บทที่ 44
บทที่ 44
ต่อให้ฉินห่าวใช้เก้ามังกรทะยานทั้งหมด ก็ไม่มีท่าทีว่าจะสามารถสร้างรอยขีดข่วนแก่โลงศพนี้ได้ ดังนั้นเขาเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้
ส่วนวิชาผลาญศักยภาพชั่วแล่นก็ไม่ได้ใช้เช่นกัน เพราะยังไงซะฉินห่าวยังไม่รู้ว่าหากใช้มัน จะทำให้ฐานบำเพ็ญเพียรของเขาถดถอยหรือไม่
“งั้นถ้าเป็นพื้นที่เก็บของของระบบ จะยัดเจ้าสิ่งนี้ไปได้รึเปล่านะ?” จู่ๆความคิดก็แวบเข้ามาในหัวฉินห่าว เขาโบกมือใหญ่
และทันใดนั้น โลงศพก็หายวับไป
“เฮะ เฮ่! ให้มันได้งี้สิ!”
ฉินห่าวยิ้ม เกรงว่าพวกเซี่ยถูคงไม่คาดฝันว่าจะมีคนที่สามารถย้ายโลงศพได้ ฉินห่าวลองสำรวจพื้นสระรอบๆอีกครั้ง หลังจากไม่พบว่ามีอะไรเหลือเขาก็กระโดดขึ้นมา
“อยากรู้จังว่าพลังรบของหน่วยพิทักษ์ธรรมจะแกร่งแค่ไหน แต่เสียดายที่การเดินทางครั้งนี้กินเวลามากไปแล้ว ถึงเวลาต้องกลับนิกายก่อน”
ฉินห่าวแหงนมองเพดานดินเบื้องบนและพึมพำ ก่อนเปลี่ยนร่างตัวเองเป็นแสงสีเลือด ทะยานขึ้นฟ้าและหายไปในพริบตา
โลกใต้ดินกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน
“แล้วคนเล่า?”
ผู้พิทักษ์ธรรมสองคนในชุดคลุมสีแดงเลือดมาถึงช้าไปก้าวหนึ่ง พวกเขาคนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม เปล่งเสียงต่ำฟังน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าจะลงไปดูข้างล่าง”
ผู้พิทักษ์ธรรมคนผอมเอ่ยประโยคหนึ่ง กระโดดลงไปในสระ และเมื่อเห็นภาพเบื้องล่าง ดวงตาเขาแทบถลนออกมา เผลออ้าปากโดยไม่รู้ตัว เลือดในสระทะลักเข้าเต็มปาก
แต่ ณ ตอนนี้ เขาไม่มีเวลามัวสนใจอะไรอีก รีบทะยานขึ้นจากสระเลือด ร้องโวยวายว่า “ไม่ได้การ! ชายผู้นั้นเอาโลงศพของท่านศาสดาไปแล้ว!”
“ว่ายังไงนะ!? จะเป็นไปได้อย่างไร? โลงศพนั่นคือสมบัติวิเศษ ไม่มีใครสามารถเคลื่อนย้ายมันได้” ผู้พิทักษ์ธรรมคนอ้วนอุทาน หันขวับไปจ้องชายชุดดำสองคนที่แจ้งข่าวทันที
“พวกเจ้ารู้ไหมว่าเขาคือใคร?”
“ข้า .. ข้าไม่รู้ ...”
หนึ่งในสองที่แจ้งข่าวมัวแต่ตกใจ ส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว และวินาทีต่อมา ศีรษะของเขาก็ระเบิดหายไป
“ไอ้ตัวไร้ประโยชน์!”
ผู้พิทักษ์ธรรมคนอ้วนแค่นเสียงเย็น มองอีกฝ่ายอย่างชิงชัง
“ข้า ... ข้ารู้ ... เขาน่าจะเป็นสาวกของนิกายเซียวเหยา” ผู้ส่งข่าวอีกคนที่เวลานี้ถูกเลือดของสหายกระเด็นเลอะเต็มหน้าเอ่ยตะกุกตะกัก
“น่าจะ?”
ผู้พิทักษ์ธรรมคนอ้วนและผอมถามย้ำพร้อมกัน
“เอ่อ ... อันที่จริงข้าว่าข้ามั่นใจ ชุดที่เขาสวมใส่คือสาวกชั้นหนึ่งของนิกายเซียวเหยา”
ชายคนนั้นทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความกลัว
“สาวกชั้นหนึ่ง? นิกายเซียวเหยา?”
ผู้พิทักษ์ธรรมคนอ้วนและผอมชำเลืองมองหน้ากันและพูดว่า “แจ้งให้ทุกคนทราบ ส่งคำสั่งระดมพลออกไป พวกเราจะบุกโจมตีนิกายเซียวเหยา ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยท่านศาสดา!”
“ขอรับ!”
...
ในอีกด้านหนึ่ง ในที่สุดฉินห่าวก็กลับมายังนิกายของตัวเองหลังจากการเดินทางที่ยาวนานกว่าสิบวัน
สาวกที่เฝ้าภูเขานิกายเงยหน้าขึ้น ตะโกนทันที “นิกายเซียวเหยาอยู่เบื้องหน้า เป็นผู้ใดมาเยือน?”
“ฉินห่าว!”
ฉินห่าวตอบกลับและบินตรงไปที่ภูเขาเทียนหยุนโดยตรง
สาวกสองคนที่เฝ้าประตูมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเห็นประกายของความหวาดกลัวสะท้อนในดวงตาของอีกฝ่าย แน่นอน ศิษย์พี่ฉินเป็นที่รู้จักกันดี แต่ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในขอบเขตขจัดสิ่งโสมมหรอกหรือ?
ทำไมออกไปแค่เดือนกว่าๆ ถึงกลับมาในขอบเขตแก่นทองคำที่สามารถบินได้แล้ว?
“อาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว!”
ฉินห่าวเพิ่งเท้าแตะพื้นก็เปล่งเสียงทักทายอาจารย์ทันที
“ยินดีต้อนรับศิษย์ข้า หืม? เจ้าจากไปไม่นาน ก็กลับมาพร้อมเข้าสู่ขอบเขตแก่นทองคำแล้ว? ไม่เลว ไม่เลวเลยจริงๆ” เทียนหยุนมองฉินห่าวแวบแรกเขายอมรับว่าตกใจ แต่ก็พยายามรักษาสีหน้าตัวเองให้สงบ
“ข้าโชคดีตัดผ่านมาได้”
ฉินห่าวพยักหน้าอย่างไม่สนใจ แล้วพูดอย่างมีลับลมคมในว่า “อาจารย์ ท่านเดาสิว่าข้าเอาอะไรกลับมาให้ท่าน”
สีหน้าของเทียนหยุนไม่เปลี่ยนแปลง ในใจเขาปลื้มปิติ ศิษย์ผู้นี้มีความกตัญญู เมื่อออกไปข้างนอก ก็มีของขวัญติดไม้ติดมือกลับมาให้อาจารย์
“มันคืออะไร?”
“อาจารย์ลองเดาดู”
เทียนหยุนมองท่าทีลึกลับของฉนห่าวก็ถอนหายใจ เขายิ้มและพูดว่า “คงเป็นสมบัติล้ำค่าระดับตี้หรือเทียนกระมัง?”
ฉินห่าวส่ายหัวและเลิกให้อีกฝ่ายเดา เพราะยังไงซะ ไม่มีทางที่ใครจะเดาเกมนี้ถูก
ในพริบตา ภายใต้สายตาคาดหวังของเทียนหยุน ฉินห่าวหยิบโลงศพออกมา
ทันใดนั้น สายตาของเทียนหยุนกลายเป็นซับซ้อน มอบโลงศพให้อาจารย์เช่นนี้ ศิษย์ข้าเอ๋ย--
--นี่เจ้าต้องการจะสื่ออันใดกัน?