เล่นมายคราฟในต่างโลก เล่มที่ 1 บทที่ 16: คำอธิษฐานของแม่ชี
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
เล่มที่ 1 บทที่ 16: คำอธิษฐานของแม่ชี
.
(มานี่)
ข้ามีนามว่า มานี่ คอร์เฮล แมตต์
ข้าเป็นมนุษย์และยามนี้ข้าอายุสามสิบห้าปี
อาชีพปัจจุบันของข้าคือแม่ชี ข้าทำงานในหมู่บ้านซาดินและอาศัยอยู่กับแม่ของข้า มาเรสซ่าและช่วยบาทหลวงมาร์บอนในเรื่องคริสตจักรและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ข้ารับใช้พระองค์มาสิบห้าปีแล้ว
พรสวรรค์ของข้าอยู่ในทิศทางของ [จอมเวท] ทว่าหากกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ [พระ] ข้าสามารถใช้เวทมนตร์ด้านการรักษาหรือธาตุแสงได้ แน่นอนว่าข้าเรียนเวทมนตร์อื่นๆ มาด้วย แต่สองประเภทนี้คือความสามารถพิเศษของข้า
แม้จะเป็นแม่ชีของศาสนาแวนติโนม แต่ข้าก็ไม่ได้มองมนุษย์ กึ่งมนุษย์ด้วยความเหยียดหยามเหมือนสาขาตะวันตก
ข้ารับใช้สาขาย่อยของศาสนาแวนติโนมที่เปิดกว้างกว่ามาก สาขาย่อยแวนติโนม-เกรลลา
เกรลลาได้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อสี่ศตวรรษก่อน โดยนักบวชเอลฟ์ที่มีชื่อเดียวกัน เขาเห็นความมืดและความเสียหายมากมายที่เกิดขึ้นกับศาสนาของเราที่เชื่อว่าตัวพวกเขาเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง เกรลลาจึงสร้างสาขาใหม่เพื่อพยายามตอบโต้
สาขาหลักถือว่าสายพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่เอลฟ์ทั้งหมดเป็นปีศาจ ดังนั้นพวกเขาจึงบอกว่าคนพวกนี้ไร้ค่าและจักต้องทำลายเสีย
แต่สายพันธุ์เดียวที่เป็นปีศาจอย่างแท้จริงคือเผ่าปีศาจและซัคคิวบิ/อินคิวบิ ที่สามารถติดตามเหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาไปสู่นรกได้
ซึ่งแท้จริงแล้วกึ่งมนุษย์ไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับที่ทางสาขาหลักบอก พวกเขาแค่มีชีวิตที่แตกต่างออกไป ทั้งด้วยประเพณีและค่านิยมของตัวพวกเขาเอง
ตราบใดที่พวกเขาไม่ก่ออาชญากรรม พวกเขาก็ไม่ควรถูกลงโทษเพราะความแตกต่าง
นอกจากนี้เรายังบูชาเทพธิดาแวนติโนมในสาขาย่อยของเราเหมือนกับสาขาหลัก แต่เรายินดีต้อนรับสายพันธุ์อื่นๆ ด้วยอ้อมแขนที่เปิดกว้าง ตราบใดที่พวกเขาเปลี่ยนเป็นความเชื่อของเรา
สาขาย่อยเกรลลามีบทบาทมากขึ้นในช่วงภาคใต้ของแผ่นดิน ทว่าในช่วงนี้พวกปีศาจกลับมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“มีคนเพียงสองประเภทอยู่บนโลกนี้ ประเภทที่หนึ่งคือก่ออาชญากรรมและประเภทที่สองคือไม่ก่ออาชญากรรม” นั่นคือคำที่เกรลลากล่าว
เราไม่ได้กดขี่สายพันธุ์อื่นๆ บนโลกที่แตกต่างจากสาขาหลักที่พยายามกำจัดพวกเขาด้วยอคติอย่างรุนแรง
แต่ว่า... สาขาย่อยของเกรลลายังไม่อาจแข่งความนิยมได้เท่าสาขาหลัก เขามีอำนาจและพลังที่น้อยกว่า ผลลัพธ์ทำให้สาขาย่อยของพวกเขาได้ถูกวางไว้ในภูมิภาคที่ยากจนหรือห่างไกล อย่างไรก็ตาม เรามีความยืดหยุ่นพอที่จะไม่ถูกกำจัดโดยสาขาหลัก
โอ้ ข้าเริ่มบ่นให้ฟังมากเกินไปอีกครั้งแล้วสินะ...ใช่แล้ว สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเราทำหน้าที่เป็นสังคมขนาดเล็กที่สามารถทำงานได้อย่างอิสระด้วยทุนเพียงน้อยนิด เด็ก [นักสู้] และ [นักเวทย์] จะได้รับการเลี้ยงดูโดย [สามัญชน] ความสามารถ [นักสู้] และ [นักเวทย์] ของพวกเขาจะได้รับการปลูกฝังในขณะที่ [สามัญชน] ทำงานเพื่อดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
ในตอนแรกข้าคิดว่านี่เป็นการวางแผนที่ดี แค่ให้ทุกคนมีหน้าที่ของตนก็สิ้นเรื่อง เหตุผลที่ข้าคิดเช่นนั้นก็เพราะโดยหลักการแล้ว 90% ของเด็กจะเป็น [สามัญชน] ในขณะที่ 10% เป็น [นักสู้] และ [นักเวทย์]
แต่เมื่อเร็วๆ นี้จำนวนของ [นักสู้] และ [นักเวทย์] กลับเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ [สามัญชน] ต้องเผชิญกับปัญหาที่พวกเขาจำเป็นต้องทำมากขึ้น แต่จำนวนของพวกเขากลับน้อยกว่ามาก
มันทำให้ [นักสู้] และ [นักเวทย์] เริ่มหยิ่งยโสอวดดีในความเหนือกว่าของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้ท่านแม่ของข้า บาทหลวงมาร์บอนและตัวข้าปวดหัวยิ่ง เราไม่รู้ว่าเราจะเปลี่ยนทัศนคติของเด็กๆ พวกนี้ได้อย่างไร
นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทันที กระทั่งในสังคมปกติในสังคมปกติมะเร็งและเนื้องอกยังกำจัดได้ยากเลย สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเราก็คงไม่ต่างกัน
เราต้องกำจัดรากเหง้าของปัญหาก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แต่อย่างไรกันเล่า?
...เรามาพูดถึงเด็กที่โดดเด่นมากในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากันดีกว่า
มี อเกรลล์ ซึ่งเป็น [นักสู้] ที่โดดเด่นในหมู่เด็กๆ เขาอายุสิบสี่ปีแล้ว
อเกรลล์ เกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งอันยิ่งใหญ่และบาทหลวงมาร์บอนก็ได้ชมความสามารถด้านดาบของเขาด้วย เขาอาจจะกลายเป็น [นักดาบ] ในอนาคต
เขามีความรู้สึกยุติธรรมอย่างแรงกล้า แต่เขากลับมีรูปร่างผอมบางและเป็นคนที่เซ่อมาก เขาจะออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เมื่อเขาอายุสิบห้าปี แต่ข้าก็เป็นห่วงเขาจริงๆ
ส่วน [นักเวทย์] มีมิตตี้ที่น่าจับตามองเช่นกัน
เขาอายุสิบสามและอยู่ใน [ปาร์ตี้] กับอเกรลล์แล้ว พวกเขาคงจะกลายเป็นสหายที่ดีในอนาคต
เขามีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ที่ดี แต่มีอารมณ์ฉุนเฉียวและใจร้ายต่อเด็กคนอื่นๆ
โอ้ และยังมีเด็กที่น่าสนใจอีกคนหนึ่ง เป็นเด็กผู้หญิง
นางเป็นคนค่อนข้างพิเศษจริงๆ และไม่ใช่คนทั่วไปเลย
นามของนางคือเกรซและดูเหมือนว่านางจะถูกสาป
เมื่อสิบปีที่แล้ว นางถูกวางไว้หน้าประตูของเราในคืนที่มีพายุเข้า เมื่อเรามองไปที่นาง สสิ่งที่ข้าเห็นคือสิ่งมีชีวิตสีดำทะมึนตัวยาวและน่าหวาดกลัว เราไม่เคยเห็นหรือได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน มันทำให้เราทั้งสามคนตกใจมาก
หลังจากใช้ [กระดานหินแห่งการระบุตัวตน] เรายืนยันว่านางไม่ใช่มนุษย์
เอนเดอร์แมน
"เอนเดอร์แมนคืออะไร?" พวกเราต่างสงสัย บาทหลวงมาร์บอนใช้เวทมนตร์ปกปิดเพื่อซ่อนข้อมูลนั้นและทำให้ทุกครั้งที่นางถูกระบุตัวตนด้วยกระดานหิน มันจะแสดงให้เห็นว่านางเป็นมนุษย์
เมื่อพูดถึงเวทมนตร์ นางเก่งกาจและมีความสามารถอย่างมาก นางควบคุมธาตุได้ดีมาก ยกเว้นธาตุน้ำ เธอเรียนรู้วิธีใช้คาถาธาตุมืดทั้งหมดด้วยตัวเอง แทบจะเรียกได้ว่านางเป็นอัจฉริยะ
ในอดีตเมื่อใดก็ตามที่มีคนมองตานาง นางจะอาละวาด นางจะทำลายเกือบทุกอย่างที่อยู่ใกล้ๆ และไม่ฟังคำสั่งของเราเลย สิ่งนี้กินเวลาประมาณสามนาที ตราบใดที่ไม่มีใครมองตานางอีกก็ไม่มีปัญหา
...จากนั้นวอลสันก็มาพร้อมกับแว่นตา ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้มันมาได้อย่างไร แต่มันได้ผล
วอลสันเป็น [สามัญชน] และมาเรสซ่า แม่ของข้าก็คิดว่าเขาเป็นเด็กที่เลวร้ายมาก นางบอกว่าเขาชอบสร้างปัญหาและนางก็มักจะส่งเขาเข้าไปในห้องเด็กซุกซนเสมอ
แต่โดยส่วนตัวแล้ว ข้าคิดว่าวอลสันกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง
เกรซมักจะถูกรังแก และวอลสันก็เป็นคนไล่พวกเขาออกไปเกือบตลอดเวลา
ผู้ใหญ่ของเรามักจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตำนานวีรบุรุษและการผจญภัยให้เด็กฟัง วอลสันคงเก็บเรื่องเล่าเหล่านั้นเอาไว้ในใจ และกลายเป็นวีรบุรุษในสายตาของเกรซไปแล้วกระมัง
ในยามที่เขาถูกส่งไปห้องซุกซน เขาคงรู้สึกเหมือนกับถูกหลอก ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียจริง
ทว่าตัวข้าไม่ได้อำนาจเหนือกว่าท่านแม่ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถหยุดนางจากการส่งเขาไปที่ห้องซุกซนและพาเขาออกจากห้องได้ แต่ข้ามักจะเคาะหน้าต่างและถามเขาว่าเขาต้องการอาหารหรือไม่
เขาไม่เคยตอบข้าซักคำถามเลย “เขาโกรธพวกเราเหล่าผู้ใหญ่หรือเปล่า?” ตอนแรกข้าก็คิดเช่นนั้น
แต่ดูเหมือนว่าข้าจะคิดมากเกินไป
วอลสันยังคงยิ้ม ยิ้มอย่างไร้เดียงสาเช่นเดิม
โปรดยิ้มต่อไปเถอะนะ วอลสัน อย่าปล่อยให้ความอยุติธรรมของเราทำลายรอยยิ้มของเจ้าเลย
เขาแตกต่างจากเด็กส่วนใหญ่ เขาไม่ค่อยโหยหาความรักเลย นอกจากนี้ เขายังไม่โหยหาความรักกับใคร กระทั่งบาทหลวงมาร์บอนและมารดาของข้า แปลกมาก
เขายิ้มบ่อยกว่าเด็กคนอื่นๆ ทำให้เด็กคนอื่นๆ ดูแปลกและแตกต่างไปเลย
บางครั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็รับเด็กที่พ่อแม่ไม่มีที่พักเข้ามา หมายความว่ามีเด็กที่อาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ก็ยังมีครอบครัวอยู่
บางครั้งพ่อแม่ก็จะมาเยี่ยม และจากนั้นเด็กๆ ที่ไร้พ่อแม่ก็มักจะร้องไห้ออกมากัน
แต่ข้าไม่เคยเห็นวอลสันร้องไห้เลย
ข้าพยายามเข้าใกล้วอลสันเป็นครั้งคราว ข้าอยากรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่ข้าไม่เคยจับเขาได้เลย
ข้าถามเด็กคนอื่นๆ และพวกเขาก็บอกว่าวอลสันมักจะหายตัวไปเป็นเวลานานมาก
เขาเป็น [สามัญชน] ดังนั้นเขาคงจะทำงานในฟาร์ม ในตอนแรกข้าคิดว่าเขากำลังทำหน้าที่ของเขาพร้อมกับเล่นไปด้วย
แต่เมื่อข้าออกตรวจสอบ ข้าก็ประหลาดใจที่เห็นว่าเขามีฟาร์มที่เป็นระเบียบที่สุดในหมู่ทุกคน มันมีจำนวนผลผลิตกำลังสองและยังมีระยะการปลูกที่เท่ากันเป๊ะเลย
เมื่อข้ามองไปที่ดวงตาของเขา บางครั้งข้าก็เห็นสติปัญญาและอายุที่ดูจะสูงกว่าเด็กในวัยนี้
ยามนี้เขาอายุสิบปีและสูงหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร แต่เขากลับดูเป็นเด็กที่น่าเชื่อถือมาก
เมื่อใดก็ตามที่เกรซไม่ได้เรียนหนังสือ นางก็มักจะใช้เวลาอยู่กับวอลสัน
ข้ากังวล
เขาดูเป็นผู้ใหญ่เกินไป...