ตอนที่ 367 พินัยกรรม
ตอนที่ 367 พินัยกรรม
ในห้องพักของวิลเลียม
เซี่ยเฟยนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับจิบน้ำชาด้วยรอยยิ้ม ขณะที่วิลเลียมก็กำลังยกน้ำองุ่นหวานขึ้นมารับประทานอย่างอร่อยเช่นเดียวกัน
“ก่อนหน้านี้คุณคงรู้สึกกังวลมากเลยใช่ไหม? ขอโทษด้วยที่ฉันเพิ่มราคาขึ้นไปสูงถึงขนาดนั้น” วิลเลียมกล่าว
“ผมคงรับคำขอโทษเอาไว้ไม่ได้หรอกครับ เพราะถ้าหากว่าผมไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณ อุปกรณ์ชิ้นนี้ก็คงจะไม่จบลงในราคาแค่ 4.5 ล้านล้านสตาร์คอยน์” เซี่ยเฟยรีบกล่าวขัดขึ้นมา
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะตอบกลับไปแบบนั้นแต่ภายในใจของเขากลับกำลังรู้สึกขุ่นข้องใจอยู่มากจริง ๆ เพราะท้ายที่สุดการประมูลในราคานี้ไม่เพียงแต่เขาจะต้องใช้เงินที่มีทั้งหมดออกไปเท่านั้น แต่เขายังจะต้องยืมเงินจากทูรามถึง 2 ล้านล้านสตาร์คอยน์อีกด้วย และเมื่อมันได้รวมกับหนี้ที่เขาได้ยืมธนาคารมา มันก็หมายความว่าเขาจะต้องหาเงินมาใช้หนี้ทั้งหมดถึง 4 ล้านล้านสตาร์คอยน์
เงินจำนวนนี้ถือว่าเป็นเงินจำนวนมากมายมหาศาล เพราะบริษัทควอนตัมจะต้องขายสินค้าถึง 2 ปีถึงจะหาเงินจำนวนนี้มาจ่ายหนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเงิน 1 ล้านล้านสตาร์คอยน์ในก่อนหน้านี้ที่เขาถืออยู่ก็เป็นเงินจ่ายล่วงหน้ามาจากทางกรมทหาร ซึ่งครึ่งหนึ่งเขาจะต้องเก็บเอาไว้ใช้สำหรับการเดินทาง และอีกครึ่งหนึ่งต้องเก็บเอาไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
หลังจากคำนวณตัวเลขภายในใจเซี่ยเฟยก็ได้พบว่าบัญชีของเขากำลังเต็มไปด้วยหนี้สิน และถ้าหากว่าในตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดามันก็คงจะทำให้เขาล้มละลายไปแล้วหลายสิบครั้ง
อย่างไรก็ตามด้วยหัวใจจักรวาลสีม่วงจำนวนหลายร้อยตัน ชายหนุ่มจึงไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับการล้มละลาย สิ่งเดียวที่เขาจำเป็นจะต้องทำคือการพยายามหาพ่อค้าที่ไว้ใจได้เพื่อทยอยปล่อยหัวใจจักรวาลพวกนี้ออกไป ซึ่งถ้าหากว่าเขาสามารถหาพ่อค้าคนกลางที่ไว้ใจได้จริง ๆ เขาก็คงจะสามารถหาเงินมาใช้หนี้จำนวนนี้ได้อย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่สนหรอกว่าความจริงคุณจะคิดยังไง แต่ความจริงสำหรับฝั่งฉันคือมันมีสายลับแฝงตัวอยู่ในพันธมิตรจริง ๆ” วิลเลียมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“คุณแน่ใจเหรอครับ?” เซี่ยเฟยอุทานด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“เรื่องนี้ฉันแน่ใจ เท่าที่เราได้รู้ข้อมูลมามันมีเซิร์กบางชนิดมีลักษณะภายนอกเหมือนมนุษย์มากกว่า 90% ซึ่งเซิร์กพวกนี้ก็ได้กระจายแฝงตัวกันอยู่ทั่วทั้งพันธมิตร จนเราก็ไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่าพวกมันมีจำนวนอยู่เท่าไหร่” วิลเลียมกล่าว
“เดี๋ยวก่อนนะ! จู่ ๆ ผมก็นึกอะไรบางอย่างออก เมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนที่ผมหลุดเข้าไปในเขตดาววิลเดอร์เนส ผมบังเอิญได้ไปพบกับพวกบลัดไรเดอร์กำลังลักลอบขนร่างของกลุ่มอาชญากรกลับไปในดินแดนของพวกมัน ตอนนั้นผมจำได้ว่าพวกเซิร์กให้ความสำคัญกับการขนศพมากกว่าการรักชีวิตของตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพวกเซิร์กจะเอาร่างของมนุษย์ไปทำไม?” เซี่ยเฟยกล่าว
“ฉันเคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถสรุปผลการสืบสวนได้ แต่ถ้าหากว่าพวกเซิร์กมีเทคโนโลยีการแฝงร่างเข้าไปในศพมนุษย์แบบนี้ มันก็คงจะทำให้พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแล้วจริง ๆ” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างหนัก
“เหตุผลที่ฉันแสดงท่าทางเหมือนทะเลาะกับคุณต่อหน้าผู้คนมากมายในวันนี้ เหตุผลจริง ๆ ก็คือฉันกำลังเล่นละครเพื่อตบตาชนชั้นสูงทุกคนอยู่”
“เล่นละครเหรอครับ?”
“ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานมันจะมีคนกระจายข่าวเรื่องที่ฉันทะเลาะกับคุณไปจนถึงหูของพวกเซิร์ก ซึ่งเรื่องนี้มันก็จะทำให้การเดินทางของคุณหลังจากนี้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และบางทีเซิร์กพวกนั้นก็อาจจะติดต่อมาเพื่อเสนอให้คุณไปอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขาก็ได้”
คำอธิบายจากชายชราทำให้เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่ส่ายหัวไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะท้ายที่สุดการกระทำของวิลเลียมมีเจตนาขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของกลุ่มทหารอยู่เสมอ และในฐานะที่เขาเป็นถึง 1 ใน 3 จอมพลแห่งกรมทหาร เขาก็คงจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือชายหนุ่มคนหนึ่งเพียงเพราะว่าพวกเขารู้จักกัน
“ฉันได้คุยกับไทสันแล้ว หลังจากนี้คุณสามารถเข้าใช้ศูนย์ข้อมูลวิจัยของกรมทหารอย่างอิสระได้เลย” วิลเลียมกล่าว
“ศูนย์ข้อมูลวิจัย? ทำไมจู่ ๆ ถึงให้ผมใช้ข้อมูลของทางกรมทหารเหรอครับ?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“ระบบเรดาร์แบล็คแบทที่คุณกำลังวิจัยอยู่มีประโยชน์กับกองทัพมาก พวกเราจึงหวังว่าคุณจะพัฒนาระบบเรดาร์ขึ้นมาให้สมบูรณ์อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันศูนย์ข้อมูลวิจัยของกลุ่มทหารก็เก็บข้อมูลสำคัญเอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งมันก็มีข้อมูลตั้งแต่สมัยโบราณ, ข้อมูลความลับของทางกรมทหารหรือข้อมูลเทคโนโลยีในปัจจุบันต่างก็ถูกเก็บเอาไว้ในนั้นทั้งหมด” วิลเลียมกล่าว
“ผมคงจะต้องหารือเรื่องนี้กับทีมวิจัยของผมก่อนครับ” เซี่ยเฟยกล่าว
“ไม่จำเป็นจะต้องตบตาฉันก็ได้ ฉันรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าคุณเป็นคนคิดค้นอุปกรณ์เสริมพลังชาร์จและระบบเรดาร์แบล็คแบทขึ้นมาเพียงลำพัง ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นจะต้องไปหารืออะไรกับทีมวิจัยหรอก” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับตบไหล่เซี่ยเฟยเบา ๆ
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น และเขาก็ไม่สามารถที่จะดูถูกหน่วยข่าวกรองของกรมทหารได้จริง ๆ แล้วแบบนี้ทางกรมทหารจะรู้ถึงตัวตนของแฮร์ริสที่เขาได้ซ่อนเอาไว้ในบริษัทหรือไม่?
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของวิลเลียม เซี่ยเฟยก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“กฎสำหรับภารกิจแฝงตัวจะประกาศในอีก 2 วัน ตอนนี้คุณยังขาดอะไรอีกบ้าง?” วิลเลียมถาม
“เงิน, คนและยานรบครับ” เซี่ยเฟยตอบกลับไปตรง ๆ
“เรื่องนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกังวล แม้ว่าเบื้องหน้าคุณจะกำลังเดินทางไปทำธุรกิจในดินแดนของเซิร์ก แต่เบื้องหลังคุณกำลังทำภารกิจให้กองทัพอย่างลับ ๆ ทันทีที่กฎถูกบัญญัติเอาไว้เรียบร้อยคุณก็จะได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการในทันที แต่อย่าลืมว่าเรื่องนี้จะต้องถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับ” วิลเลียมกล่าว
“นี่คือราคาของภารกิจบ้า ๆ นี่สินะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“อย่าลืมนะว่านายยังมีรางวัลบ้า ๆ รอนายอยู่หลังจากทำภารกิจบ้า ๆ นี่สำเร็จด้วย” วิลเลียมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
—
ในที่สุดงานเทศกาลที่กินเวลาถึง 15 วันก็มาถึงบทสรุป แต่เซี่ยเฟยก็ยังไม่รีบร้อนที่จะจากไปซึ่งเขาก็ยังคงอยู่บนดาวเพื่อพยายามแก้ไขจุดบกพร่องของยานรบ
พวกมังกี้อำลาเซี่ยเฟยอย่างไม่เต็มใจแล้วบอกว่าชายหนุ่มสามารถติดต่อหาพวกเขาระหว่างเดินทางไปนครหลวงได้ทุกเมื่อ
สำหรับเซี่ยเฟยการได้รู้จักกับพวกกลุ่มเด็กแสบพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และถึงแม้ว่าในปัจจุบันพวกเขาจะเป็นได้เพียงแค่กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ชอบสร้างปัญหาไปวัน ๆ แต่ในอนาคตพวกเขาคงจะเติบโตขึ้นมาเป็นชนชั้นสูงที่เต็มไปด้วยอำนาจอย่างแน่นอน เพราะด้วยภูมิหลังของครอบครัวเด็กเหล่านี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา ดังนั้นแม้แต่ในจุดที่แย่ที่สุดพวกเขาก็ควรจะได้รับตำแหน่งที่โดดเด่นภายในสมาพันธ์
ซุนซานจากไปพร้อมกับพวกมังกี้เพื่อเดินทางไปเข้าร่วมค่ายฝึกจัสทิสในนครหลวงหลังจากนี้ ซึ่งเซี่ยเฟยก็ขอให้พวกมังกี้ดูแลซุนซานเป็นอย่างดี แน่นอนว่าเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ตกปากรับคำมาเป็นอย่างดีว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ซุนซานถูกรังแก
ปัจจุบันซุนซานยังไม่มีประโยชน์กับเซี่ยเฟยมากนัก แต่สมาพันธ์หนานหมิงอันลึกลับที่อยู่เบื้องหลังเด็กหนุ่มคนนี้ได้กระตุ้นความสนใจของเขาเป็นอย่างมาก และในฐานะที่เด็กหนุ่มเป็นลูกชายของประธานสมาพันธ์ สักวันหนึ่งเซี่ยเฟยก็เชื่อว่าเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากซุนซานอย่างแน่นอน
ในบรรดากลุ่มเด็กแสบคิวเลกซ์ก็มีปฏิกิริยาที่แปลกมากที่สุด เพราะเขาหน้ามุ่ยราวกับว่าไม่ต้องการจะจากเซี่ยเฟยไป แต่เมื่อเซี่ยเฟยบอกว่าหลังจากนี้เขาจะเดินทางไปหาทุกคนในนครหลวง ปฏิกิริยาของคิวเลกซ์กลับกลายเป็นเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หลังจากส่งพวกมังกี้ไปแล้วเซี่ยเฟยก็ได้ไปพบกับทูรามและนิโคล
“คุณไม่ควรจะไปแข่งขันกับจอมพลวิลเลียมแบบนั้นเลย ในเมื่อเขาออกปากว่ากรมทหารต้องการอุปกรณ์ล่องหน คนส่วนใหญ่ก็ควรจะถอยเพื่อไม่ให้มีความบาดหมางกับทางกรมทหาร” นิโคลกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“นิโคลพูดถูกแล้ว ปกติจอมพลวิลเลียมไม่ค่อยจะเอ่ยปากแบบนี้มากนัก ครั้งนี้นายทำอะไรบุ่มบ่ามมากเกินไปจริง ๆ” ทูรามกล่าวเสริม
ท้ายที่สุดทูรามกับนิโคลก็ไม่รู้เรื่องข้อตกลงระหว่างกรมทหารกับเซี่ยเฟย ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าชายหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่ามมากเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าเซี่ยเฟยก็ทำได้เพียงแต่ส่งเสียงหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่ยอมเล่าอะไรให้ทั้งสองคนฟัง
การเดินทางไปยังดินแดนเซิร์กครั้งนี้ทั้งยาวนานและเต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นการที่เขาได้มีอุปกรณ์ล่องหนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างมันก็ช่วยให้เขาเพิ่มเปอร์เซ็นต์โอกาสรอดชีวิตมากยิ่งขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีการตกลงกับวิลเลียมอย่างลับ ๆ แต่เขาก็จะประมูลแย่งอุปกรณ์ชิ้นนี้มาให้ได้ไม่ว่าเขาจะต้องแลกมันมาด้วยอะไรก็ตาม
“ครั้งที่แล้วคุณบอกกับฉันว่าคุณอยากได้ส่วนลดในการซื้อยานรบใช่ไหม? หลังจากฉันลองไปคิดดูแล้วฉันก็คิดว่าฉันจะจัดหายานรบให้กับคุณในราคาทุน” นิโคลกล่าวตอบรับคำขอของเซี่ยเฟยในก่อนหน้านี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ชายหนุ่มรีบกล่าวขอบคุณซ้ำ ๆ โดยไม่คิดที่จะปฏิเสธข้อเสนอของเธอเลย
ไม่ว่าเธอจะมีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เพราะการตัดสินใจในครั้งนี้ได้เอื้อผลประโยชน์ให้กับเขาเต็ม ๆ
—
บ้านใหม่ของเซี่ยเฟยในกลุ่มดาวนครหลวง
แอวริลยืนรออยู่นอกประตูตั้งแต่เช้าเมื่อเธอได้ยินข่าวว่าเซี่ยเฟยกำลังจะกลับมา และทันทีที่เธอได้เห็นชายหนุ่มปรากฏตัวเธอก็รีบวิ่งไปใช้มือปิดตาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
“อย่าพึ่งมองนะ!” แอวริลกล่าวขึ้นมาอย่างขี้เล่น
จากนั้นเธอก็นำเขาเดินเข้าไปภายในห้อง ก่อนที่จะปล่อยมือของเธอออกเผยให้เซี่ยเฟยได้เห็นห้องนั่งเล่นที่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างเรียบร้อย
ผนังห้องถูกทาด้วยสีฟ้าน้ำทะเล พื้นด้านล่างถูกปูไว้ด้วยพรมนุ่ม ๆ ราวกับผ้าไหม ทั้งโซฟาและผ้าม่านต่างก็ถูกเลือกสรรมาอย่างเข้ากัน ขณะที่โคมไฟคริสตัลด้านบนทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างไสวด้วยแสงสีขาวสะอาดตา
“เธอจัดการทุกอย่างเองหมดเลยงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความประหลาดใจ
“เป็นยังไงบ้าง? นายชอบไหม?” แอวริลกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ชอบสิ ฉันชอบมากเลย ถ้าฉันเป็นคนจัดการเองบ้านคงไม่ออกมาสวยขนาดนี้”
“นายอย่าดูถูกตัวเองนะ คนแต่ละคนย่อมมีความถนัดไม่เหมือนกัน นายก็แค่ไม่ถนัดเรื่องพวกนี้แค่นั้นเอง”
แอวริลกล่าวโดยเว้นประโยคหลังเอาไว้ ซึ่งมันเป็นประโยคที่เธอพูดขึ้นมาภายในใจว่า
‘เรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง’
เซี่ยเฟยสำรวจบ้านด้วยความสุข เพราะเขาไม่เคยมีบ้านที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้มาก่อน
หลังจากเวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงมื้ออาหาร แอวริลก็ได้ทำสิ่งที่เซี่ยเฟยไม่คาดคิดมาก่อน เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเธอไปร่ำเรียนมาจากที่ไหนแต่อาหารที่เขาได้กินกลับกลายเป็นผัดหมี่ฝีมือของแอวริล!
ถึงแม้ว่ารสชาติผัดหมี่ของแอวริลจะไม่เหมือนผัดหมี่ในเมืองจีน แต่ความทุ่มเทของเธอก็ทำให้เขารู้สึกประทับใจจนชายหนุ่มเริ่มรู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องแจ้งข่าวว่าเขาจะต้องเดินทางไปยังดินแดนของพวกเซิร์ก
หลังมื้ออาหารแอวริลก็ยังไม่ได้กลับไป แต่เธอนั่งเล่นบนโซฟาช้าง ๆ ชายหนุ่มพร้อมกับเปิดดูวิดีโอ
“นี่คือวิดีโองานแต่งงานลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง เห็นไหมสีหน้าของพวกเขามีความสุขมาก ๆ เลย” แอวริลเอียงศีรษะมองเซี่ยเฟยด้วยแววตาที่เขินอายอยู่เล็กน้อย
“นี่คือวิดีโองานแต่งงานเพื่อนฉันเอง ในงานนั้นฉันไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วย ฉันจำได้เลยว่าบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความโรแมนติกมาก”
ทันใดนั้นหยดเหงื่อก็เริ่มไหลออกมาจากศีรษะของชายหนุ่ม เพราะปฏิกิริยาแปลก ๆ ของแอวริล เริ่มทำให้เขาพอจะคาดเดาความคิดของเธอขึ้นมาได้ลาง ๆ
หลังจากนั้นแอวริลก็เปิดวิดีโองานแต่งงานให้เซี่ยเฟยดูอย่างต่อเนื่อง แล้วเธอก็คอยพยายามชื่นชมว่าใบหน้าของคู่บ่าวสาวในการแต่งงานต่างก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความสุข
“แอวริลฉันยังมีธุระต้องไปจัดการ เธอช่วยกลับไปที่บ้านเธอก่อนได้ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง
“ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ” แอวริลกล่าวขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด
“พรุ่งนี้ฉันจะต้องไปทำธุระที่กรมทหารและฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะได้กลับมาเวลาไหน”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอนายติดต่อมาก็แล้วกัน” แอวริลกล่าวด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
เมื่อหญิงสาวเดินทางกลับไปอันธก็ถอนหายใจและกล่าวขึ้นมาว่า
“ทำไมนายถึงไล่เธอไปแบบนั้นล่ะ?”
“เชื่อฉันเถอะว่าฉันไม่ใช่คนดี ทุกสิ่งที่ฉันทำก็แค่การทำเพื่อตัวเอง ดังนั้นคนอย่างฉันมันไม่มีค่าให้ใครมาห่วงใยฉันหรอก” เซี่ยเฟยจุดบุหรี่พร้อมกับพ่นควันออกมายาว ๆ จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงด้วยสีหน้าอันมืดมน ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปภายในบ้านโดยไม่สนใจจะสนทนากับอันธอีกต่อไป
—
วันต่อมาแอวริลก็รู้สึกผิดหวังที่เธอไม่ได้รับการติดต่อมาจากเซี่ยเฟย
วันที่ 3 หลังจากนั้นเซี่ยเฟยก็ติดต่อมาเพียงแค่สั้น ๆ โดยบอกว่าเขามีธุระจะต้องทำและไม่มีเวลาอยู่กับเธอ
ในวันที่ 9 แอวริลได้รับการติดต่อจากเซี่ยเฟยอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มก็แจ้งมาเพียงแค่ว่าเขาเดินทางออกจากนครหลวงไปแล้ว
แอวริลพยายามถามว่าเมื่อไหร่เซี่ยเฟยจะกลับมา ซึ่งชายหนุ่มก็ตอบกลับไปเพียงแค่ว่าเขาอาจจะต้องจากไปเป็นเวลานาน
เหตุการณ์นี้ทำให้แอวริลรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เพราะเซี่ยเฟยกำลังจะจากไปเป็นเวลานานโดยไม่คิดที่จะมาร่ำลาเธอต่อหน้าเลยเนี่ยนะ?
ในวันที่ 13 จู่ ๆ แอวริลก็ได้รับการติดต่อมาจากคนแปลกหน้า
“สวัสดีครับคุณแอวริล ผมชื่ออเล็กซานเดอร์เป็นทนายความของคุณเซี่ยเฟยครับ พอดีผมมีเรื่องอยากจะสอบถามคุณนิดหน่อย เนื่องมาจากว่าคุณเซี่ยเฟยระบุว่าคุณคือผู้รับพินัยกรรมเพียงผู้เดียวในสินทรัพย์ทั้งหมดของเขา”
“อะไรนะ?! เซี่ยเฟยระบุว่าฉันคือผู้รับพินัยกรรมของเขางั้นเหรอ?” แอวริลอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วครับ คุณเซี่ยเฟยบอกมาว่าเขากำลังจะเดินทางไปยังสถานที่ที่อันตรายมาก เขาจึงได้ทำพินัยกรรมล่วงหน้าเอาไว้ก่อน นี่คุณยังไม่รู้เรื่องนี้เหรอครับ?”
ในที่สุดแอวริลก็เข้าใจอาการแปลก ๆ ของเซี่ยเฟยทุกอย่าง ท้ายที่สุดผู้ชายคนนี้ก็ยังคงดีต่อเธอเสมอมา และสาเหตุที่เขาทำตัวเหมือนเมินเฉยเธอในก่อนหน้านี้ นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการจะทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
***************
ไม่ต้องแต่งงาน สร้างบ้านแล้วยกมรดกให้เลยจ้ะ!