สุดยอดอัศวิน บทที่ 1 : ข้ามเวลา
สุดยอดอัศวิน บทที่ 1 : ข้ามเวลา
กลางดึก ณ ศูนย์กลางคมนาคมที่พลุกพล่านที่สุดในสวีเดน ยานพาหนะหลายคันต่างหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องราวกับมังกรที่คดเคี้ยว
รถวอลโว่ S80 สีขาว ขับเคลื่อนด้วยความเร็วต่ำ ถึงมันไม่ได้เป็นที่ดึงดูดสายตามากนัก แต่ป้ายทะเบียนสามหลักกลับแสดงให้เห็นถึงภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาของเจ้าของรถคันนี้
วอลโว่เป็นแบรนด์รถหรูที่มีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับราชวงศ์สวีเดน รถแบรนด์นี้มักปรากฏตัวในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่น พิธีสมรสของคนในราชวงศ์ หรือใช้ต้อนรับแขกระดับประเทศ เรียกว่ารถแบรนด์นี้ถือเป็นรถยนต์ประจำราชวงศ์สวีเดนเลยก็ว่าได้
รถที่ขับอยู่ด้านหน้าในตอนนี้ เป็นรถต้อนรับแขกของราชวงศ์สวีเดนอย่างไม่ต้องสงสัย
เวลานี้ ที่เบาะหลังของรถวอลโว่ ชายหนุ่มผมดำอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น สายตาของเขาพร่ามัว แต่เมื่อมองจากริมฝีปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในสภาวะสุขล้นจนไม่อาจระงับ
ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาอยู่ ณ ใจกลางของสถานที่อันทรงเกียรติสำหรับนักวิชาการหลายท่าน ซึ่งก็คือสต๊อกโฮล์ม คอนเสิร์ต ฮอลล์ เพื่อรับมอบเหรียญรางวัลและเกียรติบัตรอันทรงคุณค่าจากกษัตริย์แห่งสวีเดน เขากลายเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบสาม
และตอนนี้ เขาเพิ่งออกมาจากงานเลี้ยงอาหารค่ำของงานประกาศผลรางวัลโนเบล แน่นอนว่างานเลี้ยงดังกล่าวเต็มไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลก
เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบสาม แต่กลับได้รับหนึ่งในรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก การใช้วลี ‘ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต’ มาอธิบายความเป็นเขานับว่าไม่เกินจริง ในอนาคตเขาสามารถจินตนาการถึงชีวิตอัน ‘หรูหรา’ ได้อย่างไม่จำกัด
ในขณะที่เขากำลังฝันกลางวันอยู่นั้น คนขับรถของราชวงศ์สวีเดนบนที่นั่งคนขับซึ่งสวมชุดสูททางการ กำลังขับรถอย่างนุ่มนวล บ่งบอกชัดเจนว่าเขามีประสบการณ์ในการดูแลแขกผู้ทรงเกียรติมาไม่น้อย แต่ทันใดนั้นเหงื่อเย็น ๆ กลับผุดขึ้นมาจากหน้าผาก ก่อนที่เขาจะตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก
“ท่านครับ เบรกไม่ทำงาน!”
“อะไรนะ...?”
เมื่อได้ยินคำภาษาอังกฤษนี้ วิญญาณชายหนุ่มถึงกับหลุดลอยออกจากร่าง ฤทธิ์แอลกอฮอล์ในร่างกายเหือดหายไปจนหมด จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องลั่นออกมาด้วยความไม่เชื่อ
แต่นั่นคือเสียงสุดท้ายของเขาบนโลกใบนี้ หลังจากนั้น เขาเห็นว่ารถตัวเองที่กำลังนั่งอยู่พุ่งทะยานออกไปจากสี่แยกราวกับลูกศรพุ่งออกจากสาย ก่อนจะประสานงาเข้ากับด้านหน้าของรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่พุ่งสวนมา ความรุนแรงนั้นไม่ต่างกับตอนที่ดาวหางพุ่งชนดวงจันทร์
…
“อ๊าก…”
เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่มีผ้าก๊อซพันอยู่รอบศีรษะกรีดร้องและลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นก็พลิกตัวกระโดดลงไปข้างเตียงโดยไม่ลังเล
โครม!
เด็กหนุ่มร่วงลงไปกองบนพื้นไม้อย่างแรงจนส่งเสียงดัง ดูเหมือนส่วนหัวจะลงก่อนด้วย
“โอ๊ย…”
เด็กหนุ่มแผดเสียงร้องอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะตื่นตระหนก แต่เป็นเสียงแผดคำรามด้วยความเจ็บปวดเหมือนหมูถูกเชือด
ตอนแรกศีรษะของเขาก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว มาตอนนี้ศีรษะของเขากลับกระแทกพื้นอีกครั้ง ทำให้อาการบาดเจ็บยิ่งแย่ลงไปอีก ทันใดนั้นคลื่นความเจ็บปวดเหมือนเข็มทิ่มก็แผ่ซ่านไปทั่ว ทำให้เขาเจ็บปวดจนน้ำตาและน้ำมูกเกือบไหล
“แม่ง เวรตะไลเอ๊ย นี่มันเกิดเชี้ยอะไรขึ้นวะเนี่ย”
ความเจ็บปวดที่ศีรษะของเขาบรรเทาลงหลังจากผ่านไปสักพัก เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย
พื้นไม้เก่า ๆ
เตียงปูด้วยผ้าห่มที่ตัดเย็บหยาบ ๆ
ผนังก่ออิฐ
บานหน้าต่างเป็นไม้ทั้งหมด
โต๊ะทำงานสีซีดจาง
หนังสือปกหนังแกะหลายเล่ม
และตะเกียงน้ำมันโบราณ
“ที่นี่ที่ไหน ที่นี่...”
ต้องไม่ใช่โรงพยาบาลแน่นอน เพราะไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์พื้นฐาน เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่สามารถเป็นได้แม้แต่ห้องพักผู้ป่วยในด้วยซ้ำ
แล้วที่นี่คือที่ไหนกัน?
ก่อนหน้านี้เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ไม่ใช่เหรอ? จู่ ๆ มาโผล่ที่นี่ได้ยังไง?
ในขณะที่เขาคิดแบบนี้ ก็พบว่ามีความทรงจำแปลก ๆ มากมายผุดขึ้นในใจของเขาทันที ไม่ ไม่ควรพูดว่าเป็นความทรงจำที่แปลกประหลาด แต่เป็นความทรงจำที่ไม่ควรจะเป็นของเขาต่างหาก
“ชื่อฌอน แคมป์เบลล์ อายุสิบห้าปี เป็นนักเรียนของโรงเรียนอัศวินยุคใหม่ ได้รับบาดเจ็บจากการดวล…”
“เอ่อ ฉันจะกำลังจะโดนบีบให้ออกจากโรงเรียนภายในครึ่งเดือน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฉันถึงถูกคนอื่นยั่วยุให้รับคำท้า…”
จู่ ๆ กระแสแห่งความทรงจำก็ผุดขึ้นมาราวกับกระแสน้ำ
ความทรงจำประกอบด้วยประสบการณ์ระหว่างการเติบโตของเด็กหนุ่มชื่อ ฌอน แคมป์เบล ยิ่งระยะเวลาใกล้ปัจจุบันเท่าไหร่ ความทรงจำก็ยิ่งชัดเจน ยิ่งไกลจากปัจจุบันออกไป ความทรงจำก็ยิ่งพร่ามัว ทั้งยังสมจริงอย่างยิ่งราวกับเขาได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง
ลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจของเขา เขารีบก้มมองดูตัวเองตอนนี้ และแล้วก็ต้องตกตะลึง
“นี่... นี่ไม่ใช่มือของฉัน!”
กางเกงชั้นในผ้าลินินที่เขาสวมอยู่มีสภาพเก่าเล็กน้อย หน้าอกเปลือยเปล่า เท้าสวมถุงเท้าข้อสั้น
มือทั้งสองข้างเล็กกว่ามือของผู้ใหญ่เล็กน้อย เต็มไปด้วยรอยด้านของผิวหนัง ที่สำคัญ มือเหล่านี้มีสีผิวออกนวล ๆ ไม่ใช่ผิวออกเหลืองอย่างที่คุ้นชิน เห็นได้ชัดว่ามือเหล่านี้ไม่ใช่ของเขา
“ข้ามเวลาเหรอ...?”
คำคำหนึ่งผุดออกมาจากหัวของเขา
ในฐานะที่เขามีชีวิตอยู่ในยุคที่มีการระเบิดของข้อมูล เขาย่อมรู้ว่าการเดินทางข้ามเวลาคืออะไร แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจเลยก็คือ คนที่เดินทางข้ามเวลาควรเป็นคนที่ไม่พึงพอใจชีวิตของตัวเองในโลกนี้ไม่ใช่หรือ?
ฉันเพิ่งได้รับรางวัลโนเบล และกำลังจะได้ใช้ชีวิตอย่าง ‘หรูหรา’ มองยังไงก็ไม่เห็นเหมือนฉันมีช่วงเวลาที่เลวร้ายในโลกนี้เลย ดังนั้นจะโผล่มาอยู่ในคลื่นแห่งการเดินทางข้ามเวลาได้อย่างไร
ฉันยังไม่ทันได้สนุกกับชีวิตอย่างเต็มที่เลย!
“อาคารนี้ดูเหมือนจะเป็นสไตล์ยุคกลางของยุโรป หรือนี่คือยุคกลางของยุโรปงั้นเหรอ”
ในฐานะผู้คงแก่เรียน ในเวลานี้ เขาสงบนิ่งกว่าคนทั่วไป หลังจากรู้ว่าการเดินทางข้ามเวลากลายเป็นเรื่องจริง เขาก็เริ่มพยายามสำรวจโลกเบื้องต้นผ่านความทรงจำในสมองของเขา โดยหวังว่าจะหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับตัวเอง
ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาซีดเผือดไปชั่วขณะ เพราะเรียนรู้จากความทรงจำในสมองของเขาว่า เมื่อร้อยปีก่อน โลกนี้ประสบกับโรคระบาดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และผู้คนกว่าสองในสามของโลกเสียชีวิตด้วยโรคระบาดนั้น
“นี่ เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน เหมือนจะเป็น... กาฬโรคสินะ? โชคชะตาเลวร้ายเป็นบ้าเลย ฉันดันข้ามเวลามาในช่วงที่กาฬโรคกำลังระบาดพอดี”
กาฬโรค คือโรคระบาดที่น่ากลัวซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำลายล้างแผ่นดินยุโรป เปรียบเสมือนเป็นเหตุการณ์ล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ โรคระบาดใหญ่ดังกล่าวเคยทำให้อายุเฉลี่ยของชาวยุโรปในเมืองต่าง ๆ ลดลงจากสี่สิบเหลือยี่สิบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของโรคระบาดนี้
สิ่งที่ยากลำบากที่สุดคือสภาวะทางการแพทย์ในขณะนั้น หากโชคร้ายติดโรคนี้เข้า ก็แทบจะไม่มีหนทางรักษา ไม่ต่างอะไรกับโรคเอดส์ในปัจจุบัน แต่การทำลายล้างรุนแรงกว่าโรคเอดส์มาก
ถ้าคุณเป็นโรคเอดส์ คุณอาจจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหลายปี แต่ถ้าคุณเป็นโรค ‘กาฬโรค’ คุณจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้แม้แต่สัปดาห์เดียว ราวกับตกเป็นเป้าหมายของความตาย
เห็นได้ชัดว่าการเกิดใหม่ในยุคนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะวันหนึ่งเขาอาจตายด้วยโรคระบาดก็ได้
“โรคระบาด… ถูกแพร่กระจายโดยพ่อมด? ดูเหมือนว่ายุคกลางของยุโรปจะยังโทษภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างโง่เขลาว่าเกิดจากภูตผีปีศาจ ไม่ ไม่... จริงด้วย มันแตกต่างจากกาฬโรคที่ฉันเคยรู้จัก!”
ทันใดนั้นเขาก็โคลงศีรษะ พร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียวลง ไม่มีแม้แต่ร่องรอยเลือดฝาด
จากความทรงจำของ ฌอน แคมป์เบลล์ เขาพบว่าโรคระบาดนี้มีความแตกต่างโดยพื้นฐานจากกาฬโรคซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำลายล้างแผ่นดินยุโรป เพราะมันน่ากลัวยิ่งกว่ากาฬโรคเสียอีก จะเรียกมันว่า ‘ภัยธรรมชาติที่สามารถทำลายล้างโลก’ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
คนที่ติดโรคนี้แม้จะตายแล้ว ศพของพวกเขาจะกลายเป็นอสุรกายที่มีพลังมหาศาล ประเภทเดียวกันกับสัตว์ประหลาด
“นี่มัน... Resident Evil ในหนังหรือเปล่า? ที่นี่... มันคือยุโรปยุคกลางจริง ๆ เหรอ?”
ตอนนี้เขาเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการคาดเดาทันที
เท่าที่เขาจำได้ ไม่มี ‘Resident Evil’ ในยุคกลางของยุโรป แล้วสถานที่นี้อยู่ที่ไหนล่ะ?
ไม่ใช่แม้แต่ในโลกที่เขาเคยอยู่งั้นเหรอ?
เพื่อค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม เขาตรวจสอบลึกเข้าไปในความทรงจำของร่างกายนี้ ทันใดนั้นภาพแปลก ๆ ก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
ที่แห่งนั้นราวกับเป็นห้องโถงใหญ่ ชายแปดคนที่สวมชุดเกราะเหล็ก รองเท้าบูตเหล็ก มีดาบห้อยอยู่ที่เอว ยืนเฝ้ายามด้วยท่าทีเคร่งขรึมอยู่รอบห้องโถง
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางเป็นชายคนหนึ่งซึ่งแต่งกายหรูหรา สวมชุดเกราะหนังมันเงา และรองเท้าบูตขี่ม้า
ด้านข้างของชายคนนั้นมีโต๊ะทรงเว้าสำหรับเก็บของ บนโต๊ะเก็บของมีลูกบอลใสขนาดใหญ่กว่ากำปั้นของผู้ใหญ่เล็กน้อย เขาไม่รู้ว่ามันทำจากวัสดุอะไร ดูไม่เหมือนแก้วหรือหยกบางชนิด อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นวัสดุหรือหยกที่คล้ายคลึงกับสิ่งนี้มาก่อน
ขณะนั้นมีเด็กหนุ่มวัยรุ่นแต่งกายดีจำนวนมาก บ่งบอกชัดว่าไม่ได้มาจากครอบครัวยากจน กำลังต่อแถวยาวเหยียด แถวยาวออกไปถึงนอกห้องโถง จนมองไม่เห็นสุดปลายแถว
เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยความกระวนกระวาย จนมาถึงโต๊ะเก็บของทรงเว้า ภายใต้การจ้องมองของทุกคน เขายื่นมือออกไปยังลูกบอลใสที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะเก็บของ จากนั้นก็จับมันไว้แน่นโดยไม่ยอมปล่อยมือ ราวกับว่าเขาต้องการยึดมั่นในโชคชะตาที่มองไม่เห็น
หนึ่งวินาที สองวินาที และในวินาทีที่สาม การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันก็ปรากฏขึ้น!
ลูกบอลซึ่งแต่เดิมโปร่งใสเหมือนสายน้ำ พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากหัวกระสุนที่ร้อนแดง ในที่สุดลูกบอลก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมด แสงสีแดงเปล่งประกายระยิบระยับ ซึ่งดูค่อนข้างแปลกตา
“มีคุณสมบัติอัศวิน เจ้าหนู เจ้าชื่ออะไร?”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะเก็บของชำเลืองมองเด็กหนุ่มอย่างคาดไม่ถึง แล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
วินาทีต่อมา เสียงอุทานดังก้องไปทั่ว
เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตาร้อนแรงของกลุ่มเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังและคนอื่น ๆ ที่กำลังจ้องมองตรงมาอย่างชัดเจน หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นและลงอย่างรุนแรง ความตื่นตระหนกปรากฏอยู่บนใบหน้า ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมเพราะความตื่นเต้น
“นายท่าน ผมชื่อฌอน แคมป์เบลล์”
นี่น่าจะเป็นฉากที่ฌอน แคมป์เบลล์ได้ทดสอบคุณสมบัติของอัศวิน และน่าจะเป็นฉากที่ตราตรึงในหัวใจของเขาที่สุด พอค้นหาในความทรงจำก็เจอฉากนี้เป็นอันดับแรก
อย่างไรก็ตาม ภาพความทรงจำกลับฉายถึงแค่เหตุการณ์นั้น ไม่ฉายภาพต่อไปอีก เนื่องจากช่องว่างของเวลายาวนานเกินไป รวมถึงความทรงจำไม่สมบูรณ์ ทำให้เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แต่ฉากดังกล่าวก็นำไปสู่การคาดเดามากมาย
เห็นได้ชัดว่าโลกนี้ยังมีความลึกลับบางอย่างที่เขาไม่สามารถล่วงรู้ ยกตัวอย่างเช่นลูกบอลโปร่งใสที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อถูกสัมผัส ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนในโลกเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากความโกลาหลของผู้คนรอบข้างและสีหน้าตื่นเต้นของฌอน แคมป์เบลล์ เมื่อเขาเข้ารับการทดสอบแล้วพบว่ามีคุณสมบัติอัศวิน หมายความว่าคุณสมบัติอัศวินน่าจะหาได้ยากมากในโลกนี้ มิฉะนั้นภายในห้องโถงจะเกิดความวุ่นวายใหญ่โตแบบนั้นได้อย่างไร
“คุณสมบัติอัศวิน?”
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ ข้อความสีดำสามประโยคก็ปรากฏขึ้นบนจอประสาทตาของเขา
[ชื่อ : ฌอน แคมป์เบลล์]
[พรสวรรค์อัศวิน : ระดับปานกลาง]
[พรสวรรค์ด้านฝีมือดาบ : ระดับพื้นฐาน]