ตอนที่แล้วบทที่ 315 – ราชาแห่งต้าลู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 317 – มุมมองที่กว้างขึ้น

บทที่ 316 – น่าละอาย


เคอเอ้อร์หลานตี้ตอบกลับมาอย่างระมัดระวัง “องค์ราชา นอกจากที่มีหน้ากากสีเงินเพิ่มขึ้นมาแล้ว ลักษณะที่เหลือของนักเวทย์คนนั้น ตรงกับลักษณะของท่านทูตแห่งเทพเจ้าเว่ยจางกง ที่พวกข้าน้อยได้พบก่อนหน้านี้มาก ตอนที่พวกเราแยกทางกัน เขาได้กล่าวเอาถึงจุดหมายปลายทางเอาไว้แล้ว ว่าต้องการมาจัดการกับเรื่องสำคัญบางอย่างที่ป้อมปราการเต๋อหลุนแห่งนี้ ข้าน้อยไม่ได้แจ้งเรื่องที่พระองค์ประทับอยู่ที่นี่ให้เขาได้รับทราบ เพียงแค่เร่งความเร็วในการเดินทางเพื่อให้มาถึงที่นี่ให้ได้เร็วที่สุด เพื่อทูลเรื่องราวให้พระองค์ได้ทรงทราบล่วงหน้า และคิดที่จะเชิญท่านทูตให้มาเข้าเฝ้าพระองค์ หลังจากที่เขาจัดการกับธุระส่วนตัวสำเร็จแล้ว”

“และเหมือนกับที่ข้าน้อยได้กราบทูลไปก่อนหน้านี้ ท่านทูตจางกงนั้นมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ระดับของพลังเวทย์น่าจะถือว่าเป็นสุดยอดของเหล่านักเวทย์ไปแล้ว ถึงกับสามารถร่ายเวทย์ต้องห้ามได้ด้วยตัวเองคนเดียว! ถ้าเกิดว่าองค์หญิงอยู่กันท่านทูตจริง ๆ อย่างน้อยพวกเราก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยแล้ว ท่านทูตเป็นคนที่ซื่อสัตย์เที่ยงธรรมเป็นอย่างมาก” หลังจากกล่าวออกมาอย่างยืดยาว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองราชาเทียนฟง ที่กำลังมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่อย่างหนัก ก่อนจะตัดสินใจกล่าวต่อออกมา “ที่ข้าน้อยกำลังวิตกอยู่ในขณะนี้ คือท่านทูตน่าจะเป็นคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเสียมากกว่า” เมื่อคิดถึงความน่ากลัวของเจ้าหญิงเฟยหยูแล้ว เคอเอ้อร์หลานตี้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที

ราชาเทียนฟงเงยหน้าขึ้นมาจากอาการครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวถามนายทหารที่เข้ามารายงาน “เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่า นักเวทย์คนนั้นกล่าวออกมาว่าเขาเป็นอาจารย์ของเฟยหยู?”

นายทหารคนนั้นตอบกลับมาด้วยความประหม่าเล็กน้อย “ขอรับ ข้าน้อยแน่ใจ”

ราชาแห่งต้าลู่หันกลับมาที่เคอเอ้อร์หลานตี้ และออกคำสั่งทันที “ในเมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไปเป็นอย่างนี้แล้ว เจ้าก็นำแปดยอดนักดาบออกไปตามหาพวกเขาก็แล้วกัน ถ้านักเวทย์ผู้นั้นคือทูตแห่งเทพเจ้าเว่ยจางกงจริง ๆ เจ้าห้ามทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองอย่างเด็ดขาด พยายามขอตัวเจ้าหญิงกลับมาเท่านั้นก็พอ แต่ถ้าไม่สำเร็จ หรือเฟยหยูไม่ต้องการที่จะเดินทางกลับมา เจ้าก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นเถอะ”

“อะไรนะขอรับ?” เคอเอ้อร์หลานตี้อุทานออกมา ไม่เข้าใจว่าทำไมราชาเทียนฟงถึงได้อนุญาตให้ลูกสาวสุดที่รักของตนเอง ติดตามไปกับผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคยได้

แววตาของราชาเทียนฟงเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง “แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ตอนนี้เจ้าออกไปได้แล้ว”

“ข้าน้อยทูลลา” เคอเอ้อหลานตี้ไม่กล้ากล่าวถามอะไรออกมาอีก รีบหมุนตัวแล้วเดินออกจากศูนย์บัญชาการใหญ่ไปในทันที ระหว่างที่กำลังเดินออกไปนั้น มีเงาร่างของคน 8 คน กระโดดออกมาจากมุม ๆ หนึ่ง และติดตามเขาไปไม่ห่าง

............

ผมพาเฟยหยูเหาะลงไปทางทิศใต้ด้วยกัน หลังจากเดินทางกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ตอนนี้พวกเรามาถึงที่ราบสูงในอาณาเขตของเผ่าปีศาจได้แล้ว หลังจากนี้ พวกเรายังคงจะต้องมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ต่อไป นี่เป็นเบาะแสเดียวที่ได้มาจากพ่อค้าเร่ร่างใหญ่ในป้อมคนนั้น มันเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้หาหุบเขาแบ่งฟ้าเจอได้เร็วที่สุด

ตอนที่ผมร่อนลงมายังพื้นดิน ก็เริ่มหมุนเวียนพลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายทันที ทั้งเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่อยู่รอบตัว และหวังที่จะได้รับการตอบสนองกลับมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้ ๆ แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรกลับมา เฟยหยูซึ่งลงมายืนอยู่ด้วยตัวเองแล้ว กล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น “ท่านอาจารย์ ความรู้สึกตอนบินได้นี่มันช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เท่าคิดจะสอนให้ข้าบินเมื่อไหร่กัน?”

นั่นทำให้ผมต้องทำหน้าเบื่อหน่ายออกมา “เจ้าคิดว่าการบินมันง่ายที่จะฝึกอย่างนั้นหรือ? ถ้าไม่มีพื้นฐานพลังเวทย์ที่แข็งแกร่ง ไม่มีระดับพลังเวทย์ที่สูงมากพอ ไม่มีทางที่จะบินได้หรอก ด้วยระดับพลังเวทย์ของเจ้าในตอนนี้ คงต้องฝึกอย่างขยันขันแข็งสัก 10 ปี ถึงจะมีความหวังที่จะบินได้ ถ้าไม่มีอะไรช่วยเหลือ หรือมีเงื่อนไขพิเศษอะไรเกิดขึ้น เจ้าคงไม่มีทางบินได้แน่ ๆ”

แต่เฟยหยูกลับเถียงอย่างไม่พอใจออกมาทันที “ข้าไม่สนหรอก! ข้าอยากจะบินได้ตอนนี้เลย ท่านเก่งขนาดนี้ ต้องมีวิธีทำให้ข้าบินได้อย่างแน่นอน ใช่หรือไม่ท่านอาจารย์?”

ผมส่ายหน้า “มันมีอยู่ 3 วิธีที่จะทำให้มนุษย์สามารถบินอยู่บนท้องฟ้าได้ อย่างแรกคือการใช้จิตวิญญาณของการต่อสู้ในการขับเคลื่อนร่างกาย มันต้องการความเข้มข้นของพลังจำนวนมาก และระเบิดมันออกมาอย่างรุนแรง เพื่อที่จะสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก มันต้องใช้ระดับพลังที่สูงมากทีเดียวเชียวล่ะ อย่างที่สอง คือการเพิ่มระดับพลังเวทย์ของเจ้า ให้สามารถควบคุมธาตุลมในสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ มันจะช่วยยกตัวให้เจ้าลอยอยู่กลางอากาศ และเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่าง ๆ ได้ วิธีที่สาม....”

เฟยหยูรีบถามออกมาอย่างตื่นเต้น “วิธีที่สามคืออะไร?”

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ทำให้ผมอดนึกไปถึงเสี่ยวจินที่อยู่ที่ดินแดนของผู้พิทักษ์แห่งเทพไม่ได้ ทำให้ต้องถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป “วิธีที่สาม คือการมีสัตว์เวทย์ที่บินได้คอยช่วยเหลือ มันจะสามารถพาเจ้าบินไปบนท้องฟ้าได้”

เฟยหยูหัวเราะออกมาแล้ว “สัตว์เวทย์อย่างนั้นหรือ? ข้ามีอยู่ตัวหนึ่ง! คอยดูให้ดีนะท่านอาจารย์ ปีกทะยานฟ้า! ข้าขออัญเชิญเจ้า”

ผมรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะเฟยหยูขยับมือของเธอขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ปล่อยแสงสีขาวเรืองรองพุ่งขึ้นไปบนนั้น และก่อตัวเป็นวงแหวนหกเหลี่ยมขึ้นมา ‘นี่มันวิธีอัญเชิญสัตว์เวทย์แห่งโชคชะตานี่นา เธอทำสัญญาโชคชะตากับสัตว์เวทย์อย่างนั้นหรือ?’ ตอนนี้ มีแสงสีขาวสว่างจ้าออกมาจากวงแหวนหกเหลี่ยม ส่งผลให้ธาตุเวทย์มนต์ที่อยู่รอบ ๆ เริ่มปั่นป่วน และเมื่อแสงนั้นจางหายไป นกที่มีสีขาวราวกับหิมะก็ปรากฏตัวออกมาจากวงแหวนเวทย์นั้นทันที มันส่งเสียงร้องออกมาอย่างร่าเริง ก่อนจะโผลงมาเกาะที่ไหล่ของเฟยหยูอย่างสนิทสนม

นกตัวนี้มีสีขาวไปทั้งตัวจริง ๆ ดวงตาคู่โตนั้นเป็นสีแดงสดใส กำลังจ้องมองผมอย่างให้ความสนใจอยู่ และบนหัวของมันยังมีเขาสีทองเล็ก ๆ โผล่ออกมาสองข้าง แต่พลังที่แพร่กระจายออกมาจากร่างกายของมัน แสดงว่ายังอ่อนแอเป็นอย่างมา

ผมอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น “สัตว์เวทย์ประเภทเติบโตได้นี่นา” สมแล้วกับที่เธอเป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรต้าลู่ สามารถที่จะครอบครองสัตว์เวทย์ประเภทนี้ได้ และผมสามารถสัมผัสกับพลังเวทย์ของมันได้อย่างชัดเจนมาก แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่ามันเป็นนกชนิดใด และพลังของมันยังอ่อนแออยู่มาก แต่มันต้องเป็นสัตว์เวทย์ที่ทรงพลังอย่างมากแน่นอน ถ้ามันเติบโตได้อย่างเต็มที่แล้ว

เสียงของเฟยหยูดังออกมาอีก คราวนี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความพอใจ “เป็นยังบ้างท่านอาจารย์ สัตว์เวทย์ของข้า? มันมีชื่อว่าเสี่ยวยู่เหมา ต้องทำอย่างไร มันถึงจะช่วยให้ข้าบินได้?”

ผมกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง “ตอนนี้สัตว์เวทย์ของเจ้ายังมีระดับที่ต่ำมากอยู่เลย มันเป็นสัตว์เวทย์ประเภทเติบโตได้ ที่จะค่อย ๆ เติบโตไปพร้อมกับความก้าวหน้าของเจ้า การเพิ่มพลังเวทย์ของเจ้าของ จะทำให้สัตว์เวทย์ทรงพลังมากยิ่งขึ้น ถ้าเจ้าอยากจะให้มันสามารถพาเจ้าบินไปได้ เจ้าต้องเพิ่มระดับพลังเวทย์ของตัวเองก่อน ตอนนี้มันยังอ่อนแอมากอยู่เลย ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก”

เฟยหยูเบ้ปากทันที ยื่นมือออกไปลูบปีกของเสี่ยวยู่เหมาเบา ๆ “แล้วนั่นจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน? ท่านอาจารย์ ท่านก็เก่งออกขนาดนี้ ไม่มีวิธีช่วยข้าเพิ่มพลังเวทย์เร็ว ๆ บ้างเลยหรือยังไง?”

สีหน้าของผมเริ่มจริงจังขึ้นแล้ว เสียงเข้มขึ้นเป็นอย่างมาก “ห้ามพูดอะไรอย่างนั้นออกมาอย่างเด็ดขาด อย่าได้คิดว่าการฝึกฝนเวทย์มนต์เป็นแค่เรื่องเล่น ๆ ถ้าไม่ผ่านการฝึกฝนอย่างอดทน เจ้าไม่มีทางจะประสบความสำเร็จได้อย่างเด็ดขาด เฟยหยู! ช่วงนี้ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องจัดการจริง ๆ ไม่สามารถจะดูแลเจ้าได้ เอาแบบนี้ได้หรือไม่? ข้าจะใช้ผังเวทย์เคลื่อนย้ายระยะไกล ส่งเจ้ากลับเข้าป้อมปราการไปโดยตรง จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพวกนั้นจับตัวไป”

สีหน้าของเฟยหยูถอดสีทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เธอกล่าวออกมาด้วยเสียงสะอื้น “ท่านอาจา..ท่านอาจารย์ ท่านไม่ต้องการข้าอีกแล้วหรือ? ข้านี่มันน่าสงสารจริง ๆ แล้วถ้าไปเจอพวกคนไม่ดีเข้าอีก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้าจะทำอะไรได้? ท่านอาจารย์ ได้โปรดพาข้าไปด้วยเถอะนะ ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่างเลย ข้าสัญญา”

ได้ยินการอ้อนวอนของเธอ ผมก็รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาทันที ‘ทำไมฉันถึงต้องมาเจอกับผู้หญิงที่ทำให้ปวดหัวได้ถึงขนาดนี้ด้วยนะ? แล้วฉันจะพาเธอไปสืบทอดพลังแห่งเทพเจ้าด้วยได้ยังไงกันล่ะเนี่ย?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด