บทที่ 36
บทที่ 36
บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท
“ล่วงเกินศิษย์พี่แล้ว”
ฉินห่าวก้มหัวเล็กน้อย ประสานฝ่ามือไปทางหลิวเฮ่อที่นอนแผ่อยู่ในหลุมใหญ่
ดวงตาของหลิวเฮ่อไร้ชีวิตชีวา และร่างกายดูเหมือนจะแตกสลาย แม้แต่การอ้าปากก็ยังยากลำบาก
“เร็วเข้า! รีบช่วยคน!”
ผู้อาวุโสทั้งห้าออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว
ศิษย์คนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนเวทีทันทีและป้อนยารักษาให้หลิวเฮ่อ
“เฮ้อ เหตุใดเจ้าต้องลงมือหนักขนาดนี้ด้วย?”
ผู้อาวุโสจิตถอนหายใจ แต่ก็ไม่ถึงขั้นตำหนิ
“เรียน ผู้อาวุโส ศิษย์เพิ่งฝึกฝนวิชานี้แค่ไม่กี่วัน เลยยังควบคุมมันไม่ได้” ฉินห่าวอธิบายอย่างรวดเร็ว แน่นอน เขาจะไม่ฆ่าหลิวเฮ่อต่อหน้าทุกคน มิฉะนั้นสหายร่วมนิกายจะมองเขาอย่างไร?
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ฉินห่าวยังไม่มีหลักฐานมัดตัวหลิวเฮ่อ ดังนั้นถึงพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ หลักๆเป็นเพราะหลิวเฮ่อปกปิดได้มิดชิดเกินไป
“อืม”
ผู้อาวุโสทั้งห้าพยักหน้าและเอ่ยว่า “เป็นเรื่องปกติที่ผู้บำเพ็ญเพียรจะไม่สามารถยั้งมือตัวเองได้ ไม่ถึงกับฆ่ากันตายก็ดีแล้ว”
อีกด้านหนึ่ง หลิวเฮ่อสามารถลุกขึ้นได้แล้ว แต่ยังแน่นหน้าอกเล็กน้อย ยืนตัวงอ ในใจเสียดายที่ไม่มีโอกาสสู้สุดฝีมือ ยังไม่ทันได้ปล่อยกระบวนท่าสังหาร สุดท้ายเลยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ช่างน่าอับอายนัก!
อย่างไรก็ตาม พูดไปก็ไม่ทันแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ข้ออ้าง ยิ่งอยู่ท่ามกลางสายตาผู้อื่น ยิ่งไม่ควรพูดอะไรให้ตัวเองดูแย่ลง
ดังนั้น หลิวเฮ่อยิ้มขมขื่นและกล่าวว่า “พลังรบของศิษย์น้องยอดเยี่ยมจริงๆ แม้แต่ศิษย์พี่ก็ยังต้านไม่อยู่ เป็นพรของนิกายเราแล้วที่กำเนิดอัจฉริยะเช่นเจ้า”
แม้ว่าข้าจะแพ้ แต่บารมีข้าไม่อาจมัวหมอง!
สาวกคนอื่นๆพอได้ฟังก็พยักหน้าเบาๆ สมแล้วที่เป็นชนชั้นนำในหมู่สาวก นิสัยและบุคลิกเช่นนี้ไม่ธรรมดาเลย
“ศิษย์น้องล่วงเกินแล้ว ข้าเพิ่งฝึกวิชาเหล่านี้ได้ไม่นาน เลยไม่สามารถยั้งมือได้อย่างหมดจด”
ฉินห่าวก็ยิ้มอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นกัน
“เอาล่ะฉินห่าว เจ้าในฐานะสาวกชั้นสองได้ผ่านการประเมินแล้ว ยินดีต้อนรับสู่สาวกชั้นหนึ่งอย่างเป็นทางการ เจ้าจะได้รับยอดเขาเป็นของตัวเองและสามารถสร้างตำหนักได้ หากมีสาวกคนใดต้องการเข้าร่วม เจ้าก็คัดเลือกได้ตามสมควร”
ผู้อาวุโสจินประกาศ
ถึงตอนนี้ สาวกทุกคนโห่ร้อง ไม่มีศิษย์ชั้นหนึ่งคนใหม่มาเป็นสิบปีแล้ว แต่วันนี้พวกเขาได้เป็นประจักษ์พยาน เห็นการถือกำเนิดใหม่ด้วยตาตัวเอง
สำหรับสาวกชั้นหนึ่ง แต่ละคนจะมียอดเขาเป็นของตัวเอง นี่ก็เพื่อไว้ใช้พัฒนาคนสนิทของตน และฝึกความสามารถในการบริหารจัดการคน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว สาวกชั้นหนึ่งคือผู้สมัครที่มีสิทธิ์เข้ารับตำแหน่งประมุขคนต่อไป
เดิมมีเพียงหกยอดเขา แต่ตอนนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว ฉินห่าวคร้านจะคิดชื่อดีๆ เลยตั้งชื่อมันว่ายอดเขาเซียวเหยาตามชื่อนิกาย และเมื่อกลับไปตงฟู่ เขาก็พบหวังจุนและมอบแหวนที่เต็มไปด้วยโอสถกับอาวุธวิเศษแก่อีกฝ่าย
“ศิษย์ ... ศิษย์พี่ต้องการให้ข้าเป็นคนบริหารจัดการยอดเขาหรือ?” หวังจุนตกตะลึง แรงกดดันนี้หนักหนาเกินไป เขาเป็นแค่สาวกรับใช้เท่านั้น
“ไม่ต้องกังวล เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร แค่แจกจ่ายโอสถและตั้งใจฝึกฝนให้ดี” ฉินห่าวตบไหล่ของหวังจุนราวกับจะให้กำลังใจเขา
“ดะ ... ได้ เช่นนั้นขอศิษย์พี่โปรดวางใจ” หวังจุนพยักหน้าอย่างหนัก
......
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ณ ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง
คนสองคนมองผู้คนที่อยู่ใต้เชิงเขา
“นี่มันยังไง? ตกลงแม้แต่เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา?” ชายกำยำคนหนึ่งเอ่ยถาม
“มันยากที่จะพูด ข้ายังไม่ได้ใช้ไพ่ตาย แต่เกรงว่าเรื่องนี้เขาคงไม่ต่างกัน ดังนั้นผลลัพธ์คาดเดาไม่ได้” หลิวเฮ่อส่ายหัว สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“แต่เจ้าก็ยังแพ้ และมันเป็นความพ่ายแพ้ย่อยยับด้วย” ชายกำยำพูดติดตลก
“ข้าไม่ขอโต้เถียงกับเจ้า ถ้าแน่จริงเจ้าก็ลองไปสู้กับเขาเอง แล้วจะรู้ว่าที่เผชิญอยู่ มันคือความน่ากลัวที่ให้ความรู้สึกว่าคู่ต่อสู้ไม่เคยใช้พลังอย่างเต็มที่เลย”
แววตาของหลิวเฮ่อสะท้อนเจตนาฆ่า แต่แล้วมันก็หายไป
“ดูเหมือนเจ้ายังกลัวอยู่”
ชายกำยำยิ้มและหันหลังจากไป
“หากเจ้าไม่กลัว ก็ลองท้าสู้กับเขาดูได้” น้ำเสียงของหลิวเฮ่อสงบ ไม่โกรธและไม่ยิ้มใดๆ
“ให้ข้าท้าสู้เขา? ไม่ ข้าจะไม่ยั่วยุเขา ตอนนี้เขาเป็นศิษย์คนเดียวของผู้อาวุโสเทียนหยุน สถานะสูงส่งจนน่าสะพรึง และข้าไม่มีวันลืมว่าผู้อาวุโสเทียนหยุนนั้นมีอารมณ์แบบใด ไม่ล่วงเกินเขาจะดีที่สุด”
ชายกำยำหยุดฝีเท้า จากนั้นกลายเป็นกระแสแสงและหายไป
“นี่คือคำเตือนรึเปล่า?”
หลิวเฮ่อเหม่อมองทะเลเมฆที่เคลื่อนคล้อย พึมพำเบาๆ