ตอนที่ 374 สงคราม!
ตอนที่ 374 สงคราม!
ในขณะที่เซี่ยเฟยกำลังติดอยู่ในสถานการณ์อึดอัดบริเวณชายแดน มันก็ได้มีกองยานขนาดใหญ่อีกกองหนึ่งได้มารวมตัวกันอย่างเงียบ ๆ ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ โดยกองยานปริศนาได้มีกองยานรวมตัวกันอยู่มากกว่า 600 กอง ซึ่งมันก็เป็นปริมาณที่มากกว่ากองยานของเซิร์กที่รวมตัวกันอยู่ตรงบริเวณชายแดน
ในที่สุดกองยานขนาดใหญ่กองนี้ก็พร้อมออกเดินทางแล้ว และพวกเขาก็รอเพียงคำสั่งจากจอมพลทาดินี่เพียงเท่านั้น
อูดี้เป็นราชาที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ของเซิร์ก แต่เขาก็เป็นราชาที่ถูกเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์วิจารณ์มากที่สุดเช่นเดียวกัน เพราะเขาเป็นแมลงไรฝุ่นที่มีรูปร่างผอม, ตัวเตี้ยและมีความโดดเด่นทางด้านความฉลาดเท่านั้น
ขณะเดียวกันทาดินี่ก็คือน้องชายแท้ ๆ ของอูดี้ มันจึงทำให้รูปร่างของเขาไม่ได้แตกต่างจากพี่ชายมากนัก และถึงแม้ว่าเขาจะตัวสูงกว่าอูดี้ครึ่งศีรษะ แต่เขาก็มีส่วนสูงเพียงแค่ 65 เซนติเมตรเพียงเท่านั้น
“ทุกคนเตรียมตัว!” ทาดินี่ตะโกนเสียงดัง และถึงแม้ว่าเขาจะเป็นแมลงตัวสั้น ๆ แต่เสียงของเขากลับก้องกังวานราวกับเสียงระฆังขนาดใหญ่
ทันใดนั้นนักรบตั๊กแตนตัวสูงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ย่อตัวลงเพื่อให้จอมพลทาดินี่ขึ้นไปเหยียบไหล่ของมันเอาไว้ ก่อนที่นักรบคนนั้นจะยืนขึ้นมาเพื่อให้ทาดินี่โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน
“ในที่สุดวันที่ทุกคนรอคอยก็กำลังจะมาถึง ตราบใดก็ตามที่เราเคลื่อนที่ผ่านรูหนอนนี่ไป พวกเราก็จะอยู่ห่างจากนครหลวงของพันธมิตรเพียงแค่ 4.9 ล้านปีแสงเท่านั้น!” ทาดินี่ตะโกนเสียงดังผ่านทางระบบสื่อสาร
“ตอนนี้กองกำลังส่วนใหญ่ของมนุษย์ถูกพวกเราล่อไปอยู่ที่บริเวณชายแดนเกือบหมดแล้ว ไอ้พวกมนุษย์โง่พวกนั้นคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าศัตรูที่แท้จริงของพวกมันจะปรากฏตัวใกล้ ๆ กับเมืองหลวงในเวลาอีกเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง และเราจะทำลายพวกมันให้ย่อยยับก่อนที่กองกำลังของพวกมันจะเคลื่อนที่กลับมาป้องกันได้ทันเวลา”
“หลังจากนี้จงปล้นพวกมันให้สาสมแก่ใจ, ฉีกกระชากพวกมันออกมาและกลืนกินร่างของพวกมันเข้าไปทั้งเป็น!”
“เซิร์กจงเจริญ! ราชาอูดี้จงเจริญ!! จักรวาลทั้งจักรวาลจะต้องตกเป็นของพวกเรา!!!”
—
ห่างจากเมืองหลวงประมาณ 4.9 ล้านปีแสง
ปัจจุบันยานสกอร์เปี้ยนกำลังลาดตระเวนอยู่ตามปกติ โดยยานรุ่นนี้มีความโดดเด่นทางด้านการตรวจจับทำให้พวกเขาสามารถตรวจจับยานรบที่น่าสงสัยในระยะ 100,000 ปีแสงได้อย่างง่ายดาย มันจึงเป็นยานรบรุ่นที่เอาไว้ใช้สำหรับการลาดตระเวนโดยเฉพาะ
ทันใดนั้นระบบเรดาร์ก็เริ่มตรวจจับสัญญาณจากยานรบที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที โดยหลังจากที่เวลาผ่านไปจุดสีขาวก็ถูกเติมเต็มทั่วทั้งหน้าจอเรดาร์ ซึ่งหมายความว่ามันมีจำนวนยานรบอยู่มากเกินกว่าที่หน้าจอเรดาร์จะสามารถตรวจวัดได้
“กัปตันครับ ระบบเรดาร์ตรวจพบยานรบนิรนามจำนวนมากห่างจากพวกเราไปประมาณ 714 ปีแสง” เจ้าหน้าสื่อสารประจำระบบเรดาร์ตะโกนขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ หลังจากที่ได้เห็นจำนวนยานรบปริศนาปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
“ยานรบประเภทไหน? สังกัดอะไร? ปริมาณมากขนาดไหน?” กัปตันกล่าวถามขณะงัวเงียลุกขึ้นมาจากที่นั่ง
“ระบบเรดาร์ไม่สามารถระบุประเภทกับสังกัดของยานได้ครับ ตอนนี้จำนวนยานที่ตรวจพบเพิ่มขึ้นเป็น 1,139 ลำแล้วและกำลังค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โอ้พระเจ้านี่มันกองยานขนาดใหญ่แล้ว! มันมียานบัญชาการอยู่ในกองยานด้วย!!”
รายงานนี้ทำให้กัปตันยานสะดุ้งด้วยความตกใจทันที เมื่อจู่ ๆ มันได้มีกองยานขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นใกล้ ๆ กับนครหลวง
กองยานปริศนาขนาดใหญ่แบบนี้เข้ามาใกล้นครหลวงโดยไม่ถูกค้นพบได้ยังไง!!
อย่างไรก็ตามกัปตันยานก็ถอนหายใจออกมาในไม่ช้า เพราะเนื่องจากมันกำลังมีสงครามในเขตทุ่งดาวแห่งความตาย และสถานการณ์บริเวณชายแดนเซิร์กก็กำลังตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ มันจึงอาจจะมีการซ้อมรบของกองทัพในบริเวณนี้ก็ได้
ท้ายที่สุดมันก็มีเพียงแต่ยานรบของกองทัพที่สามารถปิดบังตัวตนและเข้าใกล้นครหลวงได้โดยไม่มีการรายงานแจ้งเตือนเอาไว้ล่วงหน้า มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกัปตันยานจึงไม่รู้สึกตื่นตระหนกเมื่อได้พบกองยานรบขนาดใหญ่ใกล้ ๆ กับกลุ่มดาวนครหลวง
“ทุกคนอย่าตื่นตระหนกแล้วลองติดต่อไปที่กรมทหารว่าพวกเขากำลังจัดการซ้อมรบอยู่หรือเปล่า? อย่าลืมนะว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ใกล้กับนครหลวงมาก มันไม่มีทางที่ศัตรูจะเข้ามาใกล้นครหลวงได้ขนาดนี้โดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าหรอก” กัปตันยานตะโกนสั่งการอีกครั้ง
เมื่อได้รับฟังคำอธิบายจากกัปตัน เจ้าหน้าสื่อสารที่คุมระบบเรดาร์ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่จำนวนของยานรบที่ปรากฏบนหน้าจอเรดาร์ก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
แต่ทันใดนั้น!!
“กัปตันครับ! ทางกรมทหารยืนยันมาว่ามันไม่มีคำสั่งซ้อมรบบริเวณใกล้ ๆ นครหลวงเลย กองยานพวกนั้นไม่ใช่กองยานของพันธมิตร!!”
หลังจากได้รับคำตอบจากกรมทหาร เจ้าหน้าที่สื่อสารก็รีบตะโกนรายงานขึ้นมาเสียงดัง
“อะไรนะ? พูดอีกทีสิ!!” กัปตันยานตะโกนขึ้นมาด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง
“กองยานพวกนั้นไม่ใช่กองยานของกองทัพครับ”
พริบตาต่อมากัปตันก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังจะเป็นลม แล้วมันก็ทำให้มือเท้าของเขาสั่นขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่ใบหน้าก็กำลังซีดลงจนกลายเป็นสีขาวราวกับหิมะ
“กัปตันครับจำนวนยานรบของอีกฝั่งเพิ่มขึ้นมาเกินกว่า 5,000 ลำแล้ว พวกเราควรจะทำยังไงกันดีครับ?”
“ห๊ะ! อะไรนะ?!”
“กัปตันพวกเราควรส่งคำเตือนไปยังกองทัพนะครับ”
เพี้ยะ!
กัปตันยานตบหน้าตัวเองเพื่อพยายามดึงสติกลับคืนมา
“ทุกคนหุบปาก! รีบส่งสัญญาณเตือนภัยระดับ SSS ออกไปให้กองบัญชาการทหารเดี๋ยวนี้!!” กัปตันยานส่งเสียงร้องคำราม
คำสั่งนี้ทำให้ลูกเรือทุกคนรู้สึกตกตะลึง เพราะโดยปกติคำสั่งเตือนภัยระดับสูงสุดอยู่ที่ระดับ A เท่านั้น แต่สัญญาณระดับ SSS ที่กัปตันกำลังสั่งออกมาเป็นคำสั่งทางทฤษฎีที่มีความหมายว่าพันธมิตรกำลังเสี่ยงที่จะถูกกวาดล้าง
“รีบติดต่อศูนย์บัญชาการใหญ่ให้ฉันเร็ว ๆ เข้า!” กัปตันกล่าวพร้อมกับเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก และถึงแม้ว่าเวลามันจะผ่านพ้นมาเพียงแค่ไม่กี่นาทีแต่ทั่วทั้งร่างของเขากลับเต็มไปด้วยเหงื่อ
“เรียนศูนย์บัญชาการ ผมกัปตันเรดี้ผู้บัญชาการยานลาดตระเวนหน่วยที่ 17 ผมขออนุญาตเข้าสอดแนมในระยะประชิดครับ” เรดี้กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ทันใดนั้นลูกเรือทั้งหมดที่อยู่ในห้องบัญชาการก็รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบรัดแน่น เพราะการสอดแนมในระยะประชิดมันก็หมายความว่าพวกเขาจะทำการวาร์ปเข้าไปท่ามกลางกองยานขนาดใหญ่ของกองยานปริศนา ซึ่งถ้าหากว่ากองยานนั้นคือกองยานของศัตรูจริง ๆ การเดินทางครั้งนี้มันก็หมายถึงความตาย
“ศูนย์บัญชาการอนุมัติการเข้าสอดแนมในระยะประชิด ผมขอให้คุณโชคดีกัปตัน”
ผู้อำนวยการในศูนย์บัญชาการกล่าวตอบรับอย่างไร้ความปราณี แต่ในประโยคสุดท้ายที่เขาบอกว่าขอให้โชคดีก็คือการขอบคุณแบบอ้อม ๆ เพราะท้ายที่สุดทุกคนก็รู้ดีว่าคำสั่งนี้คือคำสั่งส่งยานรบและทหารหลายพันนายไปลงนรก แต่มันก็เป็นคำสั่งที่จำเป็นเพราะพวกเขาจำเป็นจะต้องยืนยันสถานะของศัตรู
หลังจากระบบสื่อสารสิ้นสุดลงไปทั่วทั้งห้องบัญชาการก็ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วง
“เตรียมพร้อมเปิดระบบวาร์ปได้ ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าใครหน้าไหนที่มันกล้ามาปรากฏตัวใกล้ ๆ นครหลวงของพันธมิตร!” เรดี้ตะโกนออกมาเสียงดัง
“จำนวนยานรบปริศนาเพิ่มขึ้นมาเกินกว่า 20,000 ลำแล้วครับ หลังจากที่เราตรวจสอบสัญญาณเรดาร์เราสามารถยืนยันได้แล้วครับว่าฝ่ายตรงข้ามคือยานรบของเซิร์ก” เจ้าหน้าที่สื่อสารกล่าวรายงานขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
“ฉันไม่สนหรอกว่าพวกมันจะเป็นใคร พวกเราต้องไปที่นั่นเพื่อยืนยันด้วยตาของตัวเอง รีบทำตามคำสั่งของฉันเดี๋ยวนี้” เรดี้สั่งการด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด
ไม่กี่นาทีต่อมารูหนอนขนาดใหญ่ก็ถูกเปิดออกด้านหน้ายานสกอร์เปี้ยน และถึงแม้ว่ายานลำนี้จะรับใช้กองทัพมานานหลายสิบปี แต่มันก็ได้ถูกดูแลอย่างดีจนทำให้มันมีสภาพเหมือนใหม่
ปัจจุบันเรดี้กำลังเดินกลับไปที่เก้าอี้กัปตันด้วยขาอันสั่นเทา เพราะเมื่อความตายใกล้เข้ามามนุษย์ย่อมรู้สึกหวาดกลัวเป็นเรื่องธรรมดา และถึงแม้ว่าเขาตะโกนออกคำสั่งไปอย่างกล้าหาญ แต่ภายในใจของเขากลับรู้สึกสั่นไหวอย่างรุนแรง
“ช่วงเวลานี้ส่งจดหมายกลับไปหาคนในครอบครัวซะ” เรดี้สั่งการขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
หลังจากเคลื่อนที่ผ่านรูหนอนในที่สุดยานลาดตระเวนหน่วยที่ 17 ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ปลายทาง ซึ่งลูกเรือทุกคนต่างก็มองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับตั้งคำอธิฐานตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขานับถือ
อย่างไรก็ตามภาพที่ปรากฏกลับทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวัง เพราะยานของพวกเขาถูกล้อมรอบด้วยยานรบรูปร่างแปลกประหลาดหลายหมื่นลำ และทำให้พวกเขาเปรียบเสมือนกับหยดน้ำเล็ก ๆ ที่กำลังร่วงหล่นลงไปในท้องทะเล
“รีบส่งภาพถ่ายทอดสดกลับไปที่ศูนย์บัญชาการเดี๋ยวนี้! แล้วรีบเปิดสัญญาณเตือนให้กองยานของพวกเขาถอยกลับไป เปิดใช้งานระบบอาวุธเต็มกำลัง ล็อกเป้าหมายไปที่ยานรบที่อยู่ใกล้ที่สุด!” เรดี้ตะโกนสั่งการ
“กัปตันครับผมว่ามันไม่มีประโยชน์หรอกครับ” ทหารร่างผอมที่ดูแลระบบอาวุธกล่าวขึ้นมาขณะที่น้ำตายังคงนองหน้า
“ไม่มีประโยชน์ก็ช่างมัน!! พวกเราเป็นทหารและนี่ถือเป็นหน้าที่ที่พวกเราต้องรับผิดชอบ!!!” เรดี้ส่งเสียงร้องคำรามออกมาอย่างดุดัน
เหล่าทหารผงะไปครู่หนึ่งก่อนที่พวกเขาจะนึกขึ้นได้ว่าภารกิจของพวกเขาคือทำลายศัตรูที่กล้ารุกรานเข้ามาใกล้พันธมิตร และถึงแม้ว่าศัตรูจะมีเพียงแค่ 1 ลำหรือหลายหมื่นลำ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องทำหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ
วินาทีต่อมาขีปนาวุธก็ถูกยิงเข้าใส่ยานรบของเซิร์ก แต่ความพยายามของพวกเขาราวกับเด็กน้อยที่พยายามต่อสู้กับยักษ์ และในนาทีต่อมาลำแสงเลเซอร์จำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกปล่อยออกมาทำลายยานลาดตระเวนหน่วย 17 ให้กลายเป็นผุยผง
ทันทีที่การจู่โจมสิ้นสุดลงในที่สุดสงครามระหว่างมนุษย์กับเซิร์กครั้งที่ 2 ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ…
***************
เอาแล้วพี่เฟย โดนแผนล่อเสือออกจากถ้ำ!