ตอนที่ 378 เผ่าตัวเขียว
ตอนที่ 378 เผ่าตัวเขียว
เบโอเนทติดตั้งระบบเรดาร์เอาไว้ 2 ระบบ โดยระบบเรดาร์หนึ่งคือระบบเรดาร์แบล็คแบทที่ชายหนุ่มได้พัฒนาขึ้นมาด้วยตัวเอง ขณะที่ระบบเรดาร์สำรองคือระบบเรดาร์โดยทั่วไปที่ใช้อยู่ทั่วทั้งพันธมิตร มันจึงทำให้เขายังสามารถใช้ระบบเรดาร์สำรองนี้ในระหว่างที่ระบบเรดาร์แบล็คแบทได้รับความเสียหายได้
น่าเสียดายที่ระบบเรดาร์มาตรฐานไม่สามารถส่งสัญญาณในระยะไกลได้ ดังนั้นเมื่อยานรบได้เดินทางออกจากเขตเครือข่ายสตาร์เน็ตเวิร์ก มันก็ทำให้ระบบเรดาร์นี้ไม่สามารถส่งสัญญาณติดต่อกลับไปยังพันธมิตรที่อยู่ห่างไกลได้อีกแล้ว
โดยปกติหากทางกองทัพต้องการจะเดินทางออกจากเขตแดนพันธมิตร พวกเขาก็จะพกเครื่องกำเนิดสัญญาณชั่วคราวและทำการปล่อยเครื่องกำเนิดสัญญาณชั่วคราวออกไปทุกครั้งก่อนที่พวกเขาจะทำการวาร์ป
การทำแบบนี้ทำให้กองทัพสามารถสร้างเครือข่ายสัญญาณขึ้นมาได้เป็นการชั่วคราว แต่การทำแบบนี้มันก็มีข้อบกพร่องอย่างร้ายแรง เพราะถ้าหากเครื่องกำเนิดสัญญาณเครื่องใดเครื่องหนึ่งถูกทำลายลงไป กองยานที่เดินทางออกมาจากพันธมิตรก็จะขาดการติดต่อกับกองบัญชาการในทันที
น่าเสียดายที่เซี่ยเฟยไม่ได้มีเครื่องกำเนิดสัญญาณพวกนั้นเลย ดังนั้นถ้าหากเขาไม่ได้นำเบโอเนทกลับไปยังเขตแดนของพันธมิตร เขาก็จะไม่สามารถติดต่อกับใครในระหว่างที่เขากำลังหลงอยู่ในพื้นที่ปริศนาแห่งนี้ได้
ในความเป็นจริงตราบใดก็ตามที่เขามีแผนที่ดวงดาวบริเวณนี้ เขาย่อมสามารถมองหาเส้นทางกลับไปยังพันธมิตรได้อย่างแน่นอน แต่พื้นที่บริเวณนี้อยู่นอกเหนือข้อมูลของแผนที่ดวงดาวของพันธมิตรโดยสิ้นเชิง มันจึงทำให้เบโอเนทไม่สามารถระบุตำแหน่งของตัวยานในปัจจุบันได้เลย
เบโอเนทได้ทำการวาร์ปติดต่อกันถึง 32 ครั้งโดยไร้จุดหมาย แต่เซี่ยเฟยก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะเขาไม่รู้จะหาวิธีไหนในการค้นหาเส้นทางเพื่อเดินทางกลับไปยังดินแดนของพันธมิตร
“เริ่มสแกนดาวเคราะห์รอบ ๆ ทั้งหมด” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เขาได้ออกคำสั่งเดิม ๆ นี้ซ้ำ ๆ กันมาถึง 32 ครั้งแล้ว และผลลัพธ์ 31 ครั้งที่ผ่านมาต่างก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เขารู้สึกผิดหวัง
“พบดาวเคราะห์ที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิต ชั้นบรรยากาศเหมาะสมแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์ มีแหล่งน้ำเป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตได้…” เสียงระบบเริ่มรายงานหลังจากที่ตรวจพบดาวเคราะห์ที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิต
“รีบเคลื่อนยานเข้าหาเป้าหมายและทำการสแกนดาวดวงนั้นโดยละเอียด ระบบล่องหนเปิดใช้งานอย่าเปิดเผยตัวเองในระหว่างการสืบหาข้อมูล” เซี่ยเฟยลุกขึ้นยืนมาสั่งการด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เยี่ยม! ถ้ามันมีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาบนดาวดวงนี้ พวกเราก็สามารถยึดแผนที่ดวงดาวของพวกมันได้ หลังจากนั้นพวกเราจะได้หาทางกลับไปยังพันธมิตรได้สักที” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มยังคงพยายามรักษาความสงบเอาไว้ เพราะเขารู้ดีว่าการค้นพบดาวเคราะห์ที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องพบเจอกับเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญา และถ้าหากว่าเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตระดับต่ำ เขาก็ยังไม่สามารถจะหาแผนที่ดาวเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังพันธมิตรได้อยู่ดี
‘ถ้าฉันถูกลิขิตให้ต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต อย่างน้อยฉันก็ใช้ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นฐานพักชั่วคราวของฉันได้’ เซี่ยเฟยคิดภายในใจอย่างขมขื่น
“ระบบตรวจพบสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาคล้ายมนุษย์ แต่ไม่พบสิ่งปลูกสร้างพลังงานสูงบนพื้นผิวของดาวเคราะห์ จากผลการประเมินสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาบนดาวดวงนี้มีระดับเทคโนโลยีที่ต่ำมากและมีระดับภัยคุกคามจัดอยู่ในระดับที่อ่อนแอ…”
โดยปกติสถานที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธุ์อารยธรรมสูงจะมีสิ่งปลูกสร้างที่ปลดปล่อยความผันผวนของพลังงานออกมา ยกตัวอย่างเช่น โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ต้องคอยป้อนพลังงาน แต่บนดาวดวงนี้ไม่มีแหล่งพลังงานขนาดใหญ่แบบนั้นอยู่เลย ซึ่งมันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเผ่าพันธุ์บนดาวดวงนี้ยังไม่สามารถพัฒนาอารยธรรมจนสามารถออกไปท่องเที่ยวในอวกาศได้”
เซี่ยเฟยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะสิ่งมีชีวิตระดับต่ำไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้มากนัก เนื่องจากท้ายที่สุดสิ่งที่เขากำลังต้องการคือแผนที่ดวงดาว แล้วสิ่งมีชีวิตระดับต่ำพวกนี้จะมีแผนที่ดวงดาวให้กับเขาได้ยังไง
“จะลองลงไปดูไหม?” อันธถาม
“ฉันว่าจะลองลงไปดูอยู่เหมือนกัน บางทีฉันอาจจะได้พบกับอะไรบางอย่างที่ไม่คาดคิดก็ได้ อย่าลืมว่าครั้งหนึ่งพวกเราก็เคยพบซากไททันในเขตแดนไร้มนุษย์ ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีโอกาสน้อยมากแต่เราก็ไม่ควรปล่อยผ่านมันไปเฉย ๆ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
ชายหนุ่มเลือกจอดเบโอเนทเอาไว้ในหุบเขา เพราะชนเผ่าท้องถิ่นอาจจะไม่เคยเห็นยานอวกาศลำขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน และเซี่ยเฟยก็ไม่อยากจะทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวตั้งแต่แรกเห็น
จากข้อมูลที่ปรากฏบนระบบเรดาร์ ชนเผ่าท้องถิ่นอาศัยอยู่บนทุ่งหญ้าทางตอนใต้ ชายหนุ่มจึงเตรียมสิ่งของทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่เขาจะลงจากยานและมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของชนเผ่าท้องถิ่น
ชายหนุ่มเดินทางมุ่งตรงไปด้านหน้าประมาณ 500 กิโลเมตรโดยไม่พบสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่เขาก็พอได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายหมาป่าอยู่เป็นจำนวนมาก
ผิวหนังของหมาป่าพวกนี้มีความแข็งราวกับเหล็ก และฟันของพวกมันก็เรียงชิดติดกันชี้ไปยังทุกทิศทาง
เมื่อพวกหมาป่าได้เห็นเซี่ยเฟยพวกมันก็คอยซ่อนตัวอยู่ไกล ๆ อย่างตื่นตัว และคอยจ้องมองไปทางชายหนุ่มด้วยดวงตาที่มีสีแดงราวกับเลือดสด
ชายหนุ่มไม่ได้ให้ความสนใจหมาป่าพวกนี้เลยแม้แต่น้อย และเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาวิชามนตราอสูรในการจัดการกับพวกมันด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่เซเลสเชียลมูนที่อยู่ในมือก็มากเพียงพอที่จะสังหารพวกมันทั้งฝูงได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
ชายหนุ่มวิ่งไปหยุดอยู่บนเนินดินพร้อมกับจุดบุหรี่มองไปรอบ ๆ โดยหวังว่าเขาจะได้พบร่องรอยของชนเผ่าพื้นเมือง
ทันใดนั้นมันก็มีฝุ่นฟุ้งกระจายและเสียงสัตว์ดังขึ้นในระยะไกล ราวกับว่ามันมีสิ่งมีชีวิตกลุ่มใหญ่กำลังควบม้ามุ่งหน้ามายังที่ที่เขากำลังยืนอยู่
เซี่ยเฟยใช้วิชาเนตรมนตราพร้อมกับมองไปยังสถานการณ์ตรงหน้าอย่างตั้งใจ ก่อนที่เขาจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตเหมือนคนตัวเล็ก ๆ กำลังขี่สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนม้า และมีพวกหมาป่าหลายร้อยตัวกำลังไล่ตามอยู่อย่างบ้าคลั่ง
“ดูเหมือนว่าพวกหมาป่าจะต้องการล่าชาวท้องถิ่นเป็นอาหารกลางวันสินะ”
เซี่ยเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจช่วยชาวท้องถิ่นคนนี้เอาไว้ เขาจึงสะบัดมือขวาเพื่อปล่อยใบมีดเซเลสเชียลมูนออกไปฟาดใส่ฝูงหมาป่า
ชายหนุ่มเคลื่อนที่เข้าใกล้เป้าหมายด้วยความเร็ว 10,000 เมตรต่อวินาที มันจึงทำให้สิ่งมีชีวิตธรรมดายากที่จะติดตามความเร็วของเขาทัน
ทั้งเด็กบนหลังม้าและฝูงหมาป่าที่อยู่ด้านหลังต่างก็รู้สึกตกตะลึง ซึ่งสัญชาตญาณของพวกมันก็กำลังร้องถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา
หมาป่าตัวสีเหลืองรีบส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้นไปบนฟ้า ราวกับว่ามันกำลังสั่งลูกน้องให้รีบถอยหนีออกไปโดยเร็วที่สุด
แต่น่าเสียดายที่ก่อนพวกมันจะทันได้เคลื่อนไหว ใบมีดวงกลมก็ได้ตัดร่างของพวกมันจนขาดออกเป็น 2 ส่วน
ฉัวะ!
เลือดสีแดงเข้มกระเซ็นขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับหัวหน้าฝูงหมาป่าที่นอนเสียชีวิตโดยไม่ทันได้สัมผัสถึงความเจ็บปวด
ใบมีดของเซเลสเชียลมูนยังคงร่ายรำในอากาศต่อไป ซึ่งหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่กี่วินาที หมาป่าส่วนใหญ่ก็ถูกตัดจนกลายเป็นเพียงแค่ซากศพ
ในเวลาเดียวกันชนเผ่าพื้นเมืองตัวเขียวที่มีรูปร่างไม่ต่างไปจากเด็กน้อยก็กำลังจ้องมองมาทางเซี่ยเฟยด้วยความหวาดกลัว
หลังจากชายหนุ่มจัดการฝูงหมาป่าได้จนหมดเขาก็หันหลังไปจับชายที่อยู่บนหลังม้าด้วยแขนข้างเดียว ก่อนที่เขาจะยกเจ้าของร่างขึ้นมาเบา ๆ และปล่อยร่างนั้นลงบนพื้นหญ้าที่เต็มไปด้วยโลหิตที่เจิ่งนอง
ชายคนนั้นยังคงคุกเข่าด้วยความหวาดกลัว โดยไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาเพื่อสบสายตากับเซี่ยเฟย
“ที่นี่เรียกว่าดาวอะไร? นายรู้ไหมว่าดินแดนเซิร์กอยู่ที่ไหน?”
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากดินแดนพันธมิตรมาก ดังนั้นเขาจึงถามหาสถานที่ตั้งของดินแดนเซิร์กขึ้นมาแทน เพราะตราบใดก็ตามที่เขาสามารถระบุตำแหน่งของดินแดนเซิร์กได้สำเร็จ เขาก็จะสามารถค้นหาเส้นทางเพื่อกลับไปยังดินแดนพันธมิตรได้
เมื่อชายหนุ่มได้พิจารณาชนเผ่าพื้นเมืองอย่างระมัดระวัง มันก็เห็นได้ชัดเลยว่าชายคนนี้ยังมีอายุไม่มากนัก และภายในแววตาของเขาก็กำลังเต็มไปด้วยความสยดสยองราวกับว่าเขาเคยได้ยินเรื่องของเซิร์กมาก่อน แล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าพวกเขารู้สึกหวาดกลัวพวกเซิร์กเป็นอย่างมาก
“นายรู้จักเซิร์กใช่ไหม? บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าดินแดนของพวกมันอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่านายเดี๋ยวนี้!” เซี่ยเฟยส่งเสียงร้องคำรามออกมาอย่างดุเดือด
ชายตัวเขียวพยายามใช้ภาษามือเพื่อสื่อสาร เนื่องมาจากว่าเขาเป็นใบ้มันจึงทำให้เขาไม่สามารถจะตอบคำถามของเซี่ยเฟยได้
“นำทางฉันไปหาคนในเผ่าของนายซะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยกชายตัวเขียวขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียว
—
ตอนแรกชายตัวเขียวคิดจะปฏิเสธ แต่หลังจากที่เขาถูกตบ 2-3 ครั้งเขาก็รีบชี้นิ้วนำทางเซี่ยเฟยไป โดยมีม้าไล่ตามเซี่ยเฟยมาอย่างใกล้ชิดราวกับว่ามันรู้ดีว่ามันไม่สามารถเอาชีวิตรอดบนทุ่งหญ้าแห่งนี้ได้โดยปราศจากเขา
“พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเด็กคนนี้ถูกเปิดออกประมาณ 30% เขาจะต้องมีพลังพิเศษอะไรบางอย่างแน่ ๆ” อันธกล่าว
อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะสิ่งที่เขาสนใจที่สุดคือการพยายามหาทางกลับไปยังพันธมิตร ไม่ใช่ว่าเผ่าพันธุ์ร่างเขียวตัวน้อยตัวนี้จะมีพลังพิเศษหรือเปล่า
ในไม่ช้าเซี่ยเฟยก็ได้พบกับกลุ่มเผ่าพันธุ์ร่างเขียวที่กำลังไล่ต้อนฝูงหมาป่า แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นชายหนุ่มจับเด็กชายเป็นตัวประกัน พวกเขาก็รีบหันหอกที่ทำจากโลหะสีทองเข้าใส่เซี่ยเฟยในทันที
จิ้ว!
ชายหนุ่มรีบก้มตัวลงหลบการโจมตีอย่างตกใจ เพราะเขาไม่คิดว่าพวกหอกสีทองจะสามารถปล่อยแสงเลเซอร์ออกมาได้ แล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะประเมินสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้ต่ำมากเกินไป
วินาทีต่อมาเซี่ยเฟยก็ทำการปลดปล่อยเซเลสเชียลมูนออกไปพร้อมกับจิตสังหาร เพราะไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดใดได้โจมตีเขามา เขาก็จะถือว่าสิ่งมีชีวิตนั้นคือศัตรูที่ต้องถูกกำจัด
เด็กชายที่อยู่ในมือของเขาพยายามโบกมือตลอดเวลาราวกับว่าเขาต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับคนกลุ่มนั้น ซึ่งพวกเผ่าพันธุ์ตัวเขียวที่ดูเหมือนจะมีความอาวุโสมากที่สุดก็กระโดดลงมาจากหลังม้า ก่อนที่จะลากคอคนที่จู่โจมเซี่ยเฟยลงมาคุกเข่าบนพื้นดิน
พริบตาต่อมาชายชราตัวเขียวก็ตัดหูข้างหนึ่งของชายคนนั้นออกอย่างปราณีต ก่อนที่จะรีบนำใบหูออกไปวางไว้ด้านหน้าเซี่ยเฟยราวกับว่าเขาต้องการใช้สิ่งนี้แทนคำขอโทษ
ชายคนที่โดนตัดหูไม่พูดอะไรแต่ยังคงใช้มือข้างหนึ่งปิดหูและจ้องมองมาทางเซี่ยเฟยอย่างดุเดือด
“พวกนี้พัฒนาเทคโนโลยีได้ซับซ้อนกว่าที่พวกเราคิด แต่ทำไมพวกมันถึงมีอาวุธเลเซอร์ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนว่าพวกมันยังไม่วิวัฒนาการเลยล่ะ?” อันธกล่าว
อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็เพิกเฉยที่จะตอบคำถามของอันธโดยสิ้นเชิง โดยเขาได้ก้าวเท้าไปด้านหน้าอย่างเย็นชาก่อนที่จะตัดศีรษะของชายตัวเขียวออกอย่างไร้ปรานี
“ฉันเกลียดแววตาแบบนั้นมากที่สุด” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเย็นชา
***************