บทที่ 10 ศาลาหอตำรา
บทที่ 10 ศาลาหอตำรา
หลินเป้ยกลับบ้านพร้อมกับอาหารอร่อย และทันเวลาที่ได้พบหลินเทียนที่บ้านของเขา
หลินเทียนอยู่คนเดียว ในขณะที่หลินเป้ยและหลินหลิงเอ๋ออยู่ด้วยกัน
หลินเทียนจะมาเยี่ยมหลินเป้ยเป็นครั้งคราวเพื่อให้ค่าครองชีพแก่เขา และไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่น
“ท่านพ่อ” หลินเป้ยร้องเรียกทันทีที่เขาเข้าประตู
“เป้ยเอ๋อ” หลินเทียนมองไปที่หลินเป้ยที่หน้าประตู และเช็กทั่วร่างกาย เพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่
“ข้าได้ยินจากหลิงเอ๋อ วันนี้ผู้อาวุโสหกมารบกวนเจ้าใช่ไหม?” หลินเทียนพูดด้วยความโกรธ
สมาชิกตระกูลหลินเหล่านี้ทำเกินไป และไม่เห็นแก่ตัวเขาเลย
“ข้าสบายดี” หลินเป้ยยิ้ม
เนื่องจากการหลอมรวมของความทรงจำ หลินเป้ยไม่ได้ต่อต้านพ่อชีวิตนี้ต่อหน้าเขา
บางครั้งเขาก็คิดไม่ออกว่า ตัวเขาคือหลินเป้ยแห่งโลกก่อน หรือหลินเป้ยในชีวิตนี้ อย่างไรก็ตามความทรงจำของทั้งสอง ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว
บางที หลินเป้ยบนโลกก่อนอาจเป็นเพียงความฝัน?
“ไม่ ข้าต้องคิดบัญชีกับเขา เขากล้ารังแกเจ้าตอนที่ข้าไม่อยู่ คิดจริงๆ เหรอว่าข้า หลินเทียน ไม่มีตัวตน!” ดวงตาของหลินเทียนเปลี่ยนเป็นเย็นชา
หลังจากพูดจบหลินเทียนก็กำลังจะออกไปคิดบัญชีกับผู้อาวุโสหก
“ท่านพ่อ อย่าไปเลย” หลินเป้ยดึงหลินเทียนไว้ไม่ให้ออกไป ผู้อาวุโสคนหก หลินเป้ยไม่สนใจเขา ด้วยระบบเขาจะแข็งแกร่งขึ้นในไม่ช้า
แต่ตอนนี้ต้องไม่สร้างปัญหาขึ้นมา
ตราบใดที่ หลินเป้ยเต็มใจ เขาสามารถแลกหุ่นเชิดอันทรงพลังเพื่อฆ่าผู้อาวุโสหกโดยตรงได้ทุกเมื่อ
แต่ หลินเป้ยได้ฆ่าหลินฟางลูกชายของเขาแล้ว มันจะโหดร้ายเกินไปไหมที่จะฆ่าพ่อของหลินฟางด้วย?
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหลินเทียนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสหก ผู้อาวุโสหกเป็นปรมาจารย์นักรบขั้นห้า
หลินเทียนเป็นเพียปรมาจารย์นักรบขั้นหนึ่ง และตราบใดที่หลินเทียนใช้ปราณของเขา เขาจะได้รับบาดเจ็บได้ง่าย
หลินเทียนมีปัญหาทางร่างกาย และการระดมปราณจะทำให้ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บ
มีข่าวลือว่า สาเหตุของการเจ็บป่วยของหลินเทียนเกิดจากการผจญภัยก่อนหน้านี้ และไม่สามารถรักษาให้หายได้
เมื่อเห็นหลินเทียนเช่นนี้ หลินเป้ยรู้สึกอบอุ่นในใจ
หลินเทียนรักเขา!
เพื่อช่วยให้หลินเป้ยได้รับความยุติธรรม เขาไม่ลังเลที่จะตามหาผู้อาวุโสใหญ่ แต่หลินเทียนก็พ่ายแพ้ และได้รับบาดเจ็บมากมาย
หลินเทียนยังกลายเป็นตัวตลกของตระกูลหลิน และทั้งหมดนี้อยู่ในความทรงจำของหลินเป้ย
หลินเทียนดีทุกอย่าง ยกเว้นการดื่มเหล้าอย่างหนัก
“เป้ยเอ๋อ ข้าคือพ่อที่ไร้ประโยชน์ ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้” หลินเทียนกล่าวโทษตัวเองอย่างมาก
เมื่อหลินเทียนยังเด็ก เขาก็มีจิตใจสูงส่งเช่นกัน ในตอนนั้น ตระกูลหลินยังได้รับประโยชน์จากความรุ่งโรจน์ของหลินเทียน และจากนั้นพวกเขาก็เติบโตจากตระกูลเล็กๆ กลายเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองชิงหลิน
ถ้าไม่ใช่เพราะหลินเทียน ตระกูลหลินจะกลายเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ได้ยากยิ่งขึ้น
ตอนนี้หลินเทียนตกต่ำลง ตระกูลหลินกลับไม่ปฏิบัติต่อพ่อและลูกชายอย่างอ่อนโยน
จุดนี้ทำให้หลินเทียนรู้สึกแค้นใจจริงๆ!
เมื่อก่อนหลินเทียนเป็นชายที่แข็งแกร่งที่ออกจากอาณาจักรชิงหยาง(อาณาจักรเพลิงคราม) ด้วยการสนับสนุนของหลินเทียน ตระกูลหลินเติบโตจากตระกูลเล็กๆ กลายเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองชิงหลิน
แต่ต่อมาด้วยเหตุผลบาง อย่างฐานการบ่มเพาะของหลินเทียนลดลงอย่างมาก และเขากลับมาพร้อมกับเด็กทารก
เด็กทารกคนนี้คือ หลินเป้ยนั้นเอง
หลินเทียนได้ลดลงไปสู่ระดับปรมาจารย์นักรบระดับหนึ่ง และด้วยอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขา เขาเกือบจะเหมือนคนธรรมดาทั่วไป และตระกูลหลิน ก็ดูถูกเขาตลอดเวลา
ประกอบกับการที่ หลินเป้ยไม่สามารถฝึกฝนได้ มันก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
“ท่านพ่อ ไม่เป็นไร พวกเราจะแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต เพื่อที่พวกเขาจะไม่กล้าหยามพวกเราอีก” หลินเป้ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ยังไงก็ตาม ท่านพ่อ ท่านไม่รู้ว่าข้าสามารถฝึกฝนได้แล้วใช่ไหม?” หลินเป้ยหัวเราะ
หลังจากพูดจบ เขาก็พ่นหายใจออก ลมปราณของนักรบฝึกหัดขั้นสี่ปะทุออกมา
หลินเทียนตกใจมากที่เห็นว่า หลินเป้ยสามารถฝึกฝนได้
“เจ้าฝึกฝนได้จริงหรือ แล้วเจ้ายังอยู่ในขอบเขคนักรบฝึกหัดระดับสี่ด้วย!”
หลินเทียนพูดด้วยความตกใจ ราวกับว่าเขาได้พบกับบางสิ่งที่เหลือเชื่อ
เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของหลินเทียนแล้ว หลินเป้ยก็รู้สึกพอใจ
ตอนนี้พ่อของเขาต้องโล่งใจแล้ว ลูกชายของเขาไม่สูญเปล่า และหลินเป้ยต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นอัจฉริยะ
เขาต้องการทำให้พ่อของเขาภูมิใจในตัวเขา และในขณะเดียวกัน เขาต้องหาทางรักษาอาการบาดเจ็บของหลินเทียน
มิฉะนั้น การจมดิ่งแบบนี้ไปตลอดชีวิตคงเป็นสิ่งที่แย่มาก
"ดี ดี ดี ดูเหมือนว่าเทพเจ้าจะปฏิบัติต่อเราทั้งสองพ่อลูกด้วยความกรุณา" หลินเทียนพูดเพียงเท่านี้ น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาเป็นทาง
ตั้งแต่เด็กจนโต แม้ว่า หลินเป้ยจะได้ยินหลินเทียนถอนหายใจอยู่เสมอ แต่เขาไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้
“เป็นการดีที่เจ้าสามารถฝึกฝนได้ หากเจ้าไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับการเพาะปลูกในอนาคต เจ้าสามารถถามข้าได้ ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าจะไม่ดื่มตามอำเภอใจอีกแล้ว” หลินเทียนพูดทันทีราวกับว่าเขาเห็นแสงริบหรี่
แสงแห่งความหวัง!
หลินเป้ยไม่รู้ว่าทำไม เขาไม่รู้ว่าหลินเทียนกำลังคิดอะไรอยู่
อย่างไรก็ตาม หลินเป้ยไม่ได้ถามเขา ในอนาคตเมื่อเขามีเวลา เขาจะถามทุกสิ่งจากหลินเทียน
หลินเทียนดูเหมือนจะมีเรื่องราว นอกจากนี้หลินเทียนไม่เคยพูดถึงแม่ของเขา ทุกครั้งที่เขาถามหลินเทียนจะพูดเรื่องอื่นแทน
จากนั้นทั้งสามคนก็ทานอาหารร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อย ครั้งนี้หลินเทียนไม่ดื่ม และดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจเริ่มต้นใหม่แล้วจริงๆ
หลังจากที่หลินเทียนจากไป หินหลิงเอ๋อก็ทำความสะอาดบ้าน และหลินเป้ยก็กลับไปที่ห้องของเขาเพื่อเริ่มบ่มเพาะ
วันรุ่งขึ้น หลินเป้ยลืมตาขึ้นและพูดไม่ออกเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นว่าคะแนนประสบการณ์ของเขาเพิ่มขึ้นเพียงห้าแต้ม
หลินเป้ยถามระบบ หากเจ้าต้องการเพิ่มค่าประสบการณ์ เจ้าสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิต กลืนวัสดุธรรมชาติและสมบัติ ยาโอสถ ฯลฯ และเจ้ายังสามารถปรับแต่งค่ายกล ปรุงยา และสร้างอาวุธจิตวิญญาณ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเพิ่มคะแนนประสบการณ์
ค่าประสบการณ์เท่าไหร่ระบบจะตัดสินเอง
มีหลายวิธีในการเพิ่มพูนค่าประสบการณ์
แต่ตอนนี้หลินเป้ย เลือกที่ออกล่าสัตว์อสูร ตราบใดที่พวกมันตายด้วยน้ำมือของหลินเป้ยหรือสัตว์เลี้ยงวิญญาณ
พวกเขาจะได้รับค่าประสบการณ์?
แต่ความแข็งแกร่งของหลินเป้ยยังอ่อนแออยู่ และไม่ใช่เรื่องปลอดภัยนักที่จะรีบเข้าไปในภูเขาเทียนหยาง
แม้ว่าเสี่ยวเฮยจะคอยช่วยเหลือก็ตาม!
ในปัจจุบัน หลินเป้ยก็ยังรู้สึกว่าการฆ่าสัตว์อสูรนั้น เหมาะสมกับสถานการณ์ของหลินเป้ยมากที่สุด
“ในตระกูล ถ้าสามารถฝึกฝนได้ ก็สามารถไปหอตำรา เพื่อรับทักษะต่อสู้ได้” ดวงตาของหลินเป้ยเป็นประกาย
เขาเรียนรู้เพียงหมัดเปลวเพลิง(เหยียนฮั่วฉวน)เพียงทักษะเดียวเท่านั้นซึ่งได้รับเป็นของขวัญจากระบบ
ทักษะต่อสู้นั้นใช้ได้จำกัดเกินไป และความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นก็มีจำกัด
หากมีืักษะต่อสู้อีกสองสามอย่าง หลินเป้ยสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาในทุกด้าน มันจะค่อนข้างจะปลอดภัย ถ้าเข้าสู่เทือกเขาเทียนหยาง
ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะต่อต่อสู้ธรรมดาขั้นหนึ่งของระบบ ต้องใช้คะแนนขั้นต่ำ 2,000 แต้มนั้น มีราคาแพงมาก
ตระกูลหลินมีหอตำราให้ทักษะฟรี ถ้าไม่ไปเอาก็โง่สิ!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินเป้ยก็บอกหลินหลิงเอ๋อให้ดูแลบ้าน และถ้าเขาไม่กลับมาก็อย่าไปหาเขา เขาเกรงว่าหลินหลิงเอ๋อจะเจอคนไม่ดีเหมือนครั้งที่แล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นคำแนะนำ หลินเป้ยก็ไปที่ศาลาหอตำลาของตระกูลหลิน
หลินเป้ยไม่เคยเข้าไปในศาลาหอตำรามาก่อน
แต่เคยเห็นข้างนอกไม่กี่ครั้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา เมื่อเขามองดูลูกหลานของตระกูลหลินที่เข้าและออกหอตำรา
เนื่องจากมีเพียงคนในตระกูลที่สามารถบ่มเพาะได้เท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ และการบ่มเพาะ ครั้งหนึ่งเคยเป็นความฝันของหลินเป้ย
ดังนั้นเขาจึงไม่ควรเสียเปล่า!
ตอนนี้เขามีระบบและสามารถฝึกฝนได้ เขาก็มีโอกาสก้าวเข้ามาที่นี่
หลินเป้ยเข้าไปในหอตำรา และมีคนเข้าออกไม่มากนัก
หลินเป้ยต้องการเข้าไปในหอตำรา
แต่ในขณะนี้ เสียงตะโกนอย่างเย็นชาดังมาจากข้างหลังเขา: "หลินเป้ย ไอ้ขยะใช่ไหม นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมา รีบออกไปเร็ว อย่าทำให้ศาลาหอตำราแห่งนี้แปดเปื้อน"