนังสีดำมาตรฐานของนักเรียนที่มีลวดลายสีขาว และมีดาบอัศวินห้อยอยู่ที่เอว เขาแสดงความกังวลทันทีเมื่อเห็นฌอนลุกขึ้นจากเตียง

“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”

“ดีขึ้นมากแล้ว”

เขาพยักหน้า พยายามรักษาสไตล์การพูดดั้งเดิมของฌอน

“เฮ้ ฉันจะบอกอะไรให้ รู้ทั้งรู้ว่าเบนสันพยายามยั่วโมโหนายแท้ ๆ นายไม่ควรตอบรับคำท้าแล้วไปต่อสู้กับเขาเลย”

“ฉันอดทนไม่ไหวน่ะ นายมารับฉันกลับใช่ไหม ขอบคุณนะ”

“ด้วยความยินดี นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คราวหน้าก็อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น”

มัวร์พูดพร้อมกับถอนหายใจ

“อย่ากดดันตัวเองเกินไป พรุ่งนี้ตอนเช้าจะมีแขกมาเข้าเรียนด้วย อย่าพลาดเชียวล่ะ นายควรพักผ่อนให้เพียงพอ!”

หลังจากพูดแบบนี้ มัวร์ก็หันหลังกลับและจากไป ด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ในฐานะที่เป็นลูกพ่อค้า เขาชอบการ ‘ลงทุน’ เป็นพิเศษ ชอบการได้รับผลประโยชน์สูงสุดโดยมอบผลประโยชน์อันน้อยนิดให้อีกฝ่าย ‘ความสัมพันธ์ฉันมิตร’ ระหว่างเขากับฌอน ก็คือการลงทุนชนิดหนึ่งสำหรับเขา

ตอนที่เขาเข้ามาเรียนในโรงเรียนเป็นครั้งแรก ความทุ่มเทอย่างหนักของฌอน ทำให้เขารู้สึกว่าการลงทุนกับฌอนน่าจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ที่ไม่คาดคิดอย่างแน่นอน ไม่คาดคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้

“ฉันมองคนผิดไปหรือเปล่านะ ช่างเถอะ การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ถือซะว่ามันเป็นการลงทุนที่ล้มเหลวก็แล้วกัน จะได้ลืม ๆ มันไปซะ”

5 2 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด