ตอนที่แล้วตอนที่ 368 การตัดสินใจของแอวริล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 370 ดาวพิฆาต

ตอนที่ 369 ก่อนออกเดินทาง


ตอนที่ 369 ก่อนออกเดินทาง

“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ? อย่าบอกนะว่าระบบเรดาร์ใกล้จะเสร็จอยู่แล้วแต่คุณแค่หาข้ออ้างยังไม่บอกเรื่องนี้กับกองทัพ นี่คุณคิดว่าทางกองทัพจะขโมยงานวิจัยของคุณไปจริง ๆ เหรอ?!” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นครับ แต่ผมต้องกลับไปจัดการธุระบางอย่างที่บริษัทจริง ๆ ผมสัญญาว่าหลังจากผมออกแบบผลิตภัณฑ์เสร็จสิ้นผมจะเริ่มทำการผลิตระบบเรดาร์ขึ้นมาในทันที และผมก็จะพยายามติดตั้งระบบเรดาร์ให้กับยานรบทุกลำก่อนที่ผมจะได้ออกเดินทาง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับโบกมืออย่างเร่งรีบ

“ฉันจะเชื่อในสิ่งที่คุณพูดก็ได้ ตอนนี้ฉันได้เตรียมกองยานให้กับคุณแล้ว คุณยังมีอะไรที่ต้องการจะได้รับความช่วยเหลืออีกไหม?” วิลเลียมกล่าว

“จอมพลวิลเลียมช่วยเตรียมสินค้าให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าว

“ถึงแม้ว่าคุณจะได้รับคำสั่งจากกรมทหารให้ไปทำธุรกิจในดินแดนของเซิร์ก แต่คุณก็คงไม่คิดจะให้เราผลิตสินค้าไปให้คุณขายใช่ไหม?” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับหางคิ้วที่เริ่มกระตุก

“สินค้าหลักของบริษัทควอนตัมคืออุปกรณ์เสริมพลังชาร์จ และถึงแม้ว่าผมจะต้องการแต่คุณก็คงจะไม่อยากให้ผมขายของพวกนี้ให้กับพวกเซิร์กใช่ไหมล่ะครับ” เซี่ยเฟยกล่าว

“ถ้าคุณกล้าขายฉันก็กล้าลงโทษคุณในข้อหาให้การสนับสนุนศัตรู” วิลเลียมกล่าว

“นี่ไงเหตุผลที่ทำให้บริษัทเล็ก ๆ ของผมไม่มีสินค้าที่จะส่งไปขายในดินแดนของเซิร์ก ผมเลยขอความช่วยเหลือจากคุณว่าให้ช่วยเตรียมสินค้าส่วนหนึ่งให้ผมนำไปขายในระหว่างการทำภารกิจ” เซี่ยเฟยกล่าว

วิลเลียมเริ่มนวดขมับด้วยความเครียด เพราะไม่ว่าเขาจะพูดอะไรสุดท้ายชายหนุ่มก็จะหาเหตุผลมาแย้งได้อยู่เสมอ

“โอเค เดี๋ยวทางกรมทหารจะทำการจัดเตรียมสินค้าเอาไว้ให้กับคุณเอง ว่าแต่คุณคิดจะขายอะไรให้กับพวกเซิร์ก?”

“ผมขอเป็นพวกของใช้ฟุ่มเฟือย, อาหาร, ของใช้ในชีวิตประจำวันหรืออุปกรณ์อะไรบางอย่างที่ค่อนข้างเตะตาชาวบ้านครับ” เซี่ยเฟยกล่าว

“สิ่งที่คุณพูดมามันแทบจะไม่มีค่าเลยนะ ถึงแม้ว่าคุณจะเอาของพวกนี้ไปขายในดินแดนของเซิร์กจริง ๆ แต่คุณก็แทบที่จะไม่ได้อะไรกลับมาเลย” วิลเลียมกล่าวขึ้นมาอย่างตกตะลึง

“ของพวกนั้นมันไม่จำเป็นจะต้องมีค่ามากนักหรอกครับ ตราบใดก็ตามที่มันเป็นสินค้าที่สามารถมอบเป็นของขวัญให้กับพวกผู้นำของเซิร์กได้ แค่นั้นมันก็ดีพอที่จะเป็นสินค้าให้กับผมได้แล้ว”

“ผมได้เรียนรู้หลังจากที่ผมได้หลงเข้าไปในเขตดาววิลเดอร์เนสว่าพวกชนชั้นสูงของพวกเซิร์ก ชอบใช้สินค้าที่โดดเด่นสะดุดตา และการขายสินค้าประเภทนี้ก็ทำให้พวกลักลอบขนสินค้ากลายเป็นเศรษฐีไปแล้วหลายราย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แล้วอาหารล่ะ? คุณเตรียมเอาไว้ให้กับใคร?” วิลเลียมถาม

“อาหารที่ผมพูดถึงไม่ใช่สินค้าเกษตรโดยทั่วไป แต่เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงรสมาอย่างพิถีพิถันครับ”

“แม้ว่าเซิร์กส่วนใหญ่จะชอบกินพืชแต่พวกเขาก็ชอบกินอาหารของมนุษย์ด้วย ผมจึงวางแผนที่จะมุ่งเน้นการขายสินค้าไปให้กับชนชั้นสูง ดังนั้นสินค้าที่ผมต้องการจึงมุ่งเน้นไปที่รสนิยมของพวกเขาโดยเฉพาะ”

“ผู้นำของเซิร์กคือคนที่มีสติปัญญาสูงที่สุดในบริเวณนั้น ส่วนพวกเซิร์กชั้นล่างก็เป็นเพียงแค่เครื่องจักรที่ปฏิบัติตามคำสั่งโดยปราศจากความคิด ดังนั้นการขายสินค้าครั้งนี้จะทำให้ผมสามารถเข้าถึงผู้นำของเซิร์กได้อย่างง่ายดายมากขึ้นกว่าเดิม แล้วมันก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผมสามารถลงมือทำภารกิจได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น”

วิลเลียมพยักหน้าอย่างเข้าใจหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายจากเซี่ยเฟย

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะเตรียมทุกอย่างที่คุณต้องการเอาไว้ให้”

“ว่าแต่คุณบอกว่าการเดินทางครั้งนี้มีทีมนักธุรกิจเดินทางเข้าไปพร้อมกันทั้งหมดสามทีม แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าทีมนักธุรกิจอีกสองทีมที่จะเดินทางไปพร้อมกับผมด้วยคือทีมของใคร?” เซี่ยเฟยถาม

“อีกสองทีมคือทีมของหลี่กวนและลูกชายจากบริษัทไฟร์สตาร์ไฟแนนซ์ กับทีมของจูซุเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซ” วิลเลียมกล่าว

“บริษัทไฟร์สตาร์ไฟแนนซ์เป็นยักษ์ใหญ่ทางการเงินอันดับ 1 ในพันธมิตรไม่ใช่เหรอครับ? แล้วทำไมพวกเขาถึงได้มาเข้าร่วมปฎิบัติการในครั้งนี้ด้วย?” เซี่ยเฟยถามขึ้นมาด้วยความตกตะลึง

“ธุรกิจหลักของตระกูลหลี่คือธุรกิจทางด้านการเงินจริง ๆ แต่พวกเขาก็มีธุรกิจในด้านอื่น ๆ อยู่ด้วย ในความเป็นจริงทางกรมทหารไม่ได้ตั้งใจที่จะให้ตระกูลหลี่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการปฎิบัติการในครั้งนี้เลย แต่คณะทูตของเซิร์กต้องการสร้างระบบการเงินเป็นของตัวเอง พวกเขาจึงเลือกบริษัทไฟร์สตาร์ไฟแนนซ์ขึ้นมาโดยเฉพาะ” วิลเลียมกล่าว

คำอธิบายนี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออก เพราะเขาไม่สามารถนึกภาพได้จริง ๆ ว่าแมลงตัวใหญ่จะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อซื้อขายหุ้นได้ยังไง และเงื่อนไขของทางคณะทูตเซิร์กในครั้งนี้ก็บอกได้คำเดียวว่าเป็นเงื่อนไขที่โหดเหี้ยมสำหรับฝ่ายพันธมิตรจริง ๆ

การเดินทางไปปฎิบัติภารกิจพร้อมกับหลี่โม่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเซี่ยเฟย แต่การตัดสินใจของกรมทหารก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ในเวลานี้คือเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ในเมื่อพวกเขาตั้งเงื่อนไขให้พันธมิตรต้องส่งบริษัทชั้นนำเข้าไปในดินแดนของพวกเขาแบบนี้ มันก็แสดงว่าพวกเซิร์กควรจะยื่นเงื่อนไขที่ทัดเทียมกลับมาให้ทางฝั่งพันธมิตรด้วยใช่ไหมครับ?” เซี่ยเฟยถาม

“ทางราชาอูดี้ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเต็นท์ทองคำคนปัจจุบันเสนอเงื่อนไขให้ เจ้าหญิงรูซี่นำทีมนักธุรกิจของเซิร์กมาช่วยพันธมิตรพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านอุตสาหกรรมเมืองแร่” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

‘เจ้าหญิงจากเต็นท์ทองคำ? พวกเขาไม่กลัวว่าเจ้าหญิงจะถูกจับเป็นตัวประกันในพันธมิตรหรือยังไง’ เซี่ยเฟยพูดกับตัวเองภายในใจ

“สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ก็ไม่ต่างไปจากทางฝ่ายเรา เพราะถึงแม้ภายนอกจะดูเหมือนคุณถูกส่งไปทำธุรกิจ แต่จริง ๆ แล้วพวกคุณก็กำลังถูกส่งไปเพื่อเป็นตัวประกัน” วิลเลียมกล่าว

“แต่สิ่งที่น่าเศร้ามากยิ่งกว่าคือพวกผมต้องแบกรับภารกิจที่จะต้องพิชิตพวกผู้นำในเต็นท์ทองคำด้วยน่ะสิครับ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเซ็ง ๆ

“นั่นมันยังไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าที่สุดหรอก เพราะเรื่องน่าเศร้าที่สุดคือภารกิจนี้มันเป็นความคิดของนายเอง” วิลเลียมกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ไม่กี่นาทีหลังจากตัดระบบการสื่อสาร วิลเลียมก็ส่งข้อมูลกองยานและรายชื่อของลูกเรือไปให้กับเซี่ยเฟย

การเดินทางในครั้งนี้ถูกกำหนดอย่างชัดเจนว่านอกเหนือจากยานของนักธุรกิจจะมียานรบที่มีระดับไม่เกินยานครุยเซอร์เข้าร่วมเดินทางได้เพียงแค่ 10 ลำเท่านั้น แน่นอนว่ายานบรรทุกสินค้าที่ไม่มีระบบอาวุธย่อมไม่ถูกควบคุมภายใต้ข้อกำหนดนี้

เหตุผลหลักที่พันธมิตรกับเซิร์กกำหนดเงื่อนไขนี้ขึ้นมา นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้กองยานที่แข็งแกร่งรุกล้ำเข้าไปในดินแดนของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงแค่เรื่องตบตา เพราะความเป็นจริงมันคือการแลกเปลี่ยนสายลับเข้าไปยังดินแดนของศัตรู

แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมเดินทางด้วยเบโอเนท ซึ่งเหตุผลที่เขาเลือกยานลำนี้นั่นก็เพราะว่ามันมีพลังทำลายล้างที่ดีไม่ด้อยไปกว่ายานประจัญบาน นอกจากนี้การที่เขาอยู่บนยานที่ไม่โดดเด่นย่อมลดความสนใจของพวกเซิร์กลงไป และถ้าหากว่าพวกเซิร์กตั้งใจที่จะเริ่มจู่โจมจริง ๆ พวกเขาก็คงจะมุ่งความสนใจไปยังกองยานของนักธุรกิจที่เหลืออีกสองกองมากกว่า

“ยานครุยเซอร์รุ่นฟิวรี่ 3 ลำ, ยานครุยเซอร์รุ่นไทแรนท์ 3 ลำรวมกับเบโอเนทของนาย แบบนี้กองยานของนายก็มียานครุยเซอร์อยู่เพียงแค่ 7 ลำเองน่ะสิ นายไม่คิดว่ากำลังรบโดยรวมของมันอ่อนแอเกินไปหน่อยงั้นเหรอ? ทำไมนายถึงไม่เพิ่มยานครุยเซอร์ให้ครบทั้ง 10 ลำไปเลย” อันธกล่าวถามอย่างสงสัย

“การเดินทางครั้งนี้มีกองยานเดินทางไปพร้อมกันทั้งหมด 3 กองยาน และฉันก็ไม่ต้องการที่จะทำตัวเด่นสะดุดตาในดินแดนของศัตรู นายลองคิดดูสิว่าการมียานครุยเซอร์ 7 ลำกับ 10 ลำ ในดินแดนของศัตรูมันเป็นเรื่องแตกต่างกันตรงไหน เพราะท้ายที่สุดกองยานของศัตรูย่อมมีขนาดใหญ่กว่ากองยานของเราอยู่ดี”

“ท้ายที่สุดยานทุกลำก็จะถูกทำลายทั้งหมดเหมือนกันสินะ” อันธกล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงเลือกยานฟิวรี่มา 3 ลำกับเลือกยานไทแรนท์มาอีก 3 ลำ?”

“ทำไม?”

“นั่นก็เพราะยานรุ่นหนึ่งสามารถปล่อยโดรนออกมาได้เป็นจำนวนมาก ส่วนยานอีกรุ่นก็มีเกราะหนาและทนทานเมื่อต้องถูกโจมตี ดังนั้นถ้าหากว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี ฉันก็จะให้ยานรบทั้งหกลำนี้คอยถ่วงเวลาศัตรูเอาไว้ให้กับฉัน”

“แล้วระหว่างนั้นนายจะทำอะไร?”

“หนีน่ะสิถามได้!” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

อันธถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ และถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าชายหนุ่มมีนิสัยที่ชอบทำอะไรอย่างระมัดระวัง แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าเซี่ยเฟยได้พิจารณาสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนที่เขาจะได้ออกเดินทางแล้ว

ปัจจุบันเซี่ยเฟยกำลังสนทนากับแฮร์ริสในหน้าจอสื่อสารอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมง

ท้ายที่สุดถึงแม้ว่าทางกองทัพจะไม่กระตุ้นเขา แต่เซี่ยเฟยก็ตั้งใจจะจัดการระบบเรดาร์แบล็คแบทให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนออกเดินทางอยู่แล้ว เพราะเขากำลังจะเดินทางเข้าไปในดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นถ้าหากว่าเขาไม่สามารถติดต่อกลับมายังพันธมิตรได้เขาก็คงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก

“นี่คือพิมพ์เขียวของระบบสลับขั้วสัญญาณ นายต้องเอามันไปปรับใช้กับระบบเรดาร์แบล็คแบทแล้วค่อยส่งมาให้ฉันทำการตรวจสอบอีกที” เซี่ยเฟยสั่งการ

พิมพ์เขียวนี้ทำให้แฮร์ริสรู้สึกตกใจมาก เพราะมันเป็นพิมพ์เขียวที่ใช้เทคโนโลยีสูงกว่าระดับที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้เสียอีก ที่สำคัญคือมันดูไม่เหมือนกับพิมพ์เขียวที่สามารถหาพบได้โดยทั่วไป

“พิมพ์เขียวนี่มันดูไม่เหมือนพิมพ์เขียวของระบบสลับขั้วสัญญาณในอุปกรณ์ทั่วไปเลย คุณไปเอามันมาจากไหนกันแน่?” แฮร์ริสกล่าวถามอย่างงุนงง

“กรมทหาร” เซี่ยเฟยกล่าวตอบอย่างเฉยเมย

แฮร์ริสพยักหน้ารับอย่างเข้าใจและเขาก็เริ่มรู้สึกว่าอำนาจของเซี่ยเฟยในปัจจุบันสูงกว่าในตอนที่เขาเพิ่งพบกันมาก ถึงขนาดที่ชายหนุ่มสามารถไปเอาพิมพ์เขียวที่เป็นความลับของกรมทหารมาให้กับเขาได้

“อย่าลืมเก็บสำเนาเอาไว้ใช้อ้างอิงในอนาคตด้วยล่ะ” เซี่ยเฟยกล่าวสั่งขึ้นมาอีกครั้ง

แฮร์ริสพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร

ข้อมูลที่กองทัพได้มาไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทุกอย่าง เซี่ยเฟยจึงจำเป็นจะต้องเลือกข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อนำไปปรับใช้กับการพัฒนาระบบเรดาร์แบล็คแบท

โชคดีที่แฮร์ริสมีความรู้พื้นฐานที่ดีอยู่แล้วเขาจึงช่วยให้เซี่ยเฟยประหยัดเวลาไปได้เยอะมาก โดยทั้งสองคนได้แบ่งงานกันอย่างชัดเจน ซึ่งแฮร์ริสมีหน้าที่รับผิดชอบในการออกแบบสินค้าเบื้องต้น ส่วนเซี่ยเฟยมีหน้าที่ในการแก้ไขการออกแบบสินค้าให้ออกมามีปัญหาน้อยที่สุด

หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปพอตเตอร์ก็ได้เข้าร่วมการวิจัยในครั้งนี้ด้วย โดยชายชราได้สร้างแบบจำลองพิเศษขึ้นมาในคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการทดสอบระบบเรดาร์ในสภาวะจำลอง

4 วันต่อมา

“การทดลองเป็นยังไงบ้างครับ?” เซี่ยเฟยถามอย่างจริงจัง

“ระบบเรดาร์เสถียรมากและมันก็ไม่ถูกรบกวนจากคลื่นกระแทกของระเบิดนิวเคลียร์ด้วยซ้ำ” พอตเตอร์กล่าวพร้อมกับขยี้ดวงตาที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเนื่องมาจากการอดนอน

“แล้วผลการทดลองกับระบบจำลองหลุมดำล่ะ?” เซี่ยเฟยหันไปถามแฮร์ริส

“มีโอกาส 99.37% ที่ระบบเรดาร์จะสามารถทะลุผ่านหลุมดำไปได้ ในที่สุดพวกเราก็ทำสำเร็จแล้ว นี่คือสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยสร้างมาเลย!” แฮร์ริสตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

***************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด