บทที่ 12 สแกนทักษะต่อสู้
เมื่อหลินเฉิงได้ยินสิ่งที่ชายชราพูด สีหน้าของเขาก็ซีดลง
กล่าวคือ โอกาสที่เขาจะได้รับทักษะต่อสู่ฟรี เมื่อเขาบรรลุขั้นสิบนั้นหายไปแล้ว
ในเวลานั้น หากเจ้าต้องการเรียนทักษะต่อสู้ เจ้าต้องจ่าย 250 ตำลึง ซึ่งราคานี้ถือว่ามหาศาลสำหรับผู้บ่มเพาะทั่วไป
มันเทียบเท่ากับเงินในกระเป๋าของเขามากกว่าสองเดือน เพราะเขาได้รับเพียง 100 ตำลึงต่อเดือนเท่านั้น
100 ตำลึงต่อเดือน เมื่อเทียบกับค่าครองชีพของครอบครัวธรรมดา จะใช้จ่ายในบ้านได้มากกว่าครึ่งปี แต่เมื่อเทียบกับหลินเฉิงแล้ว มันเป็นเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
ใบหน้าของหลินเฉิงซีดเซียว การลงโทษแบบนี้ไม่หนักหรือเบา และมันก็ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายชราคนนี้ เขาไม่กล้าแสดงความไม่พอใจต่อชายชรา
หลินเฉิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า: "ข้าขอโทษท่านบรรพบุรุษ มันเป็นความหุนหันข้า และข้าเต็มใจที่จะยอมรับการลงโทษ"
การแสดงออกภายนอกของหลินเฉิงดูเต็มใจ แต่ข้างในเริ่มสาปแช่งแล้ว
เมื่อเห็นหลินเฉิงเช่นนี้หลินเป้ยก็รู้สึกขบขัน เขาเป็นคนเสแสร้งจริงๆ
“ฮึ่ม จำไว่เป็นบทเรียนละกัน!” ชายชราตะคอกอย่างเย็นชา แล้วนั่งลงที่เดิมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลินเฉิงจ้องมองหลินเป้ยอย่างโมโหและขู่ว่า: "หลินเป้ย อย่าตกอยู่ในมือของข้าในอนาคต ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจ!"
ตอนนี้เขาไม่กล้าทำอะไรกับหลินเป้ยอีกต่อไป เขาได้รับบทเรียนแล้ว ถ้าเขาทำอีกครั้ง บางทีชายชราอาจไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปในหอตำราอีก
“โอ้ มาเถอะถ้าเจ้ามีความสามารถ” หลินเป่ยยิ้มเบา ๆ
เป็นเพียงแค่นายน้อยรุ่นที่สองเท่านั้น หลินเป้ยจะต้องกลัวเขาหรือไง?
แม้แต่หลินหลง ผู้อาวุโสหกของตระกูล ข้าก็ยังไม่กลัว ข้าจะกลัวแค่ขยะนักรบฝึกหัดขั้นแปดได้ยังไง?
ระบบคือไพ่ตายของเขา หญ้าห้ามเลือดชุดใหม่จะเติบโตในอีกไม่กี่วัน และถ้าเขาขายมันในเวลานั้น เขาสามารถสร้างรายได้มากกว่า 20,000 ตำลึง
หลังจากมีเงินหลินเป้ยสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆได้มากขึ้น
ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงหุ่นเชิดปรมาจารย์นักรบ(หวู่ฉี) แม้แต่หุ่นเชิดมหาปรมาจารย์นักรบ(หวู่ซ่ง) ก็สามารถแลกเปลี่ยนได้
ขอบเขตต่อไปของปรมาจารย์นักรบ คือ มหาปรมาจารย์นักรบ
แน่นอนว่านี่เป็นเช่าชั่วคราวเท่านั้น หากต้องการแลกเปลี่ยนอย่างถาวร ราคาก็ไม่แพง แต่อย่างไรก็ตามหลินเป้ยไม่สามารถจ่ายได้ในตอนนี้
หลังจากที่หลินเป้ยพูดจบ เขาก็ไม่สนใจหลินเฉิงแต่มาหาชายชราและพูดว่า "ข้ากลายเป็นผู้บ่มเพาะแล้ว และข้าก็มาที่นี่เพื่อเรียนรู้ทักษะการต่อสู้"
ทันทีที่คำพูดของหลินเป้ยจบลง สมาชิกตระกูลที่อยู่รอบๆ ก็ผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่า หลินเป่ยบอกว่าเขากลายเป็นผู้บ่มเพาะแล้ว นี่มันเรื่องตลกเหรอ?”
“ฮ่าฮ่า ไม่คาดคิดว่าหลินเป่ยจะหน้าหนา และบอกว่าเขากลายเป็นผู้บ่มเพาะ ดูเหมือนว่าเขาจะบ้าไปแล้ว?”
หลายคนไม่เชื่อคำพูดของหลินเป้ย เพราะตอนนี้หลินเป้ยอายุสิบเจ็ดปีแล้วและเขาพลาดช่วงอายุที่ดีที่สุดที่จะเริ่มฝึกฝนไปนานแล้ว
หลายคนเริ่มออกกำลังกายเมื่ออายุได้เจ็ดหรือแปดขวบเพื่อวางรากฐานสำหรับการบ่มเพาะ และพวกเขามักจะเข้าสู่ผู้บ่มเพาะเมื่ออายุประมาณสิบขวบ
เวลาที่ดีที่สุดในการเข้าสู่นักรบฝึกหัดควรเป็นก่อนอายุสิบหกปี ยิ่งเร็วยิ่งดี
หลินเป้ยมีอายุมากกว่าสิบหกปีแล้ว โดยทั่วไป หากเขาเข้าสู่ผู้บ่มเพาะหลังจากอายุสิบหกปี เขาจะเริ่มช้ากว่าคนส่วนใหญ่ เขาจะพลาดเวลาที่ดีที่สุดในการวางรากฐาน และความสำเร็จในอนาคตมีจำกัด
แน่นอน เว้นแต่จะมีทรัพยากรจำนวนมาก ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลหลินจะทุ่มเททรัพยากรมากมายให้กับคนที่เริ่มต้นช้าได้อย่างไร
หลินเป้ยไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มผู้บ่มเพาะมาหลายปีแล้ว เพราะหลังจากตรวจร่างกายของเขาแล้ว ร่างกายของหลินเป้ยนั้นไร้ประโยชน์
เส้นลมปราณของเขายุ่งเหยิงและถูกปิดกั้น!
แพทย์หลายคนยังคร่ำครวญว่าเป็นปาฏิหาริย์แค่ไหน ที่หลินเป้ยยังมีชีวิตอยู่ด้วยร่างกายเช่นนี้
ดังนั้นสมาชิกของตระกูลหลินเหล่านี้ จึงไม่เชื่อว่าหลินเป้ยสามารถฝึกฝนได้และคิดว่าหลินเป้ยกำลังพูดเรื่องไร้สาระ
ชายชรามองไปที่หลินเป้ยโดยไม่มีสายตาดูถูก
“แสดงออกมา” ชายชราพูดอย่างใจเย็น
"ตกลง" หลังจากที่หลินเป้ยพูดจบ เขาก็ปล่อยลมปราณนักรบผึกหัดขั้นสี่ออกมา ซึ่งออร่านั้นแข็งแกร่งกว่าขั้นสี่ทั่วไปมาก
“นักรบผึกหัดขั้นสี่” สมาชิกบางคนของตระกูลหลิน อุทานหลังจากรู้สึกถึงออร่าบนร่างของหลินเป้ย
สายตาหลายคนเต็มไปด้วยความตกตะลึง ขยะในความทรงจำกลายเป็นผู้บ่มเพาะนักรบผึกหัดขั้นสี่ได้ยังไง?
“ถูกต้อง นักรบผึกหัดขั้นสี่ เอาล่ะ เจ้าสามารถเข้าไปข้างในและเลือกทักษะต่อสู้และตำราบ่มเพาะ ด้านซ้ายเป็นพื้นที่ทักษะต่อสู้และตำราบ่มเพาะระดับหนึ่ง และด้านขวาคือระดับสอง” ชายชรากล่าว
สามารถมองเห็นความโล่งใจในดวงตาของเขา เขารู้ว่าหลินเป้ยนี้เป็นความอัปยศของตระกูลหลิน
ในใจของทุกคน ทุกๆปีในการประชุมประจำปีของตระกูลหลิน สมาชิกจำนวนมากจะหาข้ออ้างเพื่อทำให้หลินเป้ยเสียหน้า
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่หลินเป้ยได้แต่ทนอยู่อย่างเงียบๆ ด้วยเหตุนี้ชายชราจึงจำหลินเป้ยได้ และเขาก็รู้สึกโล่งใจเช่นกันที่เห็นว่าหลินเป้ยกลายเป็นผู้บ่มเพาะ
ท้ายที่สุดหลินเป้ย ก็เป็นลูกหลานของเขาเช่นกัน
สำหรับหลินเฉิงที่ยืนอยู่ข้างหลังหลินเป้ย การแสดงออกของเขาดูงุนงง
เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้า เมื่อกี๊เขาเอาแต่ด่าว่าหลินเป่ยที่ไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้เพราะขาดการฝึกฝน
แต่ในพริบตาเดียว หลินเป่ยก็แสดงขอบเขตนักรบฝึกหัดขั้นสี่ของเขาออกมา
ปวดแก้มยิ่งนัก!
ในเวลาเดียวกัน เขายังรู้สึกว่าหลินเป่ยตั้งใจกวนเขาในตอนนั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาสามารถหลบการโจมตีของเขาได้
ความเกลียดชังต่อหลินเป้ยในใจของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อืม มันเป็นเพียงนักรบฝึกหัดขั้นสี่ เขาเป็นนักรบฝึกหัดขั้นแปด
เขาสามารถบดขยี้ไอ้ขยะนี้ได้อย่างแน่นอน
แม้ว่าหลินเป้ยจะสามารถฝึกฝนได้ แต่ในสายตาของหลินเฉิง เขาก็ยังไม่ใช่ภัยคุกคาม ไม่ว่ายังไง หลินเป้ยก็ยังเป็นเพียงแค่ขยะ
“ขอบคุณ ท่านบรรพบุรุษ”หลินเป้ยทำความเคารพ จากนั้นเข้าสู่พื้นที่ทักษะต่อสู้ลำดับหนึ่งทางด้านซ้าย
สมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลหลิน ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับหลินเป้ย
นี่คือศาลาหอตำรา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถสร้างปัญหาได้ วันนี้พวกเขาเห็นจุดจบของหลินเฉิงแล้ว
นอกจากนี้ พวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูกับหลินเป้ย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องยั่วยุ
ไม่ใช่ทุกคนที่หยิ่งยโสเหมือนหลินเฉิง
หลินเป้ยหยิบหนังสือทักษะต่อสู้ที่เรียกว่าทักษะดาบรวมปราณ(เจี้ยนฉีจื้อ)ขึ้นมา
<ติ๊ง ระบบตรวจพบทักษะการต่อสู้ระดับหนึ่ง ทักษะดาบรวมปราณ(เจี้ยนฉีจื้อ)โฮสต์ต้องการเรียนรู้มันไหม>
ในเวลานี้ระบบก็ดังขึ้น
“หือ? ระบบสามารถช่วยข้าฝึกทักษะต่อสู้ได้ด้วยเหรอ?” หลินเป้ยถามระบบในใจของเขา
<แน่นอน ตราบใดที่โฮสต์มีทักษะการต่อสู้อยู่ในมือ และใช้คะแนนจำนวนหนึ่ง ระบบจะสามารถช่วยโฮสต์ฝึกฝนทักษะต่อสู้ให้สำเร็จได้โดยตรง> ระบบตอบกลับ
"สุดยอด ฟังก์ชันนี้ทรงพลังมาก"หลินเป้ยรู้สึกตื่นเต้นใสก
"ต้องใช้กี่คะแนนในการเรียนรู้ทักษะนี้"หลินเป้ยถาม
<กำลังดำเนินการสแกน การสแกนเสร็จสิ้นแล้ว หากต้องการเรียนรู้ทักษะดาบรวมปราณ โฮสต์ต้องใช้ 100 แต้ม และโฮสต์สามารถเข้าสู่ระดับเริ่มต้นได้โดยตรง หากโฮสต์ต้องการปรับปรุงความสามารถ โฮสต์สามารถฝึกฝนได้เองหรือจะใช้คะแนนเพื่อพัฒนาได้ ทุกๆหนึ่งขั้นย่อยใช้ 100 แต้ม >ระบบตอบกลับ