ตอนที่ 386 หาของ?
ตอนที่ 386 หาของ?
การพยายามก้าวข้ามผ่านธรณีประตูขั้นที่ 6 ของวิชามนตราอสูรไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เพราะถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะพยายามใช้กระแสจิตจู่โจมเข้าใส่ประตูครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผลลัพธ์ทุกครั้งก็ยังคงจบลงด้วยความล้มเหลว
การพยายามจู่โจมเข้าใส่ประตูทุกครั้งจำเป็นจะต้องใช้กระแสจิตเป็นจำนวนมาก และมันก็ทำให้กระแสจิตที่สมองของเขาดูดซับเก็บพลังของสมองเซิร์กเอาไว้ค่อย ๆ ลดทอนน้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงทำได้เพียงแต่พยายามเดินหน้าต่อไปอยู่ดี
ในที่สุดเวลานี้ก็เดินทางมาถึงซึ่งมันเป็นเวลาที่เซี่ยเฟยไม่เหลือกระแสจิตในร่างกายอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงแม้ว่าร่างกายกำลังจะบอกเขาว่าเขาเดินทางมาถึงขีดจำกัด แต่ชายหนุ่มก็ยังคงพยายามดื้อรั้นจู่โจมเข้าใส่ประตูต่อไป
การกระทำของเซี่ยเฟยเป็นเหมือนนักรบที่ดื้อรั้น เพราะถึงแม้ว่าเขาจะใช้ดาบภายในมือจนพังแต่เขาก็ยังคงพยายามใช้หมัดทุบประตูอย่างไม่หยุดยั้ง
หลังจากนั้นไม่นานเซี่ยเฟยก็ลืมไปแล้วว่าเขาพยายามทุบประตูบานนี้ทำไม เขาเพียงแต่ทำทุกสิ่งตามสัญชาตญาณคือทำยังไงก็ได้ให้เขาก้าวข้ามผ่านประตูบานนี้ไปอีกฝั่งหนึ่งให้สำเร็จ
อันธเฝ้าดูเซี่ยเฟยอยู่ตลอดเวลาและถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มมีความก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว แต่ภาพด้านนอกที่เขาเห็นคือเม็ดเหงื่อที่ไหลท่วมทั้งร่างของชายหนุ่ม
ในฐานะที่เขาเป็นนักฆ่าระดับสูงอันธย่อมเคยมีประสบการณ์คอขวดแบบนี้เช่นเดียวกัน แต่ความพยายามอย่างไม่ลดละของชายหนุ่มได้ทำให้เขารู้สึกตกใจอย่างแท้จริง
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้จักเซี่ยเฟยมานานแต่ชายหนุ่มชาวโลกคนนี้ก็ยังสามารถทำให้เขารู้สึกประหลาดใจได้ซ้ำ ๆ ซึ่งบางทีเรื่องนี้อาจจะเป็นสัญชาตญาณของนักรบโดยกำเนิดที่มักจะระเบิดพลังออกมาได้ในยามวิกฤต
ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าแรงกระแทกของชายหนุ่มจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ทว่าประตูบานนั้นกลับค่อย ๆ สั่นคลอนอย่างรุนแรง แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะอีกต่อไปแล้ว เขาจึงไม่รับรู้ถึงประตูที่ใกล้จะพังทลาย
ในที่สุดหลังจากความพยายามอย่างไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มที่ไร้สติก็สามารถก้าวข้ามผ่านประตูบานที่ 6 ของวิชามนตราอสูรไปได้ ซึ่งมันก็ทำให้หลังจากนี้เขาสามารถสร้างพันธสัญญากับสัตว์อสูรได้ทุกชนิดแม้กระทั่งราชาสัตว์อสูรก็ไม่ได้มีข้อยกเว้น
เมื่อเขาสามารถก้าวข้ามผ่านธรณีประตูไปได้สำเร็จ ร่างกายของเขาก็ให้ความรู้สึกสบายไปทั่วทั้งตัว เขาจึงหมดสติล้มลงบนพื้นและนอนหลับไปด้วยใบหน้าที่ปราศจากความกังวล
—
ปัจจุบันยานบัญชาการรุ่นอีเทอนัลกำลังจอดอยู่ในทะเลดวงดาวอันมืดมิด และเนื่องจากขนาดที่ใหญ่โตของมันจึงทำให้ยานลำนี้ไม่สามารถลงจอดบนดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งได้ หรือมันอาจจะสามารถกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่ายานบัญชาการต้องใช้ชีวิตอยู่ในอวกาศที่มืดมิดเท่านั้น ตั้งแต่วันที่มันถูกเริ่มทำการสร้างจนกระทั่งถึงวันที่มันจะถูกทำลาย
บริเวณห่างจากยานอีเทอนัลไปไม่ไกลคือยานรบของพันธมิตรมนุษย์เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งในเวลา 20 กว่าวันที่ผ่านมานี้ทางพันธมิตรได้รวบรวมกองยานได้มากกว่า 400 กองแล้ว และมันก็รวมถึงกองยานอิสระของกองทัพเข้าไปด้วย โดยในปัจจุบันทางกองทัพได้ใช้ยานแบบนี้เป็นศูนย์บัญชาการหลักที่คอยสั่งการยานทุกลำในพันธมิตร
“สถานการณ์ตอนนี้ของพวกเราแย่มาก พวกเซิร์กได้แบ่งกองกำลังหลักของเราออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนหนึ่งอยู่ทางทิศใต้และอีกส่วนหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ ทำให้เราไม่สามารถรวมกองกำลังเข้าด้วยกันได้เลย”
“ฉันว่าหากพันธมิตรต้องการที่จะขับไล่กองยานเซิร์กออกไป พวกเราจะต้องหาทางรวมกองกำลังหลักทั้งสองทิศเข้าด้วยกันให้ได้ แล้วหลังจากนั้นค่อยรวมกำลังกันบุกทำลายยานของเซิร์กซะ” นายพลผมบลอนด์กล่าวก่อนที่เขาจะลุกยืนขึ้นและชี้ไปยังแผนที่ดวงดาวบนหน้าจอ
“ถึงแม้ว่าในตอนนี้กองยานของเซิร์กจะบุกเข้ายึดพื้นที่บริเวณนครหลวงได้หมดแล้ว แต่กองยานทางด้านเหนือก็ไม่จำเป็นจะต้องบุกผ่านวงล้อมของพวกมันออกมา พวกเขาสามารถใช้เส้นทางอ้อมเคลื่อนที่ลงมาสมทบกับพวกเราได้ และเมื่อกองยานหลักทั้งสองได้รวมกลุ่มกันพวกเราก็จะมีกำลังมากกว่า 1,000 กองยาน”
“ด้วยเหตุนี้เมื่อมันได้รวมกับกองยานของเขตทุ่งดาวแห่งความตายที่กำลังจะเดินทางมาถึง อีกไม่นานพวกเราก็จะสามารถกวาดล้างกองยานเซิร์กทั้ง 600 กองที่กำลังยึดครองนครหลวงได้อย่างง่ายดาย”
หลังจากได้ยินคำอธิบายวิลเลียมก็กล่าวตอบกลับไปอย่างใจเย็นว่า
“ตอนนี้ไม่ใช่แค่กองกำลังของเราที่แยกออกเป็น 2 ส่วน แต่กองกำลังเซิร์กก็แยกออกเป็น 2 ส่วนด้วยเหมือนกัน ประเด็นสำคัญคือพวกเซิร์กรู้พิกัดของรูหนอนปริศนาที่สามารถนำพายานรบของพวกมันบินเข้ามาใกล้กับนครหลวงได้โดยตรง ซึ่งจากข้อมูลที่ทีมลาดตระเวนได้รายงานมารูหนอนนี้ก็น่าจะมีความเสถียรมาก มันจึงสามารถคงอยู่เป็นเวลานานเพียงพอที่จะให้กองยานทั้ง 600 กองของเซิร์กเคลื่อนที่เข้ามาใจกลางพันธมิตรได้”
“เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเซิร์กถึงยังกล้าอยู่ใกล้ ๆ นครหลวงและไม่เกรงกลัวกองยานของพวกเราเลย นั่นก็เพราะว่าพวกมันจะต้องมีกำลังเสริมซ่อนอยู่เบื้องหลังรูหนอนนั่นแน่ ๆ ซึ่งถ้าหากว่าเราเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม มันก็จะกลายเป็นว่าเราเคลื่อนที่เข้าหากับดักของศัตรู”
“ส่วนเรื่องที่คุณพูดเกี่ยวกับการรวมกองกำลังกองยานทางตอนเหนือกับตอนใต้ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเช่นเดียวกัน เพราะทันทีที่กองยานฝั่งหนึ่งได้หายไป ดินแดนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็จะถูกพวกเซิร์กบุกเข้าครอบครองไปทั้งหมด”
“แต่ถ้าเราสามารถรวมกองกำลังกันได้ พวกเราก็จะสามารถทวงคืนนครหลวงกลับมาได้เหมือนกัน” นายพลผมบลอนด์ยังคงกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ฉันเกรงว่าถ้าเราจะทำแบบนั้นมันก็ไม่เพียงแต่เราจะเสียพื้นที่ 1 ใน 3 ของพันธมิตรไปเท่านั้น แต่เรายังไม่สามารถเอานครหลวงกลับคืนมาได้อีกด้วย”
“สมมุตินะว่าถ้าเราสามารถเอานครหลวงกลับมาได้จริง ๆ แต่อย่าลืมว่าตอนนี้นครหลวงถูกทำลายไปจนหมดแล้ว และเราจะเอาดินแดนที่ถูกทำลายแบบนั้นกลับมาทำไม?” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“กองยานชั้นยอดของพันธมิตรมากกว่า 1,000 กอง ประกอบกับกองยานของเขตทุ่งดาวแห่งความตายจะไม่สามารถเอาชนะกองยานของพวกเซิร์กแค่ 600 กองได้ยังไง แล้วถึงแม้ว่าด้านหลังรูหนอนนั่นจะมีกองกำลังเสริมอยู่จริง ๆ แต่กองกำลังเสริมของพวกมันจะมีมากสักแค่ไหน อย่างมากที่สุดก็แค่ไม่กี่ร้อยกอง”
“ในตอนที่พวกเซิร์กส่งกองยานไปทำลายกองยานการค้า พวกมันก็มีกองยานอยู่เพียงแค่ประมาณ 600 กองเท่านั้น และถึงแม้ว่ากองยานพวกนั้นจะเข้ามาเป็นกำลังเสริมแต่มันก็ทำให้พวกเซิร์กมีกองยานอยู่เพียง 1,200 กอง แน่นอนว่าพวกมันอาจจะมีกองยานแอบซ่อนอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะมองยังไงพวกมันก็ไม่มีทางสู้กองกำลังของพวกเราได้” นายพลผมบลอนด์กล่าวอย่างฉุนเฉียว
นายพลหลาย ๆ คนที่อยู่ในห้องประชุมต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการถูกพวกเซิร์กเข้ามายึดครองนครหลวงทำให้ทุกคนภายในห้องต่างก็รู้สึกไม่พอใจ พวกเขาจึงพยายามขออนุมัติไทสันเพื่อพยายามบุกทำลายกองยานพวกนั้นให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามวิลเลียมซึ่งเป็นคนใจเย็นที่สุดในสถานการณ์นี้ และยังได้ครองตำแหน่งเสนาธิการแห่งกรมทหารก็จำเป็นจะต้องประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบมากที่สุด เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพียงแค่นิดเดียวอาจจะนำไปซึ่งการสูญเสียของมนุษยชาติที่ไม่อาจจะหวนกลับคืนมาเลยก็ได้
“ถ้าฉันเป็นผู้บัญชาการของเซิร์กฉันจะสั่งให้กองยานที่รักษาการบริเวณชายแดนรุกคืบเข้ามาจากทางตอนใต้ และสั่งให้กองยานในนครหลวงมุ่งทำลายกองยานทางเหนือของพวกเราด้วย อย่าลืมนะว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบมากที่สุด แต่คำถามก็คือทำไมพวกเขาถึงยังไม่เลือกที่จะลงมือ?” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เหล่าบรรดานายทหารใหญ่ที่อยู่ในห้องประชุมต่างก็รู้สึกงุนงงเช่นเดียวกัน เพราะพฤติกรรมของพวกเซิร์กเป็นเรื่องที่น่าสงสัยจริง ๆ ตอนนี้สถานการณ์เอนเอียงไปทางพวกเซิร์กอย่างชัดเจน แต่พวกมันกลับไม่รุกคืบเพื่อใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบให้เป็นประโยชน์
“อะแอ๊ม! วิลเลียมช่วยบอกสิ่งที่นายวิเคราะห์มาให้ฉันฟังหน่อย” ไทสันกล่าวหลังจากจงใจส่งเสียงกระแอมออกมา 2 ครั้ง
“ครับท่านจอมทัพ” วิลเลียมกล่าวอย่างจริงจังพร้อมกับพยักหน้ารับคำสั่ง
เมื่อพันธมิตรได้ประกาศใช้สภาวะฉุกเฉิน ไทสันก็ถูกแต่งตั้งจากประธานาธิบดีให้กลายเป็นจอมทัพที่มีสิทธิ์ตัดสินใจในช่วงสภาวะสงครามทั้งหมด
ตำแหน่งจอมทัพไม่ใช่ตำแหน่งที่เอาไว้ใช้ในยามสงบ แต่เป็นตำแหน่งที่จะมอบให้กับผู้บัญชาการทหารสูงสุดในสภาวะสงครามเท่านั้น ซึ่งย้อนกลับไปครั้งสุดท้ายที่ในพันธมิตรมีจอมทัพก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่พันธมิตรทำสงครามกับเซิร์กเมื่อหลายพันปีที่แล้ว
ในสภาวะสงครามจอมทัพไม่ได้เป็นเพียงแต่ผู้บัญชาการสูงสุดของทางกองทัพเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของพันธมิตรอีกด้วยเขาจึงมีอำนาจในการตัดสินใจเคลื่อนไหวทำอะไรก็ได้ ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงการปฎิบัติงานของจอมทัพได้
“จากการวิเคราะห์ของฉันมีความเป็นไปได้ 3 อย่างที่กองทัพเซิร์กหยุดนิ่งอยู่แบบนี้ หนึ่งคือพวกมันวางแผนที่จะกวาดล้างกองทัพของพวกเราตั้งแต่ต้น ดังนั้นพวกมันจึงจงใจรอให้พวกเรารวบรวมกองกำลังเป็นจุดเดียว และพวกมันก็จะทำการกวาดล้างกองกำลังของพวกเราทั้งหมด”
“แน่นอนว่าถ้าพิจารณาจากลักษณะนิสัยของอูดี้ แผนการนี้ก็คงจะไม่ใช่แผนการที่เหมาะสมกับเซิร์กอย่างเขาเท่าไหร่นัก”
“ความเป็นไปได้อย่างที่ 2 คือกองกำลังเซิร์กที่อยู่ในบริเวณชายแดนเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ซึ่งในความเป็นจริงพวกเขาไม่ได้มีกำลังรบมากขนาดนั้น มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกองยานพวกนั้นถึงไม่ก้าวข้ามพรมแดนพันธมิตรเข้ามา”
“ดังนั้นการมีอยู่ของพวกมันจึงเป็นเพียงแค่การพยายามถ่วงกองกำลังของเราเอาไว้ ซึ่งถ้าหากว่าเราทำการเคลื่อนไหวอะไรกองกำลังนี้ก็จะเริ่มบุกเข้ายึดดินแดนของพวกเราทันที ส่วนพวกกองยานที่ประจำการอยู่ในนครหลวงก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกกังวล เพราะด้วยการมีอยู่ของรูหนอนที่เราไม่รู้ก็ทำให้พวกเขาสามารถเรียกกำลังเสริมเข้ามาได้ทุกเมื่อ ดังนั้นไม่ว่าเราจะเลือกเส้นทางไหนแต่พวกเซิร์กก็พร้อมที่จะรุกคืบเข้ามากลืนกินพวกเราได้จากทุกทาง”
“ความเป็นไปได้อย่างที่ 3 คือพวกมันมีเจตนาซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง ซึ่งฉันคาดเดาว่าพวกมันกำลังมองหาอะไรบางอย่างบริเวณใกล้ ๆ กลุ่มดาวนครหลวง ตามรายงานจากหน่วยลาดตระเวนกองทัพเซิร์กที่รวมตัวกันอยู่ใกล้ ๆ กลุ่มดาวนครหลวงไม่ทำการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย พวกมันเพียงแค่ทำการส่งกองยานขนาดเล็กออกไปตรวจตราบริเวณโดยรอบเพียงแค่นั้น”
“หากพิจารณาจากความเป็นไปได้ข้อนี้ เป้าหมายที่แท้จริงของพวกมันก็อาจจะมีเพียงแค่การพยายามยึดครองกลุ่มดาวนครหลวงเอาไว้ ส่วนการกระทำอื่น ๆ ก็เป็นเพียงแผนการลวงที่พยายามอำพรางเป้าหมายหลัก และทันทีที่พวกมันได้ในสิ่งที่พวกมันต้องการแล้วพวกมันก็จะถอนกำลังกลับทางรูหนอนที่พวกมันเดินทางเข้ามา”
ความเป็นไปได้ 2 ข้อแรกเป็นสิ่งที่นายพลทุกคนพอจะทำความเข้าใจได้ แต่การคาดเดาในข้อที่ 3 มันเป็นสิ่งที่เหนือเกินกว่าจินตนาการของพวกเขามาก
พวกเซิร์กลงทุนทำสงครามกับพันธมิตรมนุษย์เพื่อพยายามหาของบางอย่างเนี่ยนะ?! ของที่พวกมันพยายามหาจะต้องเป็นอะไรถึงมีมูลค่ามากพอให้พวกมันยอมเสี่ยงทำสงครามกับมนุษย์แบบนี้
“นายกำลังคิดว่าพวกมันกำลังพยายามหาอะไรบางอย่างอยู่งั้นเหรอ?” ไทสันกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มันไม่ใช่เรื่องที่น่าสงสัยเหรอว่าทำไมพวกเซิร์กถึงบุกเข้ายึดนครหลวงที่ถูกพวกเราเผาไหม้ไปจนหมดแล้วและไม่เลือกที่จะไล่ตามพวกเรามา ไม่ว่าจะมองยังไงพวกมันก็มีเจตนาแอบแฝงอยู่แน่ ๆ” วิลเลียมกล่าว
“ถ้าในตอนนั้นกองทัพเซิร์กเลือกที่จะไล่ตามกองกำลังของพวกเราจริง ๆ มันก็คงจะเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับพวกเรามากแน่ ๆ เพราะในตอนนั้นกองกำลังของเราด้อยกว่ากองกำลังของพวกมันอย่างชัดเจน ดังนั้นตราบใดก็ตามที่พวกมันเลือกลงมือพวกเราก็คงจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก”
“แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้จริง ๆ ว่าพวกมันกำลังพยายามค้นหาอะไรบางอย่างในนครหลวง แล้วถ้าหากว่ามันเป็นแบบนั้นพวกมันกำลังพยายามมองหาอะไรอยู่?” ไทสันกล่าว
“ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่านครหลวงเป็นสถานที่อยู่อาศัยที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ที่รอดพ้นมาจากการกวาดล้างของหุ่นยนต์ บางทีมันอาจจะมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้นโดยที่แม้กระทั่งพวกเราก็อาจจะไม่รู้ก็ได้” วิลเลียมกล่าว
แม้ว่าไทสันจะรู้จักวิลเลียมเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังคงตั้งข้อสงสัยอยู่ภายในใจ
‘พวกเซิร์กจะลงทุนทำสงครามเพื่อหาอะไรบางอย่างจริง ๆ เหรอ? ไม่ว่าจะมองยังไงการตัดสินใจแบบนั้นมันก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีเลยสักนิด’
***************
แล้วนักอ่านทุกคนคิดว่าพวกเซิร์กกำลังคิดอะไรอยู่ 1, 2, 3 หรือ 4 ที่ไม่ใช่ 3 ตัวเลือกแรก?