ตอนที่ 67 กระบี่ฟ้าคำราม
เฉินเฟยสงบใจฟังการสนทนารอบตัว ไม่แปลกใจเลยที่คนมากกว่าครึ่งมาจากเมืองอื่น นอกจากผู้ต้องการเข้าร่วมเป็นศิษย์สำนักกระบี่เซียนเมฆา คนส่วนใหญ่เป็นผู้หลบหนีเช่นเดียวกับเฉินเฟย
“มาแล้วมาแล้ว!”
ในที่สุดได้ถึงเวลาที่กำหนด หลายร่างพุ่งลงมาจากภูเขา เพียงครู่เดียวก็มายืนต่อหน้าทุกคน
ดวงตาเฉินเฟยหรี่ลงโดยไม่รู้ตัว เร็วมาก ท่าร่างที่เฉินเฟยภูมิใจหนักหนาไม่ต้องพูดว่าอ่อนด้อยเหมือนขยะเลย เพราะมันเทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายเหมือนเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน นั่นจึงบ่งบอกได้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่ได้ออกแรงเต็มที่
“เงียบ หากต้องการเข้าร่วมสำนักกระบี่เซียนเมฆา ฐานกระดูกและความเข้าใจเป็นสิ่งขาดไม่ได้ ผู้ที่อายุต่ำกว่าสิบสามปีให้ตามศิษย์น้องข้าไปรับการทดสอบ ผู้ที่อายุต่ำกว่าสิบห้าปีและอยู่ในระดับหลอมกระดูกให้ตามศิษย์น้องข้าไปบนภูเขา ผู้ที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีและอยู่ในระดับขัดเกลาไขกระดูกให้มารับการทดสอบกับข้า”
ฟ่านซื่ออวี้มองผู้คนด้านล่างและชี้ศิษย์น้องสองคนด้านข้าง “นั่นคือข้อกำหนด เริ่มตั้งแต่บัดนี้”
“เฮ้ เดี๋ยวก่อน แล้วคนที่อายุสิบแปดล่ะ?”
เมื่อเห็นมีข้อกำหนดเพียงสามข้อและฟ่านซื่ออวี้กำลังจะกลับขึ้นเขา ใครบางคนจึงตะโกนด้วยความประหลาดใจ
“คนที่มีอายุมากกว่าสิบแปดปีจะไม่ได้รับการยอมรับจากสำนัก” ฟ่านซื่ออวี้ส่ายหัว
“ไม่ได้รับการทดสอบ? ไม่ใช่ว่าต้องทดสอบฐานกระดูกความเข้าใจก่อนหรือ?” หลายคนกังวล เฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะมองไปฟ่านซื่ออวี้
“มันเปลี่ยนไปแล้ว ในเวลานี้ให้เป็นไปตามนั้น” ฟ่านซื่ออวี้พูดเสียงทุ้ม
“ทำไมกัน ข้ามาถึงที่นี่ทั้งทีกลับไม่ได้รับแม้แต่โอกาสด้วยซ้ำ!
“ข้าเริ่มฝึกยุทธ์ช้า แต่ข้าถึงระดับขัดเกลากล้ามเนื้อภายในหนึ่งปี และอีกไม่กี่เดือนจะเข้าระดับหลอมกระดูก แบบนี้ผ่อนผันได้หรือไม่?”
“ใช่แล้ว พวกเราเริ่มฝึกยุทธ์กันช้าเกินไป แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเราไม่มีความสามารถ!”
ผู้คนเกือบครึ่งระเบิดความโกลาหลและเกิดเสียงดังของผู้คนที่ไม่พอใจ
“เงียบ!”
ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนดังขึ้น หูทุกคนอื้ออึงไปชั่วขณะ ผู้ที่มีระดับอ่อนแอล้มลงพื้นโดยตรง เสียงทั้งหมดเงียบหายไปทันที
“โชคเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางยุทธ์ หากเจ้าเริ่มฝึกยุทธ์ช้านั่นหมายความว่าเจ้าโชคไม่ดี! ตอนนี้ให้ผู้ที่ผ่านข้อกำหนดขึ้นเขา ส่วนที่เหลือออกไปให้หมด!”
ดวงตาฟ่านซื่ออวี้กวาดมองทุกคน หลายคนไม่อาจหายใจได้เนื่องจากแรงกดดันมหาศาลและได้แต่ก้มหน้าลง
เฉินเฟยกับฟ่านซื่ออวี้มองหน้ากันชั่วขณะ แต่พวกเขาไม่ได้ดึงดูดสนใจกันแม้แต่น้อย เฉินเฟยหายใจเข้าลึกแล้วหายใจออกยาว
ชีวิตคนเรามีเรื่องที่ไม่สมปรารถนาแปดเก้าเรื่อง
เฉินเฟยคิดสถานการณ์ต่างๆไว้มากมายสำหรับการเป็นศิษย์ แต่คาดไม่ถึงว่าสำนักกระบี่เซียนเมฆาจะไม่ให้โอกาสได้ทดสอบ เป็นเช่นเดียวกับที่ฟ่านซื่ออวี้พูด โชคเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางยุทธ์เช่นกัน
กล่าวคือโชคเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต บางครั้งเมื่อไม่มีโอกาสคือไม่มีโอกาส!
ผู้ผ่านข้อกำหนดเริ่มเข้าคิวแถวรอขึ้นเขาเพื่อเตรียมรับการทดสอบ ในขณะที่คนไม่ผ่านข้อกำหนดได้ปฏิเสธที่จะออกไปและคอยจ้องมองโดยหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
เฉินเฟยมีความคิดมากมายอยู่ในใจแต่สุดท้ายก็ส่ายหัว ทัศนคติของสำนักกระบี่เซียนเมฆานั้นชัดเจน นักยุทธ์อายุมากแบบเขาไม่มีโอกาส
โรงเตี๊ยมสุราเซียน
“นี่เป็นสำนักนิกายใกล้เคียงที่สามารถเข้าร่วมเป็นศิษย์ได้ แม้จะเทียบกับสำนักกระบี่เซียนเมฆาไม่ได้ แต่มรดกสืบทอดนั้นไม่ได้อ่อนแอและหลายคนมีความสัมพันธ์กับสำนักกระบี่เซียนเมฆา”
คนกลางยื่นกระดาษในมือให้เฉินเฟย เฉินเฟยมองกระดาษซึ่งได้ระบุไว้ทั้งหมดสามสำนักนิกาย มีที่ตั้งของแต่ละสำนักนิกายและคำแนะนำคร่าวๆของคุณลักษณะวิชาสืบทอด
“เจ้าเตรียมตัวได้ดีจริงๆ”
เฉินเฟยมองคนกลางอย่างตกตะลึง เฉินเฟยเพิ่งมาถึงโรงเตี๊ยมเพียงครู่เดียว คนกลางคนนี้ก็เห็นจุดประสงค์ของเฉินเฟยได้อย่างรวดเร็วและเริ่มทำการค้าทันที
“หาเงินเล็กน้อย” คนกลางหัวเราะ
“เท่าไหร่?”
“สิบตำลึง ตราบใดที่ข้ารู้ข้าจะพูดทุกอย่าง!” สีหน้าคนกลางเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
“นั่งลง!”
เฉินเฟยเรียกให้เสี่ยวเอ้อเสิร์ฟชาคนกลางหนึ่งถ้วย คนกลางยิ้มอย่างมีความสุข ข้อตกลงถือว่าประสบความสำเร็จ
ครึ่งชั่วยามต่อมา คนกลางจากไป เฉินเฟยขมวดคิ้วขณะมองผู้คนเดินไปมาตามท้องถนน
คนกลางรู้ข้อมูลมากมาย แน่นอนว่าเป็นข่าวทั่วไปทั้งหมด แต่มันมากพอแล้วที่จะช่วยเฉินเฟยประหยัดเวลา
หอเป๋ย์โต่ว, สำนักฉางหง, ศาลาเฉินสุ่ย นี่เป็นชื่อของสำนักนิกายทั้งสาม ตามที่คนกลางบอก ความแข็งแกร่งของสามสำนักนิกายนี้เท่ากันและวิชาสืบทอดมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง
นอกจากสามสำนักนิกายนี้แล้วยังมีสำนักนิกายเล็กที่อยู่ใกล้เคียงเมืองเซียนเมฆา
เพียงแต่ความแข็งแกร่งของสำนักนิกายเหล่านั้นอ่อนแอกว่ามาก ตามจริงแล้วแล้วบางสำนักนิกายเคยแข็งแกร่งมาก่อน แต่ต่อมาวิชาสืบทอดได้หายไปหรือมีบางอย่างเกิดขึ้น
ศาลาเฉินสุ่ยรับเฉพาะศิษย์หญิง เฉินเฟยสามารถมองข้ามได้เลย
สำนำฉางหงใช้วิชาหอกเป็นหลัก ในจุดนี้ยังไม่เป็นไร แต่พวกเขารับเฉพาะคนที่มีอายุต่ำกว่าสิบสามปีเท่านั้น
หอเป๋ย์โต่ว ต้องกลายเป็นนักพรตที่ไม่อาจแต่งงานได้ตลอดชีวิตเพราะวิชาของพวกเขาเป็นวิชาสำหรับผู้ชาย หากแต่งงานจะต้องสูญเสียวิชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเบาไม่มีวันก้าวหน้า อย่างหนักระดับถดถอย
หลังได้ฟังการแนะนำของทั้งสามสำนักนิกาย เฉินเฟยถึงกับอารมณ์เสีย
ทั้งสามสำนักนิกายนี้เทียบสำนักกระบี่เซียนเมฆาไม่ได้ ซึ่งมันสมเหตุสมผลแล้ว มีข้อจำกัดมากมายและวิชาไม่ดีเท่าสำนักกระบี่เซียนเมฆา แล้วแบบนี้พวกเขาจะเหนือกว่าได้อย่างไร!
“คิดว่าเลือกอันแรกไม่ได้ก็ยังเลือกอันที่สองได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้แต่เลือกอันที่สาม!”
เฉินเฟยพูดกับตัวเอง ก่อนมาเมืองเซียนเมฆาเขาไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์เช่นนี้
“สำนักกระบี่เริ่มดวงดาว คงต้องลองสำนักนี้ดู!”
ข้อมูลสำนักกระบี่เริ่มดวงดาวอยู่ในใจเฉินเฟย มรดกสืบทอดไม่อ่อนด้อยและเทียบกับศาลาเฉินสุ่ยทั้งสามสำนักนิกายได้
วิชาหนึ่งเดียวที่มีชื่อเสียงที่สุดของสำนักนี้คือกระบี่ฟ้าคำราม เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีใครฝึกฝนได้ถึงระดับสูงสุดจึงป็นผลให้ความแข็งแกร่งและพลังโดยรวมอ่อนแอนกว่าทั้งสามสำนักนิกายเล็กน้อย
และเจ้าสำนักในยุคนี้ดูเหมือนจะไม่เก่งเรื่องการจัดการ
“พลังกระบี่ฟ้าคำรามกับกระบี่ฟ้าคำรามมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่?” นี่คือสิ่งที่เฉินเฟยถามคนกลางในตอนนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะชื่อของวิชาคล้ายกันเกินไป และพลังกระบี่ฟ้าคำรามของสำนักกระบี่เซียนเมฆามีชื่อเสียงมากเกินไป
“ไม่มี”
คนกลางกำลังจะส่ายหัว แต่เมื่อเห็นเฉินเฟยหยิบเงินอีกห้าตำลึงออกมาเขาจึงเปลี่ยนคำพูดทันทีและพูดด้วยเสียงต่ำ “ว่ากันว่าหลังจากปฐมาจารย์สำนักกระบี่เริ่มดวงดาวได้เห็นพลังของกระบี่ฟ้าคำรามเขาได้คิดว่ามันก็เท่านั้น เขาได้สร้างกระบี่ฟ้าคำรามด้วยตัวเองเพื่อสยบพลังกระบี่ฟ้าคำราม”
“ดังนั้นมันจึงไม่สมบูรณ์และยากต่อการฝึกฝน?”
“เรื่องนี้ข้าไม่ทราบจริงๆ!” คนกลางหัวเราะและปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น
เฉินเฟยดื่มสุราในจอกและออกจากโรงเตี๊ยม
หนึ่งชั่วยามต่อมา เฉินเฟยปรากฏตัวที่ประตู
วันนี้เป็นช่วงที่สำนักกระบี่เริ่มดวงดาวรับสมัครศิษย์ แต่เมื่อเทียบกับความแออัดของสำนักกระบี่เซียนเมฆา ที่นี่มีคนน้อยกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่โชคดีที่ใช่ว่าไม่มีคนเลย
หนึ่งเค่อต่อมา เฉินเฟยมีป้ายคาดเอวและตำราวิชายุทธ์หนึ่งเล่มเพิ่มขึ้น ราคาของพวกมันคือหนึ่งร้อยตำลึงเงิน
ในเวลานี้ตัวตนของเฉินเฟยคือศิษย์ภายนอกของสำนักกระบี่เริ่มดวงดาว หากสามารถฝึกวิชากระบี่ถึงระดับสูงสุดภายในครึ่งปีและผ่านการทดสอบ ตอนนั้นจึงจะได้เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่เริ่มดวงดาวอย่างแท้จริง
เฉินเฟยมองตำราวิชาด้วยใบหน้าซับซ้อนราวกับเขาเพิ่งได้เข้าค่ายยุทธ์ขนาดใหญ่