บทที่ 15 ซื้อยารวบรวมปราณ
ในตอนแรก ซุนซิงคิดว่าหญ้าห้ามเลือดคุณภาพสูงเหล่านี้มีจำนวนจำกัด บางทีหลินเป้ยอาจจะบังเอิญได้รับมา
มันจึงมีปริมาณจำกัด และยากที่จะได้รับหญ้าห้ามเลือดคุณภาพแบบนี้อีก
"ตกลง" ด้วยการยืนยันของหลินเป้ย ซุนซิงตกตะลึง โดยไม่คาดคิดว่าหลินเป้ยยังคงมีหญ้าห้ามเลือดแบบเดิมอยู่
แน่นอนว่าหลินเป้ยไม่รู้ว่าผงห้ามเลือดกำลังขายดี
ชุดที่แล้ว ทำเงินให้ร้านร้อยโอสถได้เป็นจำนวนมาก อย่างน้อยสี่ถึงห้าพันตำลึง
ราคาของผงห้ามเลือดก็ค่อนข้างแพง หญ้าห้ามเลือดต้นหนึ่งสามารถกลั่นเป็นผงห้ามเลือดได้หลายขวด
"คราวนี้ท่านมีเท่าไหร่?" ซุนซิงถาม
“ไม่มาก แค่เก้าร้อย”หลินเป้ยกล่าว
“อะไรนะ?” ซุนซิงตื่นเต้นจนแทบยืนนิ่งไม่ได้ เพราะคิดว่าตนได้ยินผิด
“เก้าร้อยต้น ทำไมเหรอ?”หลินเป้ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ทำไมตื่นเต้น?
"ได้โปรดพาข้าไปดูหน่อย" ซุนซิงรู้ว่าเขาสูญเสียความสงบไปแล้ว ขนาดเขาเป็นเจ้าของร้านใหญ่ และเคยเห็นอะไรที่มากกว่านี้มาก่อน ยังอดใจไม่ไหว!
ดังนั้นหลินเป้ยจึงพาซุนซิงออกไปนอกประตู เปิดดูกระสอบทุกใบ แน่นอนว่าคุณภาพก็เหมือนกับเมื่อวาน
แต่ละต้นมีขนาดใกล้เคียงกัน เหมือนมันถูกเพาะปลูก มากกว่าที่จะหาได้ตามธรรมชาติ
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าถูกเพาะปลูกขึ้นมา มันจะมีคุณภาพสูงได้อย่างไร?
ต้องเป็นสมุนไพรที่เติบโตขึ้นในดินแดนสมบัติบางแห่งถึงจะมีผลดังกล่าว
ฤทธิ์ทางยาเทียบได้กับหญ้าห้ามเลือดอายุ 20 ปี
หญ้าห้ามเลือดที่มีอายุมากกว่า 20 ปีเท่านั้นที่สามารถทำให้แผลตกสะเก็ดภายในสองชั่วโมง และหายดีภายในวันเดียว
แต่สมุนไพรห้ามเลือดอายุ 20 ปีหายากและมีราคาแพง และส่วนใหญ่จะใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงยา ดังนั้นจะใช้ทำผงห้ามเลือดได้อย่างไร
นี่ไม่เกินไปหน่อยเหรอ?
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ซุนซิงก็ตรวจสอบเสร็จสิ้น และด้วยความช่วยเหลือจากเสี่ยวเอ้อ เขาก็ทำสินค้าคงคลังจนแล้วเสร็จ รวมทั้งหมด 900 ต้น
“900 ต้น ราคาเมื่อวานต้นละ 30 ตำลึง ท่านคิดว่าอย่างไร?” ซุนซิงถามหลินเป่ย
“ไม่มีปัญหา”หลินเป้ยพยักหน้า
หลินเป้ยไม่รู้วิธีการปรุงยา และเขาไม่รู้วิธีจัดการโอสถ ดังนั้นเขาจึงสามารถขายมันให้กับร้านร้อยโอสถได้ ในราคาดังกล่าวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขามีระบบไร่นาเซียน และโดยพื้นฐานแล้วไม่มีค่าใช้จ่ายในการปลูกสมุนไพร ยกเว้นค่าเช่า 10 แต้มต่อวัน
การทำผงห้ามเลือดด้วยตัวเองจะใช้เวลามากเกินไป ดังนั้นการขายหญ้าห้ามเลือดจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าในตอนนี้
ความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย เป็นสถานการณ์ที่ชนะทั้งคู่
ในไม่ช้า เจ้าของร้านซุนซิงก็นำหินวิญญาณสองก้อนและทองคำบางส่วนไปให้หลินเป้ย
หินวิญญาณหนึ่งก้อนเทียบเท่ากับเงินหนึ่งหมื่นตำลึง ซึ่งเป็นสกุลเงินทั่วไปสำหรับผู้บ่มเพาะระดับสูงบางคน
แน่นอนว่าธุรกรรมจำนวนมากสามารถแลกเปลี่ยนกับหินวิญญาณได้ ดังนั้นจึงสะดวกต่อการพกพา
มิฉะนั้นถ้ามันต้องใช้เงินทั้งหมดจำนวนมาก เช่นนี้จะไม่สะดวกเลย
หลินเป้ยรับเงินด้วยรอยยิ้ม
"ยังไงก็ตาม เจ้าของร้าน ข้าจะซื้อโอสถรวบรวมปราณ(จูฉีตัน)"หลินเป้ยกล่าว
ระบบกล่าวว่า การกลืนเม็ดยาสามารถเพิ่มค่าประสบการณ์ได้ด้วย ดังนั้นหลินเป้ยจึงวางแผนที่จะลอง!
โอสถรวบรวมปราณเป็นโอสถระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นโอสถขั้นพื้นฐานที่สุด ซึ่งบรรจุพลังงานทางจิตวิญญาณจำนวนมาก
หลังจากที่ผู้บ่มเพาะกลืนและดูดซับแล้ว จะสามารถปรับปรุงการฝึกฝนของพวกเขาได้
สมาชิกของตระกูลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหลายคน จะรับยาเพื่อปรับปรุงการบ่มเพาะของพวกเขา
นี่คือเหตุผลที่สมาชิกของกองกำลังใหญ่ฝึกฝนเร็วกว่าคนทั่วไป
ในหลายกรณี ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะ พวกเขาเป็นอัจฉริยะมากกว่า แต่เป็นเพราะว่าตระกูลของพวกเขาร่ำรวย และมีทรัพยากรมาก
"ได้ เราคือร้านร้อยโอสถ ที่นี่เรามีโอสถมากมายแม้แต่โอสถระดับสาม"ซุนซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นี่เป็นเพียงเมืองเล็กๆ ราคาของโอสถระดับสาม นั้นสูงมากจนหลายคนไม่สามารถจ่ายได้ โอสถระดับหนึ่ง และระดับสอง นั้นเป็นสินค้าหลัก
"โอสถรวบรวมปราณที่เรามีอยู่ที่นี่ คือโอสถรวบรวมปราณระดับต่ำ 20 ตำลึงต่อเม็ด, โอสถรวบรวมปราณ ระดับกลาง 40 ตำลึงต่อเม็ด, ระดับสูง 70 ตำลึงต่อเม็ด และ ระดับสูงสุด 100 ตำลึงต่อเม็ด ไม่ทราบว่าท่านต้องการโอสถรวบรวมปราณประเภทไหน?” ซุนซิงเดินไปที่เคาน์เตอร์และแนะนำโอสถเหล่านี้
"ขอโอสถรวบรวมปราณระดับสูงสุดสิบเม็ดมาให้ข้า" หลินเป่ยพูดอย่างโอ่อ่า
จะซื้อของทั้งทีก็ต้องซื้อของดีๆ!
แน่นอน และตอนนี้เขาไม่ได้ขาดเงินก้อนนี้สักหน่อย
โอสถระดับสูงสุด อาจกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดของโอสถ แทบไม่มีสิ่งเจือปนและไม่มีผลตกค้างในร่างกาย
สำหรับเม็ดยาระดับอื่นๆนั้น ประสิทธิภาพและความบริสุทธิ์ของมันไม่ได้ดีเท่ากับระดับสูงสุด
สิ่งที่เรียกว่าโอสถ ไม่ได้หมายความว่าสามารถกลืนมันได้โดยไม่มีข้อจำกัด
แน่นอนเมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะทั่วไป
สำหรับหลินเป้ยไม่มีข้อจำกัด เพราะมีระบบคอยดูแลอยู่!
ดังนั้นหลินเป้ยจึงหยิบทองคำออกมา 10 ก้อนและซื้อโอสถรวบรวมปราณระดับสูงสุด 10 เม็ด
ทองคำหนึ่งก้อนเทียบเท่ากับเงิน 100 ตำลึง
หลังจากทำธุรกรรมเสร็จสิ้น หลินเป้ยก็ออกไปชำระค่าจ้างของคนงานเหล่านี้แล้วเดินจากไป
แต่สิ่งที่หลินเป้ยไม่ได้สังเกตก็คือธุรกรรมระหว่างหลินเป้ยและเจ้าของร้าน ตกอยู่ในสายตาของสมาชิกตระกูลโจว
สมาชิกตระกูลโจวเห็นกับตาตัวเองว่า เจ้าของร้านส่งกระเป๋าหนักๆให้กับหลินเป่ย และยังเห็นหลินเป่ยจ่ายเงินซื้อโอสถรวบรวมปราณระดับสูงสุดสิบเม็ด
แม้ว่าสมาชิกตระกูลโจวจะไม่รู้ว่ามีเงินอยู่ในนั้นเท่าไหร่ แต่หญ้าห้ามเลือดหลายสิบถุงที่อยู่ข้างนอกนั้น มีมูลค่าอย่างน้อยสามหรือสี่พันตำลึงในราคาปกติ
เมื่อเห็นว่าหลินเป้ยมีเงินมากมาย ความคิดก็แวบเข้ามาในหัวของเขา
หลินเป่ยคือขยะไร้ค่า ข้าไม่รู้ว่าเขาพบหญ้าห้ามเลือดจำนวนมากจากที่ไหน และได้โชคลาภมา
เขาช่างโชคดีอะไรเช่นนี้!
เงินไม่กี่พันตำลึงก็เพียงพอที่จะทำให้เขาต้องการปล้นหลินเป้ย
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังซื้อโอสถรวบรวมปราณระดับสูงสุด ซึ่งมีราคา 1000 ตำลึง และเขาไม่แม้แต่จะหลบซ่อน แม้ว่าเขาจะซื้อ 10 เม็ดพร้อมกันก็ตาม
สมาชิกตระกูลโจวคนนี้คือโจวหยวน หนึ่งในอัจฉริยะของตระกูลโจว ความแข็งแกร่งของเขาได้ถึงนักรบฝึกหัดขั้นเก้าแล้ว และในบรรดารุ่นหลังของตระกูลโจว เขายังเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรก!
นอกจากนี้ยังมีบิดาเป็นผู้อาวุโสซึ่งมีสถานะในตระกูลโจวไม่ต่ำทราม
ในฐานะสมาชิกของตระกูลโจว ค่าใช้จ่ายรายเดือนของเขาสูงถึง 200 ตำลึง!
แต่เมื่อเทียบกับหลายพันตำลึง นี่เป็นเงินเพียงเล็กน้อย
ตระกูลโจว เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองชิงหลิน ซึ่งอยู่ในอันดับที่สองในสี่ตระกูล
ตระกูลหลิวเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง แต่ค่อนข้างเก็บตัว
(พระเอกอยู่ตะกูลหลิน 林 นะครับ ไม่ใช่ตระกูลหลิว 柳 )
หากบางคนไม่ทราบอันดับ พวกเขาอาจคิดว่าตระกูลโจว เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองชิงหลิน
ตระกูลหลิว มีสมาชิกไม่มากนัก มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น แต่มีบรรพบุรุษอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์นักรบ(หวู่ซ่ง)
ผู้ซึ่งนั่งอย่างมั่นคงบนบัลลังก์คนแรกในเมืองชิงหลิน ดังนั้นตระกูลหลิว จึงเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในชิงหลิน
สำหรับตระกูลโจว มีข่าวลือว่าผู้นำตระกูลเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์นักรบ(หวู่ฉี)ครึ่งก้าว ที่อีกนิดเดียวก็เข้าสู่ระดับมหาปรมาจารย์นักรบ(หวู่ซ่ง)
เขาเก็บตัวเป็นเวลานานเพื่อทะลวงผ่านระดับมหาปรมาจารย์นักรบ และยังไม่มีผู้ใดทราบ ว่าเขาบรรลุระดับนั้นแล้วหรือยัง
ถัดไปคือตระกูลจ้าว อันดับที่สามและตระกูลหลิน อันดับที่สี่
เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่ตระกูลหลินเริ่มเติบโต และภูมิหลังยังไม่เพียงพอ
จำนวนของนักสู้ที่แข็งแกร่งก็น้อยที่สุดในบรรดาสี่ตระกูลหลัก
หลินเป้ยกำลังเดินไปที่ร้านอาวุธ เขาวางแผนที่จะซื้อของบางอย่างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าสู่ภูเขาเทียนหยาง
ด้วยเงินมากกว่า 20,000 ตำลึงในกระเป๋าของเขา เขาต้องการซื้ออาวุธวิญญาณที่มีประโยชน์สักชิ้น
ซึ่งจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาไปสู่ระดับที่สูงขึ้น!
ไม่ใช่ว่าหลินเป้ยไม่เคยคิดที่จะซื้อในระบบห้างสรรพสินค้า แต่ของในระบบมีราคาแพงเกินไป
อาวุธวิญญาณขั้นต่ำระดับหนึ่ง ต้องการอย่างน้อย 10,000 แต้ม ซึ่งเทียบเท่ากับ 10,000 ตำลึง
สำหรับอาวุธวิญญาณขั้นต่ำระดับหนึ่งของร้านอาวุธ พวกเขามีราคาเพียง 2000 ตำลึงเท่านั้น
เวันแต่สมองของเขาจะมีหลุมเท่านั้นแหละ เขาถึงจะซื้อของในระบบ!