ตอนที่ 65 ลั่วหยางกระดาษแพง
“ติ๊ง!”
เสียงคล้ายระฆังทองสัมฤทธิ์ดังขึ้นกลางกองคาราวานและกระจายไปทั่ว ความคิดของทุกปรอดโปร่งทันใด ความสับสนหายไปทันที
“อ๊าก ตาข้า ตาข้า!”
เสียงร้องเจ็บปวดดังลั่นกลางกองคาราวาน ในรถม้าที่เฉินเฟยอยู่มีหลายคนเอามือปิดดวงตาและเกือบจะเสียดวงตาไป
ต้องขอบคุณการเตือนของชายชราเมื่อครู่ทุกคนจึงสงบลงเล็กน้อย แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“นี่... เกิดอะไรขึ้น!”
ภายในรถม้า มีคนตัวสั่นงก ความรู้สึกที่ถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว สิ่งสำคัญคือพวกเขาลืมเลือนเรื่องเมื่อครู่จนหมด เมื่อครู่พวกเขาเห็นอะไรกันแน่ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้
เหมือนจะมีกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง แต่ต่อจากนั้นกลับจำไม่ได้
เสียงร้องเจ็บปวดยังคงได้ยินจากรถม้าคันอื่น ผู้คุ้มกันกองคาราวานเซียนเมฆาเริ่มตรวจสอบรถม้าแต่ละคันเพื่อดูว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่
“แปลก จู่ๆมีกระท่อมโผล่ขึ้นมากลางภูเขา ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่”
ชายชราถอนหายใจ “เมื่อพบปัญหาเช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือไม่ฟังหรือดู ด้วยการคุ้มครองของกองคาราวานเซียนเมฆาโดยทั่วไปแล้วสามารถรับประกันความปลอดภัยได้”
“ขอบคุณท่านลุงที่เตือนเมื่อครู่”
ทุกคนขอบคุณชายชรา ชายชราโบกมือ
เขาพยายามช่วยตัวเองเช่นกัน หากเขาหลงเสน่ห์สิ่งแปลกประหลาด การมองเป็นเพียงก้าวแรก ต่อจากนั้นสิ่งน่ากลัวต่างๆอาจเกิดขึ้นในรถม้าและนั่นจะเป็นหายนะแท้จริง
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องมาจากข้างนอกทุกคนจึงตกใจกลัว
เฉินเฟยตรงมุมรถม้าขมวดคิ้ว เมื่อคนอื่นมองกระท่อมเมื่อครู่เฉินเฟยไม่ได้มองมัน การพบสิ่งแปลกประหลาดหลายครั้งจึงทำให้เฉินเฟยสรุปสถานการณ์นี้ได้ทันที
แต่เมื่อมีคนหันมามองดวงตาเขา สติเฉินเฟยยังคงตกสู่ภวังค์แม้เคล็ดชำระใจจะหมุนเวียนเองทันทีแล้วก็ตาม
กล่าวคือไม่ว่าจะมองหรือไม่มองก็โดนหลอกอยู่ดี แต่ความรุนแรงของการหลอกนั้นแตกต่างกัน ส่วนเนื้อเน่าติดกระดูกอันเล็กที่จงใจทิ้งไว้บนข้อมือ ในเวลานี้รู้สึกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ตราประทับนี้ชักช้าเสียจริง!
เฉินเฟยชำเลืองมองชายชรา ชายชราคนนี้ควรมีบางอย่างที่ยับยั้งสิ่งแปลกประหลาดจึงทำให้ป้องกันมันได้
ในทางกลับกัน แม้เคล็ดชำระใจจะมีผลอยู่บ้างแต่ดูเหมือนว่ามันจะทนไม่ได้เมื่อเผชิญกับสิ่งแปลกประหลาดที่ทรงพลัง แต่สิ่งนี้เข้าใจได้เช่นกันเพราะวิชานี้เป็นเพียงของพื้นฐาน
“ดีที่ติดตามกองคาราวานเซียนเมฆา ไม่เช่นนั้นคงได้นอนตัวตรง!”
ฉือเต๋อเฟิงยังหวาดกลัวอยู่ สิ่งแปลกประหลาดนี้อาจเพิ่งปรากฏเมื่อไม่นาน ไม่เช่นนั้นกองคาวานเซียนเมฆาที่ไม่ได้เตรียมตัวคงได้พลิกคว่ำ
หากติดตามกองคาราวานกลุ่มเล็กคงยากจะบอกได้ว่าจะหลีกเลี่ยงภัยพิบัตินี้ได้หรือไม่ เรื่องนี้อาจขึ้นอยู่กับโชค
กองคาราวานเซียนเมฆาอ้อมไปไกลและใช้ทางอ้อมสั้นกลับสู่เส้นทางเดิม เมื่อตกใจกับสิ่งแปลกประหลาดนี้ ความเร็วของกองคาราวานเซียนเมฆาเหมือนจะเร็วขึ้นเล็กน้อย
ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนกว่าคือปกติจะลงรถม้าพักผ่อนวันละสามสี่ครั้ง แต่ตอนนี้กลับถูกบีบให้เหลือสองครั้งและแต่ละครั้งยังสั้นมาก กล่าวคือต้องเดินทางต่อไปตลอด
วันที่แปดและวันที่เก้าผ่านไปในพริบตา ในตอนเย็น ทั้งกองคาราวานส่งเสียงโห่ร้อง พวกเขาเห็นเมืองเซียนเมฆาแล้ว
“นี่ยังไม่ถือว่าเป็นเมืองเซียนเมฆา เป็นเพียงเมืองเล็กถัดจากเมืองเซียนเมฆา ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวันในการเข้าเมืองเซียนเมฆา”
ชายชรามองโครงสร้างเมืองที่อยู่ห่างไกลและอธิบาย อย่างไรก็ตามชายชรายังมีรอยยิ้มบนใบหน้า ท้ายที่สุดแล้วการมาอยู่ที่นี่เกือบหมายถึงปลอดภัยแล้ว
ประสบการณ์เมื่อสองวันก่อนคงยังคงติดตา มีเพียงอยู่ในเมืองเท่านั้นจึงรู้สึกปลอดภัย
หลังเดินทางต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดกองคาราวานได้เข้ามาในเมือง บางคนเริ่มออกจากกองคาราวานเซียนเมฆา ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการไปเมืองหลัก
จุดหมายปลายทางของเฉินเฟยคือเมืองหลัก จุดหมายปลายทางของคนส่วนใหญ่อยู่ที่นี่เช่นกันเนื่องจากสำนักกระบี่เซียนเมฆาอยู่ใกล้เมืองหลัก
กองคาราวานเซียนเมฆาพักผ่อนอยู่ในเมืองหนึ่งวัน เฉินเฟยใช้โอกาสนี้เดินชมรอบเมือง
เฉินเฟยรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความมีชีวิตชีวาของเมืองนี้ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น เพียงสถานเริงรมย์ภายในเมืองอย่างเดียวยังมีมากกว่าเมืองซิ่งเฝิน
ในขณะเดียวกันราคาของโอสถและอาวุธยังลดลงมากเมื่อเทียบกับเมืองซิ่งเฝิน
ตราบใดที่มีคนมากพอราคาของวัสดุย่อมลดลง ในขณะเดียวกันนักยุทธ์ขัดเกลาไขกระดูกที่พบเห็นได้เป็นครั้งคราวในเมืองซิ่งเฝินยังพบเห็นได้ทุกที่ในเมืองนี้ เฉินเฟยบนถนนสัมผัสได้ถึงคนเหล่านี้มากมายอย่างคลุมเครือ
เฉินเฟยนึกถึงข้อกำหนดของสำนักกระบี่เซียนเมฆาที่ต้องมีระดับขัดเกลาไขกระดูกด้วยอายุต่ำกว่ายี่สิบปีแล้วรู้สึกมืดมน มีเพียงสำนักเซียนเมฆาที่กล้าตั้งข้อกำหนดระดับบ่มเพาะเช่นนี้
เฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอำเภอผิงหยินในเวลานั้น จากนั้นนึกถึงกองทัพกบฏ
กองทัพกบฏเป็นเพียงกลุ่มเล็กของกองทัพกบฏหลัก เป้าหมายการปล้นส่วนใหญ่เป็นอำเภอเล็กเช่นอำเภอผิงหยิน
เฉินเฟยคิดเกี่ยวกับมัน ในเวลานี้ภายในราชวงศ์ต้องเกิดหลายสิ่งอย่างขึ้นแน่นอนถึงได้ปล่อยให้กองทัพกบฏออกอาละวาดเช่นนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น กองคาราวานเซียนเมฆาออกเดินทางอีกครั้ง ชายชราในรถม้าจากไปแล้ว ตามที่เขาพูดไว้ แม้เมืองหลักจะเจริญรุ่งเรืองกว่าแต่มันมีความกดดันมากกว่า
คงดีกว่าถ้าอาศัยอยู่ในเมืองเล็กรอบๆซึ่งสะดวกสบาย อย่างไรแล้วเขาที่มีอายุขนาดนี้ก็ไม่มีแผนจะเข้าสำนักเซียนเมฆา
“พอไปถึงแล้วก็เช่าลานบ้านก่อน แล้วเราจะขายโอสถต่อหรือไม่?”
ในช่วงพัก เฉินเฟยมองฉือเต๋อเฟิง เฉินเฟยจะขายโอสถต่อแน่นอน เพราะมันทำเงินได้เร็วและเฉินเฟยต้องพึ่งพาสิ่งนี้ในการเก็บเงิน
แน่นอนว่าพวกเขาต้องระวังมากขึ้นในการขายโอสถครั้งนี้ จะดีที่สุดถ้าเฉินเฟยสามารถเข้าร่วมสำนักกระบี่เซียนเมฆาแล้วใช้ชื่อเสียงของสำนัก ต่อจากนี้จะได้ไม่มีปัญหา
ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นเพียงโอสถเหนือสามัญ ในสถานที่อื่นมันอาจเป็นของเปรี๊ยว แต่ในเมืองเซียนเมฆามันเป็นได้เท่านั้น
“ขายแน่นอน”
ฉือเต๋อเฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ด้วยอายุของเขาจึงเป็นไปไม่ได้ที่สำนักนิกายไหนจะยอมรับเขา สำหรับการขายโอสถของเฉินเฟย หากทำได้ดีฉือเต๋อเฟิงจะอยู่ได้อย่างสบาย
ในตอนเย็น เฉินเฟยถึงกับตกตะลึงตั้งแต่แรกเห็นเมืองเซียนเมฆา
เฉินเฟยไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นเมืองกว้างใหญ่สูงตระหง่านที่สร้างขึ้นด้วยพลังของมนุษย์ในโลกนี้ มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
ทหารยามที่ประตูเมืองล้วนอยู่ในระดับหลอมกระดูกและหัวหน้ามีระดับสูงกว่าซึ่งเป็นขัดเกลาไขกระดูก แม้เฉินเฟยจะหมุนเวียนเคล็ดชำระอยู่แต่ก็ยังไม่อาจสงบ ลมหายใจเขาเย็นขึ้นและเห็นได้ชัดเลยว่ามือของเขาซีดลงเพราะเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่มาก
บอกลาคนอื่นในรถม้า เฉินเฟยทั้งสองพบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ราคาแพงและอาหารไม่ถูก โชคดีที่สองคนนี้เตรียมใจไว้แล้ว
“สองพันตำลึงต่อปี!”
เช้าวันรุ่งขึ้น คนกลางพาเฉินเฟยทั้งสองไปที่ลานบ้าน พวกเขาพอใจในทุกด้านแต่มันมีราคาน่ากลัวเช่นกัน
เดิมทีเฉินเฟยคิดจะทำเหมือนกระต่ายเล่นห์ต้องมีสามโพรง[1] แต่เมื่อมาถึงกลับพบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างสามโพรง
ลั่วหยางกระดาษแพง[2] และกระดาษนี้แพงเกินไป!
[1] จะทำการอะไรในสถานการณ์เสี่ยงจะต้องเตรียมแผนรับมือเอาไว้หลายชั้น
[2] ของที่เป็นนิยมทั่วไปจะมีราคาและหายาก