ตอนที่ 389 สงครามของคนหนึ่งคน
ตอนที่ 389 สงครามของคนหนึ่งคน
ปัจจุบันกองยานต่อต้านความไม่สงบที่ถูกส่งไปยังเขตทุ่งดาวแห่งความตายทั้ง 105 กองยานกำลังพยายามมุ่งหน้ากลับไปยังพันธมิตรโดยเร็วที่สุด
นายพลรีเบโรผู้ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองยานกำลังยืนกอดอกมองไปยังหน้าจอเรดาร์ด้วยรอยยิ้ม เพราะในที่สุดหลังจากการเดินทางอันยาวนาน เขาก็เดินทางมาจนถึงอาณาเขตของพันธมิตรมนุษย์เสียที
“เรียนท่านนายพล กองยานทั้งหมดเดินทางมาถึงอย่างปลอดภัยแล้วครับ”
รีเบโรมองออกไปทางช่องหน้าต่างพร้อมกับเห็นรูหนอนที่ค่อย ๆ ถูกเปิดออกทีละรู พร้อมกับยานรบเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนที่ค่อย ๆ ทยอยกันปรากฏกายออกมา
“สัญญาณสตาร์เน็ตเวิร์กกับสัญญาณเข้ารหัสกลับมาเชื่อมต่อได้แล้วครับ ตอนนี้เราสามารถติดต่อกลับไปยังศูนย์บัญชาการใหญ่ได้ทุกเมื่อ”
“รีบรายงานตำแหน่งของเราไปยังศูนย์บัญชาการใหญ่ และกระจายคำสั่งของฉันออกไปยังกองยานทุกกองยานด้วยว่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญพวกเราจึงต้องรีบไปรวมกำลังกับกองยานทางทิศใต้ของจอมพลไทสันโดยเร็วที่สุด ดังนั้นพวกเราจะไม่หยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว” นายพลรีเบโรออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด
การเดินทางอันยาวนานสร้างความเหนื่อยล้าให้กับทุกคนอย่างแท้จริง แต่มันก็ไม่มีใครบ่นหลังจากที่ได้รับคำสั่ง เพราะทุกคนรู้ดีว่าตอนนี้พันธมิตรกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤตมากแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงหวังว่าพวกเขาจะขับไล่กองทัพเซิร์กออกไปจะดินแดนพันธมิตรให้ได้โดยเร็วที่สุด
ยานรบเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนจำเป็นจะต้องค่อย ๆ เคลื่อนที่ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด เพื่อรอคอยเวลาประมาณ 50 นาทีที่จะทำการกู้คืนพลังงานหลังจากทำการวาร์ปในแต่ละครั้ง ซึ่งในระหว่างนี้ลูกเรือภายในยานก็พยายามทำการซ่อมแซมอุปกรณ์บนยานรบที่ได้รับความเสียหาย
เครื่องจักรทุกเครื่องสามารถขัดข้องได้เสมอ ช่างยนต์ประจำยานจึงจำเป็นจะต้องตรวจเช็คความเสียหายอุปกรณ์ทุกส่วนอยู่เป็นประจำ เพราะการเดินทัพกองยานขนาดใหญ่ไม่สามารถจะทิ้งยานลำไหนเอาไว้ข้างหลังได้ ดังนั้นถ้าหากว่ามันมียานรบขัดข้องแม้แต่เพียงลำเดียว มันก็จะทำให้กองยานทั้งกองยานไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้เช่นเดียวกัน
แต่ในทันใดนั้นมันก็มีรูหนอนถูกเปิดออกตรงหน้าของพวกเขาอย่างกะทันหัน และจำนวนของรูหนอนก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปตามกาลเวลา
“ท่านนายพลครับมีรูหนอนปรากฏขึ้นด้านหน้าห่างออกไปประมาณ 13,000 กิโลเมตร ตอนนี้ตัวเลขของรูหนอนกำลังเข้าใกล้ 10,000 รูแล้วครับ และมันก็กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว” เจ้าหน้าที่ประจำระบบเรดาร์รายงานขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
ในเวลาต่อมายานรบปริศนาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนก็ค่อย ๆ ปรากฏกายขึ้นห่างจากกองยานของพวกเขาไปไม่ไกล และถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ากองยานที่เพิ่งปรากฏมาเป็นกองยานของใคร แต่มันก็ไม่มีวันเป็นกองยานของพันธมิตรอย่างแน่นอน
ที่แย่ไปกว่านั้นคือตอนนี้ยานรบของพวกเขามีพลังงานไม่เพียงพอที่จะทำการวาร์ปอีกครั้งหนึ่งได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องการหนี แต่ในตอนนี้พวกเขาก็ถูกบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับกองยานของศัตรู
ไม่กี่นาทีต่อมากองยานเซิร์กเต็มรูปแบบมากกว่า 600 กองก็ปรากฏขึ้นตรงกันข้ามกับกองยานต่อต้านความไม่สงบ และปากกระบอกปืนสีดำก็กำลังเล็งเป้าไปที่กองยานทั้ง 105 กองที่ไม่เหลือพลังงานมากพอที่จะทำการหลบหนี
—
ณ ยานบัญชาการลิเบอตี้ ศูนย์บัญชาการชั่วคราวของกองทัพ
“อะไรนะ?! จู่ ๆ กองยานต่อต้านความไม่สงบก็ถูกปิดล้อมด้วยกองยานเซิร์กงั้นเหรอ? กองยานเซิร์กเดินทางไปที่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมพวกเราถึงไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลย!” ไทสันส่งเสียงตะโกนพร้อมกับทุบโต๊ะอย่างแรง
“มีรายงานความสูญเสียเข้ามาแล้วหรือยัง?” ไทสันกล่าวถามหลังจากพยายามระงับความโกรธของตัวเองไว้
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีใครตอบคำถามของเขาเลยแม้แต่คนเดียว เพราะความสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะทำใจยอมรับได้
“พวกเขาตายหมดแล้วเหรอ?” ไทสันกล่าวถามอย่างเย็นชา
“กองยานทั้ง 105 กองที่พึ่งแล่นเข้ามาในชายแดนของพันธมิตรถูกทำลายโดยกองยานเต็มรูปแบบของเซิร์กมากกว่า 600 กอง คาดว่าคงไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากสถานการณ์ครั้งนี้ได้” วิลเลียมกล่าว
“กองยานเต็มรูปแบบกองใหม่อีก 600 กองงั้นเหรอ?!”
เพียงแค่ในปัจจุบันพื้นที่ทางตอนใต้กับทางตอนกลางก็มีกองยานเซิร์กแบบเต็มรูปแบบประจำการอยู่ทิศละ 600 กองแล้ว และในตอนนี้มันก็เพิ่งมีกองยานเต็มรูปแบบปรากฏตัวขึ้นทางตอนเหนืออีก 600 กอง ซึ่งมันก็หมายความว่าพวกเซิร์กมีกองยานเต็มรูปแบบที่พร้อมสู้รบอยู่ในมือถึง 1,800 กอง
จำนวนกองยานทั้งหมดของทางฝั่งพันธมิตรมีเพียง 1,000 กองเท่ากัน ซึ่งมันไม่สามารถต่อต้านกองยานเซิร์กที่มีมากถึง 1,800 กองได้อย่างแท้จริง และการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของกองยานเซิร์กในครั้งนี้ มันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม
ความห่างชั้นของทั้งสองฝ่ายมีมากจนเกินไป!
เซิร์กได้ครอบครองกองยานที่ทรงพลังจำนวนมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนกองยานทั้ง 1,800 กองที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมาก็น่าจะยังไม่ใช่กองยานทั้งหมด ซึ่งถ้าการคำนวณของไทสันไม่ผิดพลาด จำนวนกองยานที่แท้จริงของเซิร์กก็น่าจะมีจำนวนอยู่ไม่น้อยกว่า 2,500 กอง!
นี่คือสงครามที่ถูกเตรียมการเอาไว้มาเป็นเวลานานแล้ว มันจึงแทบที่จะไม่เหลือช่องว่างให้พวกเขาสามารถตีโต้พวกเซิร์กกลับไปได้เลย
สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้ไทสันรู้สึกเหมือนกับตัวเองแก่ขึ้นมาอีก 20 ปี และความรู้สึกไร้กำลังก็กำลังทิ่มแทงหัวใจของเขาอย่างเจ็บปวด
ทันใดนั้นเองระบบสื่อสารฉุกเฉินก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับข่าวร้ายข่าวใหม่ที่มาถึงติด ๆ กันจนทำให้พวกเขาแทบไม่ทันจะได้ตั้งตัว
“กองยานของจอมพลเลย์ตันทางทิศใต้รายงานมาว่าพวกเซิร์กเดินทางข้ามชายแดนมาแล้วครับ และพวกมันก็กำลังเดินทัพไปยังภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่” เจ้าหน้าที่สื่อสารรายงานด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหดหู่
ไทสันชะงักค้างไปอีกครั้ง แต่เขาก็พยายามกัดฟันและไม่พูดอะไรออกมา
“กองยานของพวกเขามีจำนวนเท่าไหร่? กองยานทางใต้พอจะมีความมั่นใจว่าจะหยุดศัตรูเอาไว้ได้หรือเปล่า?” วิลเลียมถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
“จำนวนของพวกเขาคือ เอ่อ... 1,000 กองยานครับ” เจ้าหน้าที่สื่อสารรายงานขึ้นมาเบา ๆ
—
ในขณะที่พันธมิตรกำลังถูกล้อมจากทั้งสามด้าน เซี่ยเฟยก็กำลังนอนอยู่ในห้องพร้อมกับจ้องมองไปยังเพดานที่ว่างเปล่า
จากข่าวที่เขาเพิ่งได้รับมาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียใจจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลยจริง ๆ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจชีวิตของผู้คนนับ 100,000 ล้านในนครหลวงที่ถูกสังหารไป แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยวางเรื่องคนรักอย่างแอวริลไปได้
เซี่ยเฟยลุกขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับเดินไปยังห้องบัญชาการด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า ก่อนที่เขาจะทำการป้อนชุดคำสั่งลงบนคอมพิวเตอร์ควบคุมเพื่อให้ยานรบยังคงเดินหน้าต่อไป
กระป๋องสามารถสัมผัสได้ถึงความหดหู่ใจและความโกรธของเจ้านายได้เป็นอย่างดี มันจึงพยายามนำแก้วนมและอาหารมาเสิร์ฟให้เซี่ยเฟยซ้ำ ๆ เพื่อให้ชายหนุ่มรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น
“พวกเราจะยังไม่กลับไปที่พันธมิตร” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาเบา ๆ หลังจากที่เขาแก้ไขข้อมูล
“ทำไม?”
“ฉันมีเรื่องที่ต้องทำ”
หลังจากกล่าวจบชายหนุ่มก็หันหลังกลับมุ่งหน้าตรงไปยังห้องฝึกฝนโดยไม่พูดอะไร ซึ่งหลังจากที่เขาทำการฝึกฝนทบทวนฝีมือจนเสร็จ เขาก็เช็ดอาวุธและชุดต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า
—
ณ ป่าทึบระหว่างภูเขา ได้มีนักรบเซิร์กคนหนึ่งนั่งอยู่กลางป่าเพียงลำพัง โดยกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างของเขามีความแข็งแกร่งราวกับเหล็ก ผิวของเขามีสีเขียวเหมือนกับตั๊กแตน และบนหัวของเขาก็สวมมงกุฏโลหะเอาไว้ คล้ายกับว่ามันเป็นหมวกสำหรับเอาไว้ป้องกันภัย
เซิร์กคนนี้นั่งอยู่บนก้อนหินและหลับตาราวกับว่าเขากำลังนั่งสมาธิ โดยข้าง ๆ เขาคือศพหลายร้อยศพที่แต่ละศพต่างก็มีสภาพน่าสังเวชจนไม่สามารถจะจดจำเค้าโครงเดิมของพวกมันได้
ในบรรดาซากศพเหล่านี้ไม่มีซากศพไหนเลยที่อยู่ในสภาวะสมบูรณ์ เพราะศพทุกศพต่างก็ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนทำให้ทั้งอวัยวะภายใน, เลือดและกระดูกกระจายอยู่เต็มพื้น
หากว่าใครสังเกตลึกเข้าไปภายในป่า พวกเขาจะได้พบว่าด้านในมีซากศพลักษณะนี้อยู่อีกไม่น้อยกว่า 5,000 ศพ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นการฝึกฝนที่จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ 3 วัน และในแต่ละเดือนจะมีทาสแมลงถูกส่งมาให้เขาทำการสังหารไม่น้อยกว่า 50,000 คน
ไซย่าเป็นนักรบเซิร์กที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดบนดาวมันติ ซึ่งหลังจากที่เขาได้ทำการสังหารทาสแมลงทั้งหมดแล้ว เขาก็ค่อย ๆ ปรับลมหายใจช้า ๆ และค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาเพื่อออกจากสมาธิ
อย่างไรก็ตามเขากลับได้พบชายชุดดำยืนอยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึง 10 เมตร และที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือเขาไม่ทันสัมผัสได้ถึงตัวตนของชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย
“แกคือไซย่าสินะ?” เซี่ยเฟยถามอย่างเย็นชา
“ใช่ ฉันคือไซย่า แล้วแกเป็นใคร?” ไซย่าลุกยืนขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วเปื้อนเลือดไปทางเซี่ยเฟยด้วยความโกรธ
บนมือของเขามีนิ้วอยู่ทั้งสิ้น 3 นิ้ว ซึ่งแต่ละนิ้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนคีมเหล็กที่สามารถฉีกกระชากศัตรูได้อย่างดุร้าย
“แกเป็นนักสู้ที่เก่งที่สุดบนดาวดวงนี้ใช่ไหม?” เซี่ยเฟยยังคงถามต่อไปโดยไม่คิดจะตอบคำถามของไซย่าเลย
“ข้าคือนักรบศักดิ์สิทธิ์และข้าก็คือผู้ที่ทรงพลังที่สุดบนดาวดวงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย” ไซย่ากล่าวอย่างภาคภูมิใจกับตำแหน่งนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่มันได้ครอบครอง
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่เขาจะเปิดเสื้อคลุมสีดำเพื่อเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ด้านใน
“มนุษย์! แกคือมนุษย์!!”
เซี่ยเฟยวางเสื้อคลุมสีดำเอาไว้ข้าง ๆ พร้อมกับขยับมือขยับเท้าอย่างผ่อนคลาย
“ฉันฆ่าเซิร์กบนดาวนี้หมดแล้ว ขอบคุณที่ช่วยฆ่าเซิร์กชุดสุดท้ายให้กับฉัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับมองไปยังซากศพที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
คำประกาศของเซี่ยเฟยทำให้ไซย่ารู้สึกตกตะลึง เพราะในเมืองที่อยู่ห่างออกไปมีนักสู้อยู่ไม่น้อยกว่า 1,000 คน และในบรรดานักสู้เหล่านั้นก็มีนักสู้ที่ยอดเยี่ยมอยู่อย่างมากมาย ซึ่งถ้าหากสิ่งที่เซี่ยเฟยพูดเป็นความจริงระดับพลังของชายหนุ่มคนนี้ก็คงจะไม่ด้อยไปกว่าตัวของเขาเอง
“ฉันเคยได้ยินมาว่าพวกมนุษย์เป็นพวกชอบอวดเก่ง ดูเหมือนว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องจริงสินะ ถึงแม้ว่าแกจะสังหารนักรบเซิร์กคนอื่นได้แต่ก็อย่าฝันว่าจะสามารถเอาชนะฉันคนนี้ไปได้!” ไซย่ากล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็เริ่มเคลื่อนไหวโดยไม่ส่งเสียงเตือน โดยเขาได้พุ่งตัวไปยังด้านข้างของไซย่าพร้อมกับตวัดหิมะโปรยออกไป
ไซย่าไม่คาดคิดมาก่อนว่าเซี่ยเฟยจะมีความเร็วสูงมากขนาดนี้ แต่ในฐานะที่ไซย่าคือนักรบศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเซิร์ก เขาจึงเอียงศีรษะหลบการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว และยื่นมือออกไปเพื่อพยายามคว้าจับร่างของชายหนุ่มเอาไว้
คว้าจับศัตรูและฉีกกระชากพวกมันออกเป็นชิ้น ๆ!
นี่คือเครื่องหมายการค้าของไซย่าที่ทำให้เซิร์กจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกหวาดกลัวจนเข้ากระดูกดำ
แต่น่าเสียดายที่เขาประเมินพลังของหิมะโปรยในมือของศัตรูต่ำเกินไป เพราะท้ายที่สุดอาวุธชิ้นนี้ก็คือมีดสั้นที่สามารถลงมือสังหารได้โดยไม่ทำให้เป้าหมายรู้สึกตัว
ตูม!
ก้อนน้ำแข็งแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ กระจัดกระจายออกไปทั่วทิศทาง
การจู่โจมในก่อนหน้านี้ทำให้ศีรษะขนาดใหญ่ของไซย่ากลายเป็นก้อนน้ำแข็ง และการโจมตีที่ตามมาทำให้ก้อนน้ำแข็งแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ ซึ่งทุกอย่างที่ถูกจู่โจมด้วยหิมะโปรยต่างก็กลายเป็นน้ำแข็งด้วยกันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเลือดหรือสมองต่างก็ไม่ได้รับการยกเว้น
ปัง!
ร่างขนาดใหญ่ที่ไม่มีหัวร่วงหล่นลงบนพื้นพร้อมกับเซี่ยเฟยที่หันหลังเดินจากไป ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเขาเลย
“เขาคือนักรบศักดิ์สิทธิ์ของเซิร์กนะ! การที่นายฆ่าเขาก็เท่ากับนายประกาศสงครามกับนักรบเซิร์กทั้งหมด” อันธกล่าวด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
“ฉันรู้”
“แล้วนายจะไปไหนต่อ?”
“ไปหานักรบศักดิ์สิทธิ์คนต่อไปและฉันก็จะฆ่าล้างพวกมันไปให้หมด”
***************
พี่เฟยคลั่งแล้วววววว