บทที่ 48
ลง 48 - 56
บทที่ 48
คำพูดของเทียนหยุนเป็นการเล่นสำนวน ‘จะไปเยือนที่นั่นในอีกห้าวัน’ หมายความว่าระหว่างนั้นเจ้าต้องไม่ทำร้ายศิษย์ข้า
ทุกคนในที่นี้ต่างเป็นมนุษย์ที่มีสมองและความคิด เถียนเฉิงหยุนย่อมเข้าใจโดยธรรมชาติว่าอีกฝ่ายสื่ออะไร แต่อย่างน้อยก็หลีกเลี่ยงการปะทะกันได้แล้ว เขาถอนหายใจโล่งอก ยิ้มเล็กน้อย “พวกเราแค่ต้องการไต่สวนเขาเพื่อเข้าใจสถานการณ์ หากศิษย์เจ้าไม่ไปหยิบของผู้อื่นโดยพลการ เราคงไม่ต้องบีบบังคับเขาเช่นนี้”
ประโยคนี้ก็เป็นการเล่นสำนวนเช่นกัน ความหมายคือไม่ว่าเจ้าจะขโมยหรือหยิบมา ตราบใดที่เจ้าของไม่ยินยอมมอบให้ มันก็คือความผิด
เทียนหยุนไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำแค่เพียงยิ้ม
“งั้นก็มาเถิด”
เถียนเฉิงหยุนเอ่ยประโยคหนึ่ง ฉินห่าวไม่ทำตัวไร้สาระ เดินขึ้นไปยังเรือเหาะของผู้มาเยือน เหล่าสาวกเบื้องล่างเห็นภาพนี้ ต่างกำหมัดแน่น รู้สึกอ่อนแอและไร้กำลังอย่างยิ่ง
“ท่านพี่ ท่านจะยอมปล่อยให้ฉินน้อยไปกับพวกเขาจริงๆหรือ?” ประมุขปรากฏตัวขึ้น มองเรือเหาะที่ค่อยๆไกลออกไปด้วยความกังวล
“ก็แล้วข้าจะทำอะไรได้อีก? เปิดสงครามกับพวกเขาเรอะ? ข้าคนเดียวยังพอว่า แต่พวกเจ้าเล่า?” เทียนหยุนตอบกลับประโยคหนึ่ง แม้ยังดูไม่พอใจแต่ไม่ถึงขั้นโกรธอะไร
เป็นพี่น้องท้องเดียวกันแท้ๆ หากเจ้าเก่งได้เหมือนข้าซักครึ่ง เรื่องราวมันอาจไม่เป็นแบบนี้ก็ได้
ประมุข “....”
เขามองเทียนหยุนอย่างขุ่นเคือง แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร
“เจ้าไม่ต้องมองข้าแล้ว! ตอนนี้รีบระดมพลสาวก และจัดเวรยามตรวจตราอาณาเขตนอกนิกาย ข้าเกรงว่าพวกเซี่ยถูน่าจะลงมือในเร็ววัน”
...
สองวันต่อมา
เรือเหาะลงจอด
ฉินห่าวลงจากเรือเหาะ นิกายเบื้องหน้าเขาช่างใหญ่โต งดงาม และตระการตา เมื่อเทียบกับนิกายเซียวเหยาแล้ว ฝ่ายแรกเปรียบดั่งเศรษฐี ขณะที่ฝ่ายหลังไม่ต่างอะไรกับขอทาน
“ไปกันเถอะ”
เถียนเฉิงหยุนพูดเบาๆและนำทางไป
ผู้อาวุโสหยินชำเลืองมองฉินห่าวอย่างเคร่งขรึม ในใจรู้สึกตื่นเต้นมาก ในที่สุดไอ้เด็กเปรตนี่ก็ตกอยู่ในเงื้อมมือเขา
“มีไร? เจ้ามองหน้าหาเรื่องหรือ?”
ฉินห่าวหันไปถลึงตาใส่ผู้อาวุโสหยิน
“เอ๊ะ? ข้า ...”
“ทำไม? พวกเจ้ามีปัญหาอะไรกันอีก?”
เถียนเฉิงหยุนหันกลับมา ถามอย่างหงุดหงิด
“ก็เขาขู่ข้าด้วยสายตา!”
ฉินห่าวชี้หน้าผู้อาวุโสฉิน บ่นอย่างไม่พอใจ ตอนนี้เขาออกจากพื้นที่ของนิกายแล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรต้องกังวล ตั้งใจจะเล่นให้สากแก่ใจ
เถียนเฉิงหยุนปวดหัวอย่างรุนแรง เจ้าเด็กนี่เหตุใดถึงไม่มีความหวาดกลัวใดๆเลย? แต่ยังไงเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เลยส่งสายตาไปเตือนผู้อาวุโสหยินแล้วเดินต่อไป
ผู้อาวุโสหยิน “....”
“เฮะ เฮ่ คิดลองดีกับข้า คอยดูเถอะข้าจะกลั่นแกล้งเจ้าจนปวดใจตาย!” ฉินห่าวเดินตามต่อไป แต่น้ำเสียงที่เอ่ยไม่เบา จงใจให้คนใกล้ๆได้ยินอย่างชัดเจน
เจ้าบังคับให้ข้ามาที่นี่ได้แล้วอย่างไร? น้ำหน้าอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้? แน่จริงก็ฆ่าข้าซะสิ!
หัวใจของผู้อาวุโสหยินราวกับมีเลือดหยด แต่เขายังคงเงียบ
ส่วนเถียนเฉิงหยุนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
สองข้างทางเดิน สาวกบางคนของนิกายเฉินเมิ่งมองมา
“นั่นน่ะหรือฉินห่าว?”
“ฉินห่าวคือใคร?”
“เขาคือคนที่ขโมยคลังสมบัติของสำนักเซี่ยเจี้ยน เป็นคนที่สร้างความปั่นป่วนมากมายเมื่อเร็วๆนี้”
“อ้อ ที่แท้ก็ไอ้คนจากนิกายชั้นสามนี่เอง เขากล้าสร้างปัญหามากมายได้อย่างไร เป็นแค่ตัวตลกที่กระโดดโลดเต้นไปมาแท้ๆ”
“เจ้าสิตัวตลก ใช่ เจ้าฟังไม่ผิด ข้าด่าเจ้านั่นแหละ!”
ฉินห่าวชี้ไปทางสาวกที่นินทาเขาและด่าทอกลับ
“โอหัง! ที่นี่คือนิกายเฉินเมิ่ง ไม่ใช่ที่ๆสุนัขจะสามหาวได้!” ใบหน้าของสาวกคนนั้นแปรเปลี่ยนไป ตะคอกด้วยความโกรธ
“ผู้อาวุโสเถียน ท่านเห็นไหม สาวกนิกายนี้ความอดทนต่ำนัก พวกเขาถูกด่าประโยคเดียวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อีแบบนี้เดินต่อไปคงมีแต่ขยะ”
ฉินห่าวหันไปพูดกับเถียนเฉิงหยุนด้วยรอยยิ้ม พลางส่ายหัวประหนึ่งว่าข้างหน้าเต็มไปด้วยขยะ และนั่นรวมถึงเถียนเฉิงหยุนที่นำหน้าเขาอยู่เช่นกัน
“เจ้า ...”
“ช่างกำเริบเสิบสาน! เจ้าแส่หาที่ตาย!”
สาวกกลุ่มหนึ่งเดือดดาล จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ลุกโชน หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสเถียนอยู่ที่นี่ พวกเขาคงกระโจนเข้ามาเชือดฉินห่าวจนตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
“พอแล้ว!”
เถียนเฉิงหยุนสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ หันศีรษะไปตะคอก “เจ้าหุบปากซักที!”
“โถ่ ข่มขู่กันซะแล้ว ไม่มีสิทธิมนุษยชนเอาซะเลย”
ฉินห่าวทำสีหน้าน้อยใจ