ตอนที่ 379 เผ่าทูรอน
ตอนที่ 379 เผ่าทูรอน
เซี่ยเฟยทำการสังหารชายตัวเขียวที่กล้าจู่โจมเข้าใส่เขาอย่างเลือดเย็น ก่อนที่จะใช้สายตาเย็นชากวาดมองไปยังชายตัวเขียวที่เหลืออีกหลายร้อยคนอย่างไม่เกรงกลัว
“นายฆ่าเขาทำไม? หัวหน้าของพวกเขาก็ตัดหูออกมาแทนคำขอโทษแล้วนี่” อันธถามอย่างสงสัย
“ดูแววตาพวกเขาสิ”
“แววตาของพวกเขามันทำไม? มันก็เป็นแววตาปกตินี่” อันธถามอย่างสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
“แววตาแบบนี้มันแสดงออกถึงความเจ้าเล่ห์และมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธการยอมจำนน ฉันเชื่อว่าเผ่าพันธุ์นี้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ยอมก้มหัวให้ใครง่าย ๆ ถ้าฉันปล่อยเขาไปเขาจะต้องหาทางลอบกัดฉันทีเผลอแน่ ๆ นายเคยได้ยินประโยคนี้ไหมที่มีคนเคยพูดว่าเอ็นดูเขาเอ็นเราขาด” เซี่ยเฟยกล่าว
อันธทำได้เพียงแต่ถอนหายใจและยอมรับว่าสิ่งที่เซี่ยเฟยพูดคือความจริง ท้ายที่สุดมันก็เห็นได้ชัดว่าเผ่าพันธุ์คนแคระตัวเขียวนี้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีนิสัยรักสงบ
หากพวกเขาบังเอิญได้ไปพบกับเผ่าพันธุ์รักสงบพวกเขาก็อาจจะใช้คำพูดและการกระทำโน้มน้าวเผ่าพันธ์ุเหล่านั้นได้ แต่เมื่อพวกเขาได้มาพบกับเผ่าพันธ์ุที่ก้าวร้าว พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องใช้ความก้าวร้าวมากยิ่งกว่าเพื่อทำให้เผ่าพันธุ์พวกนี้ยอมสยบแทบเท้าของพวกเขา
“ในเมื่อพวกแกกล้าโจมตีฉัน 1 ครั้ง ฉันก็จะฆ่าพวกแก 100 คนเป็นการตอบแทน” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
พริบตาต่อมาใบมีดของเซเลสเชียลมูนก็เต้นระบำไปทั่วทั้งท้องฟ้า ก่อนที่ใบมีดเหล่านี้จะพุ่งจู่โจมออกไปอย่างสุดแรง
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! …
ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีมนุษย์ตัวเขียวก็ถูกคมมีดสังหารลงไปถึง 100 คน โดยชายหนุ่มได้ใช้การตัดศีรษะของพวกเขาทั้งหมดและมันก็ไม่มีใครที่สามารถหลบรอดการจู่โจมของเขาไปได้
เซเลสเชียลมูนบินกลับมาที่ฝักบนแขนขวาของเซี่ยเฟยทีละเล่ม ซึ่งในขณะที่เสียงโลหะเก็บเข้ามากระทบกันซากศพที่ไร้ศีรษะก็ค่อย ๆ ล้มลงไปบนพื้นทีละคน
จงอย่าแสดงความเมตตาเมื่อได้ยืนอยู่ต่อหน้าผู้ที่คิดว่าเป็นศัตรู!!
คนที่เซี่ยเฟยเลือกสังหารต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดภายในกลุ่ม และเมื่อสมาชิกมากกว่าครึ่งทีมได้สูญเสียชีวิต คนแคระตัวเขียวที่เหลือทั้งหมดก็รู้สึกตื่นตระหนกและหลงเหลือเพียงแค่แววตาแห่งความหวาดกลัว
“การโจมตีครั้งแรกฉันจะฆ่าพวกแกแค่ 100 คน แต่ถ้าหากว่ามันมีครั้งที่ 2 ฉันจะฆ่าพวกแก 1,000 คน และถ้าหากว่าพวกแกกล้าโจมตีฉันเป็นครั้งที่ 3 ฉันจะฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุของพวกแกให้หมด” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเย็นชา
คนแคระตัวเขียวชราสะดุ้งขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนที่มันจะพยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
ขณะเดียวกันคนแคระตัวเขียวชราก็ยังคงเหลือบสายตามองไปยังเด็กชายตัวเขียวที่ถูกหนีบไว้ในแขนของเซี่ยเฟยอย่างกังวล ราวกับว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีความสำคัญมากกว่าคนแคระตัวเขียวทั้ง 100 คนที่ถูกสังหารลงไปซะอีก
“พาฉันไปพบหัวหน้าพวกแกเดี๋ยวนี้”
—
ขณะเดินทางลงไปทางใต้จำนวนของหมาป่าก็ลดลงไปเรื่อย ๆ คล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับที่พักของคนแคระตัวเขียว มันจึงทำให้สัตว์ป่าไม่กล้าเข้าใกล้พื้นที่บริเวณนี้
ในบางครั้งสมาชิกภายในทีมจะขี่ม้ากลับไปกลับมาเพื่อรายงานสถานการณ์ แต่เซี่ยเฟยก็ไม่ได้สนใจพวกเขาและปล่อยให้พวกเขาทำการเคลื่อนไหวไปมาอย่างอิสระ
ภายในทีมพอจะมีผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยอยู่บ้าง แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจผู้หญิงจากเผ่าพันธุ์อื่น ดังนั้นอย่างมากที่สุดเขาก็เพียงเหลือบสายตามองดูโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์อย่างสนใจ ก่อนที่จะละความสนใจหลังจากได้มองเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง
พวกผู้หญิงภายในทีมพยายามขุดหาวัชพืชสีแดงและสีขาวบนพื้นหญ้า ซึ่งชายหนุ่มได้สังเกตว่าพวกผู้หญิงทำการขุดวัชพืชอย่างระมัดระวัง โดยขุดออกมาเพียงแต่ลำต้นและจงใจที่จะให้มันเหลือรอดชีวิตกลับไปเพื่อเติบโตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เมื่อได้เห็นคนนอกอย่างเซี่ยเฟยพวกผู้หญิงก็จ้องมองมาอย่างประหลาดใจ แต่พวกผู้ชายที่ขี่ม้าก็ส่งเสียงตะโกนเสียงดังให้ทุกคนรีบเดินทางกลับไปโดยเร็ว
ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาจนถึงทุ่งหญ้าบริเวณเชิงเขาที่ถูกประดับเอาไว้ด้วยกระโจมเป็นจำนวนมากในระยะไกล โดยกระโจมพวกนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากหนังสัตว์และผ้าเนื้อหยาบ เพียงพอที่จะสามารถกันลมกันฝนได้เล็กน้อย
สิ่งที่น่าสนใจคือภูเขาที่อยู่ด้านหลังไม่มีพืชพรรณขึ้นบนภูเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นพื้นภูเขายังถูกปกคลุมไปด้วยทรายสีเหลืองและเต็นท์ของพวกคนแคระก็ตั้งอยู่บนพื้นทราย
คนแคระทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่เซี่ยเฟยราวกับว่าพวกเขาได้เห็นสัตว์ประหลาด และทหารบางคนก็ถึงกับจ้องมองไปยังชายหนุ่มพร้อมกับถืออาวุธภายในมือเอาไว้แน่น
เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้เห็นแววตาแห่งความโกรธและความหวาดกลัวของพวกคนแคระ เพราะท้ายที่สุดแววตาแบบนี้มันก็แสดงให้เห็นว่าพวกคนแคระรู้แล้วว่าเขาคือคนที่ไม่สมควรจะถูกยั่วยุ
ขณะเดียวกันผู้หญิงหลาย ๆ คนก็กำลังร้องไห้และจ้องมองมาทางเซี่ยเฟยด้วยแววตาอันเคียดแค้น เพราะท้ายที่สุดชายหนุ่มก็เพิ่งทำการสังหารสามีของพวกเธอ และในเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาเพียงแค่นี้ครอบครัวที่ไร้สามีก็มักจะประสบกับชะตากรรมที่เลวร้าย
ปัก!
เด็กชายตัวเขียวในมือของเซี่ยเฟยถูกโยนลงไปกระแทกกับพื้น จนทำให้ใบหน้าของเด็กชายบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ยังพยายามที่จะไม่ส่งเสียงร้องออกมา ขณะที่ทหารที่อยู่รอบ ๆ บางคนไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป
น่าเสียดายที่ก่อนทหารพวกนั้นจะเริ่มจู่โจม สหายด้านข้างของพวกเขาก็รีบเข้ามาหยุดพวกเขาเอาไว้อย่างกะทันหัน ไม่อย่างนั้นเผ่าพันธุ์ของพวกเขาก็อาจจะต้องสิ้นสุดลงในวันนี้
“เรียกผู้นำของพวกแกออกมาหาฉันเดี๋ยวนี้” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเย็นชาอีกครั้ง
เหล่าบรรดาคนแคระต่างก็เปิดเส้นทางให้กระโจมขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ซึ่งบนกระโจมมีธงรูปสามเหลี่ยมกำลังโบกสะบัดไปตามแรงลม
ในเวลาเพียงแค่ไม่นานชายชราคนแคระผมสีเงินก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากกระโจมหลังใหญ่อย่างช้า ๆ
หูของชายชราคนนี้ยาวกว่าคนแคระคนอื่น ๆ และเขาก็สวมตุ้มหูสีทองเอาไว้ที่หูด้านซ้าย ซึ่งหลังจากที่เซี่ยเฟยก้มศีรษะมองลงไปยังเด็กชายที่อยู่แทบเท้า เขาก็สังเกตเห็นตุ้มหูที่ดูคล้าย ๆ กันที่ชนเผ่าคนอื่นไม่มีโอกาสได้สวมใส่
‘ที่แท้เขาก็เป็นลูกชายของหัวหน้าเผ่านี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงมีค่ามากขนาดนั้น’ เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองภายในใจ
ดวงตาของชายชราเป็นสีขาวแล้วหมองคล้ำซึ่งเขาน่าจะมีความพิการทางด้านสายตา ขณะเดียวกันลูกชายของเขาก็เกิดมาเป็นเด็กหูหนวก คล้ายกับว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวถูกสาปให้สมาชิกในครอบครัวต้องมีแต่คนพิการ
“นายท่าน ข้า ‘ดาอิม’ หัวหน้าเผ่าทูรอน ขอแสดงความเคารพต่อท่าน” ชายชรากล่าวพร้อมกับคุกเข่าคำนับเซี่ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งหลังจากที่ได้เห็นหัวหน้าเผ่าเริ่มแสดงความเคารพ สมาชิกคนอื่น ๆ ภายในเผ่าก็เริ่มแสดงความเคารพด้วยเช่นกัน
“ฉันชื่อเซี่ยเฟยและพวกแกก็ไม่จำเป็นต้องมาแสดงความเคารพต่อฉันหรอก” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดด้วยท่าทางสบาย ๆ
ทันใดนั้นอันธก็กำลังคิดว่าวันนี้เซี่ยเฟยกำลังให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเทพเจ้าก็ไม่ปาน
—
ชาวทูรอนนำสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายกับแกะขึ้นไปย่างบนกองไฟ พร้อมกับนำพืชสีแดงและสีขาวโยนลงไปในหม้อเพื่อต้มน้ำชาที่มีสีแดงหม่นออกมา เพื่อจัดการเลี้ยงต้อนรับการมาถึงของเซี่ยเฟย
หญิงสาวภายในเผ่านำอาหารมาเสิร์ฟให้ชายหนุ่มด้วยความหวาดกลัว ซึ่งทันทีที่พวกเธอนำอาหารมาวางให้กับเขาพวกเธอก็รีบวิ่งหนีไปด้วยความรวดเร็ว
ปัจจุบันภายในกระโจมของหัวหน้าเผ่ามีเพียงเซี่ยเฟย, ชายชราตาบอด และชายชราที่นำทางชายหนุ่มมายังหมู่บ้านกำลังนั่งสนทนากันอยู่เพียงแค่ 3 คน
“ฉันรู้ว่าพวกแกมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าเซิร์ก ฉันไม่ชอบถามคำถามเดิม ๆ ซ้ำหลายครั้ง ดังนั้นถ้าแกไม่ตอบคำถามของฉัน ฉันจะเริ่มสังหารคนในเผ่าของพวกแกจนกว่าจะได้คำตอบ” เซี่ยเฟยยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดมแต่ไม่เลือกที่จะดื่มมันลงไป
ดาอิมโบกมือให้ชายชราอีกคนออกจากกระโจมไป ก่อนที่เขาจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม
“ในทุกฤดูหนาวมันจะมีหิมะสีแดงโปรยปรายลงมา ซึ่งในหิมะนั้นมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของพวกเรา ทุกคนจึงจำเป็นจะต้องดื่มชาชนิดนี้ตั้งแต่เกิด ไม่อย่างนั้นพวกเราก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตผ่านฤดูหนาวอันโหดร้ายได้”
เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าน้ำชาไม่มีอันตรายเขาจึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มเบา ๆ และได้พบว่ามันเป็นชาที่มีรสชาติหวานเหมือนกับน้ำผึ้งและให้กลิ่นหอมที่ตลบอบอวลชวนให้ลุ่มหลง
“นายท่านอย่าวิตกกังวลไปเลยเผ่าพันธุ์ของข้ายอมสยบให้แก่ท่านแล้ว ดังนั้นข้าย่อมยอมตอบคำถามของท่านทั้งหมดอย่างแน่นอน” ดาอิมกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
“นายท่านเข้าใจถูกแล้วว่าเผ่าพันธุ์ของเรารู้จักเรื่องราวของเผ่าเซิร์กจริง ๆ แต่สาเหตุที่เรารู้เรื่องนี้นั่นก็เพราะว่ามันเป็นตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา”
“ตำนานเคยกล่าวเอาไว้ว่าในอดีตเผ่าทูรอนอาศัยอยู่ร่วมกับเผ่าเซิร์กอย่างสงบ แต่แล้ววันหนึ่งพวกเซิร์กก็เริ่มหักหลังพวกเราและกินพวกเราเข้าไปเป็นอาหาร”
“ในที่สุดท่านอาลิมผู้ซึ่งเป็นวีรบุรุษของเผ่าพันธุ์ก็นำเผ่าพันธุ์ทูรอนหนีออกจากบ้านเกิด และเริ่มออกพเนจรไปทั่วทั้งจักรวาลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
เรื่องเล่าของชายชราเริ่มทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่าพวกทูรอนจะเคยอยู่ร่วมกับพวกเซิร์กในอดีตจริง ๆ
เรื่องนี้มันคือเรื่องจริงเหรอ?
พวกเซิร์กเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความโหดร้ายตั้งแต่กำเนิด มันจึงมีแนวโน้มสูงมากที่เผ่าพันธุ์นี้จะไม่สามารถอยู่อย่างสงบร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ได้
อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เพียงแต่เผ่าพันธุ์เซิร์กเท่านั้น เพราะเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาต่าง ๆ ต่างก็ล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับเผ่าพันธุ์ของตัวเอง มันจึงทำให้แม้แต่มนุษย์ก็ไม่อยากจะอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่น ดังนั้นเซี่ยเฟยจึงไม่สามารถยืนยันได้จริง ๆ ว่าชายชราคนนี้กำลังเล่าเรื่องจริงอยู่หรือเปล่า
“ฉันไม่ได้สนใจประวัติเผ่าพันธุ์ของพวกแก สิ่งที่ฉันอยากรู้คือดินแดนของเซิร์กอยู่ที่ไหน? แล้วฉันจะไปที่นั่นได้ยังไง?” เซี่ยเฟยถาม
“นายท่านโปรดยกโทษให้ข้าด้วย นี่คือตำนานที่เล่าขานกันมาในเผ่าของเราเท่านั้น ข้าไม่รู้วิธีเดินทางไปยังดินแดนของเซิร์กจริง ๆ” ดาอิมกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“แล้วมนุษย์ล่ะ?”
“มนุษย์คืออะไร? มันกินได้ไหม?”
เซี่ยเฟยทำได้แต่จ้องมองไปยังชายชราด้านหน้าด้วยแววตาที่โกรธเคือง และเมื่อพิจารณาจากท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมาแล้วมันก็หมายความว่าเขาไม่รู้คำตอบของคำถามพวกนี้จริง ๆ
“ถ้าแกอยากกินก็กินไปเลย ฉันให้โอกาสแกอธิบายทุกอย่างที่แกรู้ออกมาใน 3 นาที ไม่อย่างนั้นฉันจะโยนคนในเผ่าของแกลงไปในหม้อทีละคน”
ดาอิมรีบยื่นมือออกมาควานหาเซี่ยเฟยเพื่อที่จะหยุดชายหนุ่มคนนี้เอาไว้ แต่โชคไม่ดีที่เขาเป็นคนตาบอด ดังนั้นหลังจากที่เขาคลำไปคลำมาอยู่สักพักนิ้วเขาก็พลาดเข้าไปถูกกองไฟเผาไหม้
“นายท่านอย่าทำแบบนี้ ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้!”
“ในทุ่งหญ้าทางทิศตะวันตกมีวิหารที่ถูกสร้างขึ้นโดยท่านบรรพบุรุษ ซึ่งด้านในบันทึกการย้ายถิ่นฐานเผ่าพันธุ์ของพวกเราเอาไว้ นายท่านสามารถเข้าไปหาข้อมูลที่ท่านต้องการได้ภายในวิหาร”
ดาอิมสารภาพทุกอย่างออกมาภายใต้ลมหายใจเดียว เพราะว่าเขากลัวเซี่ยเฟยจะสังหารทุกคนในหมู่บ้าน แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเปิดเผยความลับทั้งหมดออกไปแล้วชายหนุ่มก็ยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“นายท่านได้โปรดตามข้ามา ข้าจะแสดงอะไรบางอย่างให้ท่านดู แล้วท่านจะเข้าใจสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดออกไปเอง” ดาอิมพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
***************
พี่เฟยสายโหด!!