บทที่ 37
บทที่ 37
“จางเสี่ยว เจ้าส่งสาวกสองสามคนไปเข้าร่วมกับยอดเขาเซียวเหยา คอยสืบเบื้องลึกเบื้องหลัง และกำชับพวกเขาว่าอย่าสร้างเรื่องใหญ่”
ผ่านไปนาน หลิวเฮ่อส่งคำพูดผ่านยันต์สื่อสาร
“ขอรับ!”
ที่เชิงเขา สาวกคนหนึ่งชะงักเมื่อได้ยินคำสั่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆโดยไม่มีใครทันสังเกต
....
ในขณะนี้ ฉินห่าวกำลังมองแพนด้าหลอมอาวุธอยู่ ซึ่งการหลอมของมันทั้งรวดเร็วและมีคุณภาพสูง ทุกชิ้นที่ออกมา มีคุณสูงกว่าช่างฝีมือของนิกายมาก
นี่ทำให้เขาเกิดความคิด ว่าสมควรดึงตัวสาวกที่รับหน้าที่กลั่นโอสถกับหลอมอาวุธมายังยอดเขาของตัวเอง แล้วให้แพนด้าสอนดีหรือไม่
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป สาวกเหล่านั้นมีความเย่อหยิ่งในตัวเอง แล้วพวกเขาจะสนใจมาเข้าร่วมกับยอดเขาใหม่เอี่ยมของฉินห่าวได้ยังไง?
เขาล้มเลิกความคิดนี้ชั่วคราว ลุกยืนขึ้น มองไปไกลแล้วหรี่ตาลง
“สำนักเซี่ยเจี้ยน ไม่รู้ว่าพวกเจ้าพร้อมหรือยัง?”
เขาขยับปากพึมพำ หันไปร่ำลาแพนด้า และตรงไปยังยอดเขาเทียนหยุน
“อาจารย์ เมื่อเร็วๆนี้ศิษย์ได้ข่าวบางอย่างมา เลยอยากจะขอไปฝึกวิชาข้างนอกเสียหน่อย”
“อืม ไปเถิด แต่ให้ความใส่ใจเรื่องความปลอดภัยด้วย หากเผชิญอันตราย เจ้าสามารถเอ่ยชื่ออาจารย์ได้”
เทียนหยุนพยักหน้า เขาพอใจกับสาวกคนนี้มาก ทั้งมีพรสวรรค์และขยัน นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยาก
“เช่นนั้นศิษย์ขอลา”
ฉินห่าวพยักหน้าและเดินลงจากยอดเขา
“เฮ้อ เดินทางลำบากจัง สงสัยต้องรีบเข้าสู่ขอบเขตแก่นทองคำเร็วๆจะได้บินได้”
ฉินห่าวถอนหายใจและเดินออกจากนิกายเซียวเหยา มุ่งหน้าไปยังทิศทางของสำนักเซี่ยเจี้ยน
แต่เมื่อคิดถึงค่าความเกลียดชังหมื่นแต้มที่ต้องใช้ในการอัพเกรด ฉินห่าวก็ได้แต่ถอนหายใจ ขอล่าสัตว์ร้ายคามรายทางไปด้วยแล้วกัน
...
หนึ่งเดือนต่อมา
หลังจากขอระบบอัพเกรดฐานบำเพ็ญเพียรสู่ขอบเขตแก่นทองคำขั้นต้น ฉินห่าวมองค่าความเกลียดชังที่เหลืออีกราวๆ 8,000 แต้ม
แต่ถึงตอนนี้ ไม่มีเวลาล่าสัตว์ร้ายอีกแล้ว เพราะเขามาถึงชายแดนของนิกายเซียวเหยาแล้ว หากมุ่งหน้าต่อไปก็จะเป็นอาณาเขตของสำนักเซี่ยเจี้ยน
“ผู้อาวุโสหยิน ขอโทษที่ให้รอซะนาน ข้ามาหาเจ้าแล้ว!”
ฉินห่าวเป็นคนพยาบาท ตราบใดที่เจ้ายั่วยุข้า ข้าก็จะทำร้ายเจ้า ตราบใดที่เจ้าต้องการฆ่าข้า ข้าก็จะฆ่าเจ้า!
ผู้อาวุโสหยินคนนี้เคยลอบโจมตีหมายสังหารเขา และความทรงจำในเหตุการณ์นั้นยังสดใหม่ หากยังไม่ฆ่าอีกฝ่าย ฉินห่าวคงรู้สึกไม่สบายใจ
ครืนนนน!
ในตอนนั้นเอง เกิดเสียงดังขึ้นจากบนท้องฟ้า
ฉินห่าวเงยหน้ามอง เห็นเพียงเรือเหาะลำใหญ่แล่นผ่าน ตัวเรือสะท้อนแสงระยิบระยับ
“นั่นมันเรือเหาะของสำนักเซี่ยเจี้ยน?”
“ไอ้หยา มาได้เวลาพอดี งั้นขอเก็บดอกเบี้ยหนี้แค้นซักหน่อยแล้วกัน”
ฉินห่าวหัวเราะเบาๆ ออกแรงย่ำเท้า
สลายโลหิต!
บรึ้ม!
ในพริบตา ร่างเขากลายเป็นเงาสีเลือดและหายวับไป
...
เหนือเรือเหาะ
“ครั้งนี้ศิษย์พี่รุ่ยฆ่าสัตว์ร้ายไปได้ไม่น้อยเลย”
“สัตว์ร้ายยังไม่เท่าไหร่ ศิษย์พี่รุ่ยยังฆ่าสาวกนิกายเซียวเหยาไปหลายคน นับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่”
“พวกสุนัขนิกายเซียวเหยาสมควรตายแล้ว โดยเฉพาะไอ้ฉินห่าวนั่น มันฆ่าสาวกสำนักเซี่ยเจี้ยนของพวกเราไปหลายคน น่าตายจริงๆ”
ศิษย์พี่รุ่ยซึ่งกำลังได้รับคำชมจากทุกคนยิ้มประชดประชัน “ฉินห่าวมันก็แค่ตัวตลก หากกล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า รับร้องว่ามัน ... ”
“รับรองว่ามันทำไม?”
“แน่นอนว่ามันจะต้องถูกจับมาทุบตีให้ทรมานแบบตายทั้งเป็น!” ศิษย์พี่รุ่ยเยาะเย้ย ยังไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใดๆ
“เห~ ขนาดนั้นเลยหรอ”
“เอ๊ะ? นี่เจ้า ...”
ศิษย์พี่รุ่ยขมวดคิ้ว รู้สึกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ถูกต้อง นี่ไม่ใช่คำเยินยอ แต่เหมือนกำลังตั้งข้อครหาเขามากกว่า
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาพบว่าศิษย์น้องทุกคนจ้องไปยังทิศทางหนึ่งเป็นสายตาเดียว แต่ละคนอ้าปากตาค้าง แสดงสีหน้าเหลือเชื่อ
ศิษย์พี่รุ่ยหันไปตามสายตาของคนอื่นๆ
เห็นเพียงบนเรือ ปรากฏชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวที่มีลวดลายสีทองปักบริเวณข้อมือ เขาขึ้นมาบนเรือเหาะตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ
“สาวกชั้นหนึ่งของนิกายเซียวเหยา?”
ม่านตาของศิษย์พี่รุ่ยหดลีบลง
“ไง เล่าต่อสิ ข้ากำลังฟังถึงตอนที่เจ้าบอกว่าจะทุบตีข้าให้ทรมานแบบตายทั้งเป็นพอดี” ฉินห่าวทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ ... หรือ ... หรือว่าเจ้าคือฉินห่าว?”
ศิษย์พี่รุ่ยยิ้มแห้ง ยิ่งพอได้ยินคำแทนตัวเองของผู้มาเยือน ก็นึกอะไรบางอย่างออก อุทานขึ้นทันที
“หากไม่มีผู้อื่นชื่อนี้ แซ่นี้ ข้าก็คงเป็นฉินห่าวคนที่เจ้าพูดถึง”
ทุกคนตกตะลึง นี่ไม่ใช่แค่เรื่องที่เขาคือฉินห่าว แต่ยังมีเรื่องที่เหตุใดฉินห่าวถึงบุกเข้ามาในเรือเหาะได้โดยที่ค่ายกลป้องกันไม่ส่งเสียงเตือนแม้แต่น้อย?