ตอนที่ 101 หัวขโมยของฉัน (ฟรี)
(วันนี้ตอนเดียวนะครับ แล้วพรุ่งนี้จะงดหนึ่งวันนะครับ)
มู่เหลียงได้ตักแบ่งยาออกเป็นสิบส่วนเท่าๆ กัน และจัดเรียงไว้บนโต๊ะ
เมื่อมองดูถ้วยที่ใส่ของเหลวสีเขียวพวกนี้แล้ว มันทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่อยู่ในนี้มีอะไรบ้าง และมันดูแตกต่างจากตอนที่อยู่ใน-หม้อดินแรก
“ลองกินเลยไหม”
มินโฮถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น
เธอต้องการจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ และช่วยชำแหละเนื้อสัตว์อสูร และเมื่อเร็วๆนี้ เธอได้เรียนรู้และจดจำรูปแบบกล้ามเนื้อของสัตว์อสูรมา
“ดื่มเลย”
มู่เหลียงพูดขึ้นพร้อมกับยกถ้วยยาขึ้นมาหนึ่งถ้วย และยกดื่มครั้งเดียวหมด
แค่กๆ
มู่เหลียงสำลักทันที เพราะรสชาติทั้งขมทั้งฝาดไม่พอทำลิ้นของเขาชาไปอีก
และเขาไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับร่างกายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับการดื่มน้ำรสขมเท่านั้น
การสันนิฐานของเขาถูกต้อง ดูเหมือนยาพวกนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับเขา
“ตัวยาพวกนี้ไร้ประโยชน์กับเราจริงๆ ด้วย”
แค่กๆ
“รสชาติแย่ชะมัด!”
มินโฮกระดกยาจนหมด ด้วยสีหน้าเยเก
ก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมาจะเกิดความเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของเธอ
เมื่อรสชาติขมจางหายไป ทั่วทั้งร่างของเธอก็ร้อนขึ้น ผิวของเธอแดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุก และเหงือสีดำๆ ผุดขึ้นมาตามผิวหนังของเธอ
“ร้อน!!”
มินโฮบิดตัวไปมาอย่างทรมาน
“ตั้งสติไว้! พยายามเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อดูดซับยาทั้งหมด!”
อยู่ๆ ก็มีเสียงที่ดูไพเราะดังขึ้นมาจากประตูทางเข้า
นั้นคือเสียงของหยู่ฉินหลานที่กลับมายังบ้าน และเห็นว่ามินโฮกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
“มินโฮลงไปวิดพื้นเร็ว!”
มู่เหลียงออกคำสั่งทันที
“ได้เลย!”
มินโฮก้มลงไป และเริ่มวิดพื้นอย่างจริงจัง
“ยาเสริมพลังพวกนี้ไม่มีอันตราย”
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของมู่เหลียง หยู่ฉินหลานก็เริ่มอธิบายทุกอย่างให้ฟัง
“มินโฮแค่อ่อนแอเกินไป เมื่อได้รับยามันจึงส่งผลรุนแรงกว่าปกติ”
“เป็นแบบนั้นเองงั้นหรอ”
มู่เหลียงถอนหายใจอย่างโล่งอก นี้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอะไรแบบนี้
“แล้วจะเอายังไงกับยาที่เหลือนี้”
หยู่ฉินหลานมองไปยังถ้วยยาที่เหลืออยู่บนโต๊ะ
“เธออยากจะลองดื่มมันไหม?”
มู่เหลียงถามด้วยความสงสัย
“ไม่ล่ะ ยาพวกนี้ไม่ส่งผลกับฉันอีกแล้ว กินไปก็เสียของเปล่า”
หยู่ฉินหลานส่ายหัวปฏิเสธ
“ถ้างั้นให้หยู่เฟ่ยหยาน ว่าไง?”
มู่เหลียงนึกถึงใครได้เขาก็พูดออกมาทันที
มุมปากของหยู่ฉินหลานยกสูงขึ้นเล็กน้อย
“ลูกฉันดื่มยาเสริมพลังระดับหนึ่งถึงสามมาหมดแล้ว”
ในฐานะนายหัวของกลุ่ม ทำให้เธอสามารถครอบครองยาเสริมพลังตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงสามได้
“ลี่เยว่ก็คงไม่ต้องการเหมือนกัน งั้นฉันจะคัดหาผู้เหมาะสมมาดื่มมัน”
มู่เหลียงพูดกับตัวเอง ก่อนที่จะคิดหาวิธีการคัดสรรคนมารับยาเสริมพลังพวกนี้ อาจจะเป็นเด็กชายวัยกำลังโต เพื่อจะได้เติบโตมาเป็นนักล่าอีกคน
“ให้เว่ยหยูหลันถ้วยหนึ่งสิ”
หยู่ฉินหลานมองไปทางเว่ยหยูหลัน และชี้ไปทางเด็กสาวที่กำลังมองดูมินโฮด้วยสายตา กระวนกระวายใจ
หยู่ฉินหลานมองว่าเด็กสาวคนนี้หน่วยก้านดี หากได้รับสั่งสอน เธอจะเป็นผู้ช่วยที่เพรียบพร้อมที่สุด
“ได้”
มู่เหลียงเองก็เห็นด้วย เพราะเขาก็จับตามองดูเว่ยหยูหลันมาสักพักแล้ว และเห็นว่าเธอนั้นซื่อสัตว์และว่านอนสอนง่าย แต่เธอกลับมีร่างกายที่ไม่ได้แข็งแรงมาก
“มู่เหลียง นายอยากจะลองใช้โอกาสนี้สร้างผู้รับใช้ที่ต่อสู้เป็นด้วยไหม?”
หยู่ฉินหลานพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
“ทั้งทำงานบ้านได้ และสามารถต่อสู้ได้ยามฉุกเฉิน”
“แบบนี้มัน…”
ไม่ต้องพูดว่าสิ่งนี้ถูกใจมู่เหลียงอย่างมาก
“ปล่อยให้ฉันจัดการเอง”
หยู่ฉินหลานพูดขึ้น แต่จริงๆ แล้วเธอเองมีความคิดนี้มานานแล้ว
ตั้งแต่ผ่านการถูกหักหลังในกลุ่มทะเลสาบพระจันทร์ ความคิดของเธอก็เริ่มเฉียบคมมากขึ้น และระมัดระวังตัวมากขึ้น เพื่อไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในวงล้อมอีก
“ดี งั้นเธอจัดการเรื่องนี้ด้วย”
มู่เหลียงมองและคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับ
การจัดตั้งกลุ่มสาวใช้นักสู้ที่สามารถปกป้องคฤหาสน์ได้ด้วยจะเป็นเรื่องที่ดีมาก
มู่เหลี่ยงไม่ได้สนใจเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง เขาสนใจว่าคุณสมบัติคนที่จะมาเป็นข้ารับใช้จะเป็นยังไงมากกว่า
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำให้นายผิดหวังแน่”
หยู่ฉินหลานยิ้มพร้อมกับกวักมือเรียกเด็กสาว
“หยูหลันมานี่หน่อย”
“นายท่านหยู่จูมีอะไรให้รับใช้”
เว่ยหยูหลันรีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาทันที
“ดื่มยานี้ซะ”
หยู่ฉินหลานชี้ไปยังถ้วยที่ใส่ยาเสริมพลัง
“เจ้าค่ะ”
เว่ยหยูหลันดูลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบอย่างอ่อนใจ และหยิบถ้วยยาขึ้นมาดื่ม
“หลังจากดื่มเข้าไปแล้ว ให้ออกท่าทางเหมือนกับมินโฮเข้าใจไหม”
หยู่ฉินหลานกำชับอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ”
เว่ยหยูหลันฝืนซดยาเสริมพลังเข้าไปจนหมด จนผิวของเธอเริ่มแดงเหมือนกับมินโฮ และเธอก็รีบลงไปวิดพื้นทันที
“สำหรับส่วนที่เหลือ ขอฉันเก็บไว้อีกสองชุด”
หยู่ฉินหลันนั้นหันกลับมาและพูดขึ้น
“เธอต้องการข้ารับใช้ถึงสามคนเลยงั้นหรอ?”
มู่เหลียงถามด้วยความสงสัย
“แค่ตอนนี้สามคนก็น่าจะพอแล้ว คนที่จะดูแลข้ารับใช้ทั้งหมดคือมินโฮ แต่ตอนนี้เธอคงยังไม่สามารถจัดการจำนวนคนเยอะๆ ได้”
แม้ว่าหยู่ฉินหลานต้องการจะสร้างข้ารับใช้ต่อสู้ แต่เธอก็จะไม่เอาตำแหน่งงานของมินโฮมา
“งั้นฝึกฝนมินโฮด้วย”
มู่เหลียงพูดขึ้นพร้อมกับพยักหน้า
เขารู้ว่าหยู่ฉินหลานนั้นเกรงใจเขา เขาถึงบอกให้เธอนำตัวของมินโฮไปได้ด้วย
“พรุ่งนี้ พวกเราก็จะถึงเมืองสิบขั้น…”
อยู่ๆ หยู่ฉินหลานก็พูดขึ้นราวกับนึกอะไรได้
“นายยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้ใครรับบทเป็นหัวขโมย”
มู่เหลียงมองไปยังหยู่ฉินหลานด้วยแววตาเจ้าเล่ห์พร้อมกับฉีกยิ้มเล็กน้อย โดยไม่ตอบอะไรกลับมาสักคำ
“เดี๋ยว…จ้องฉันแบบนั้นทำไม…?”
สีหน้าของหยู่ฉินหลานแดงขึ้นมาทันที และหันหน้าหนีด้วยความลำบากใจ
หนึ่งวินาที สองวินาทีผ่านไป
หยู่ฉินหลันไม่ได้ยินคำตอบ เธอเอะใจขึ้นมาจึงหันกลับมาถาม
“อย่าบอกนะ….ว่านายต้องการให้ฉันรับบทเป็นหัวขโมย?”
“ใช่ เธอนั้นแหละ”
มู่เหลียงพยักหน้าตอบ
“แต่….ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”
หยู่ฉินหลานพูดขึ้นด้วยความลำบากใจ
มู่เหลียงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและดูเชื่อมั่น
“ฉันเชื่อในตัวเธออยู่แล้ว”
เหตุผลที่เขาเลือกหยู่ฉินหลานนั้น เพราะเธอแข็งแกร่ง ฉลาด และมากประสบการณ์กว่าใครในกลุ่มของเขา
“ไม่กลัวว่าฉันจะทำเสียงเรื่องงั้นหรอ?”
หยู่ฉินหลานพูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตาที่ดูหยอกล้อกลับมา
“เธอไม่ทำงานเสียแน่”
มู่เหลียงยิ้มตอบกลับไปทันที
ไม่สำคัญว่าแผนนี้จะผิดพลาดแค่ไหน แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าหัวขโมยเป็นคนของเมืองเต่าทมิฬก็ตาม แต่พวกเขาก็ยอมที่จะค้าขายต่อแน่นอน
เพราะเมื่อเทียบกับราคาที่ตั้งเอาไว้ กับราคาที่เอาไปแอบขายนั้นเรียกได้ว่าราวฟ้ากับเหว
“พรุ่งนี้ ฉันจะต้องเอาของอะไรออกไปขายบ้าง”
หยู่ฉินหลานถามขึ้นด้วยความสงสัย
ตอนนี้เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก มากจนอธิบายไม่ถูก เพราะเธอไม่เคยทำตัวเป็นหัวขโมยมาก่อน
“ไม่ต้องคิดมากตอนนี้ เดียวถึงเมืองสิบขั้นก็จะรู้เอง”
มู่เหลียงต้องการไปสืบหาข้อมูลก่อน เพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นแกะอ้วนวิ่งหาหมาป่า
“งั้นหรอไ
หยู่ฉินหลานพยักหน้า
“ฟู่วว!! คิดว่าจะตายแล้วสะอีก!”
มินโฮอยู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น
“เป็นไง…รู้สึกยังไงบ้าง”
มู่เหลียงสังเกตเห็นว่า ผิวของมินโฮไม่แดงเหมือนตอนแรกอีกแล้ว
“รู้สึกสบายตัวมากๆ ร่างกายก็เบาขึ้น แทบไม่ต้องใช้แรงเพื่อยืนเลยด้วยซ้ำ”
มินโฮลองกระโดดดู แต่ตัวของเธอลอยจนหัวเกือบโขกกับเพดาน
“ช้าก่อน เธอยังปรับตัวกับพลังใหม่ไม่ได้”
มู่เหลียงคว้าตัวของมินโฮเอาไว้ก่อนที่หัวของเธอจะถึงเพดาน
“แฮะๆๆ”
มินโฮหัวเราะอย่างเขินๆ
ก่อนที่มู่เหลียงจะพาเธอลงมา และพูดกับเธอว่า
“เพราะงั้น ไปอาบน้ำซะ”
“อาบน้ำ?”
มินโฮก้มมองตัวเอง และยกแขนขึ้นมาดูก็เห็นว่ามีคราบสกปรกเต็มไปหมด
ใบหน้าของเธอแดงก่ำขึ้นมาทันที และรีบหนีไปด้วยความเขินอาย